การแสดงโขน รามเกียรติ์
ตอน หนุมานรบอินทรชิต
ความเป็นมาละครไทย
ละครไทยมีคุณค่าในฐานนะที่เป็น ที่รวมศิลปะสาขาต่างๆ โดยเฉพาะศิลปะสาขาวิจิตรศิลป์และประณีตศิลป์ซึ่งเป็นศิลปะแห่งความงามที่มุ่งหมายเพื่อเสนอความต้องการทางอารมณ์สติปัญญาก่อให้เกิดอารมณ์สะเทือนใจซึ่งแนวทางการศึกษาละครไทยประเภทละครรำ ผู้เรียนต้องเข้าใจในบทบัญญัติของการแสดงแต่ละประเภทตลอดจนขนบธรรมเนียมเคล็ดลาง ความเชื่อ การบูชาเทพเจ้า ครู ผี ในการละครไว้ด้วยจากหลักฐานที่ปรากฏในศิลาจารึกภาพเขียน ภาพจำหลักในโบราณสถาน ภาพถ่าย ตำราและเอกสารสิ่งพิมพ์ต่างๆ สรุปได้ว่าทุกชาติทุกภาษามีการละครมาตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์คู่กับมนุษยชาติ ชนชาติไทยเป็นชนชาติที่มีอารายะธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีที่มีมาแต่โบราณซึ่งมีตำนานที่แสดงถึงประวัติความเป็นมาของการละครไทยที่เกี่ยวกับละครรำทั้งที่เป็นละครพื้นบ้าน และละครของราชสำนักบันทึกไว้ ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์พบว่า ละครไทยมีมาตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว โดยคนไทยมีนิทานเรื่องมโนราห์ ที่มีการนำมาแสดง และเล่าเป็นนิทานสืบต่อกันมาเป็นเวลาพันพันปีแต่ในบ้างช่วงก็อาจสูญหาย เสื่อมโทรมลงไปบ้าง ครั้นเมื่อบ้านเมืองสงบ มีการตั้งถิ่นฐานเป็นปึกแผ่นจึงมีการสืบสานฟื้นฟูและสร้างสรรค์การละครขึ้นมาใหม่
วิวัฒนาการของละครไทย
ละครไทยได้เริ่มการฟื้นฟูและมีการแสดงที่เป็นแบบแผนทั้งที่เป็นแบบพื้นบ้านและแบบมาตรฐานราชสำนักโดยเริ่มมีมาตั้งแต่สมัยสุโขทัยเป็นต้นมา
1. สมัยสุโขทัย สมัยนี้ไม่มีหลักฐานเกี่ยวกับการละครนักเป็นสมัยที่เริ่มมีความสัมพันธ์กับชาติที่นิยมอารยะธรรมของอินเดียเช่น พม่า มอญ ขอมและละว้าไทยได้รู้จักเลือกเฟ้นศิลปวัฒนธรรมที่ดีของชาติที่สมาคมด้วยแต่ทั้งนี้มิได้หมายความว่าชาติไทยแต่โบราณจะไม่รู้จักการละครฟ้อนรำมาก่อนเรามีการแสดงประเภทระบำรำเต้นมาแต่สมัยดึกดำบรรพ์แล้วเมื่อไทยได้รับวัฒนธรรมด้านการละครของอินเดีย เข้าศิลปะแห่งการละเล่นพื้นเมืองของไทย คือ รำ และระบำก็ได้วิวัฒนาการขึ้นมีการกำหนดแบบแผนแห่งศิลปะการแสดงทั้ง 3 ชนิดไว้เป็นที่แน่นอนและบัญญัติคำเรียก ศิลปะแห่งการแสดงดังกล่าวแล้วขั้นต้นว่า "โขน ละครฟ้อนรำ" ส่วนเรื่องละครแก้บนกับละครยกอาจมีสืบเนื่องมาตั้งแต่สมัยสุโขทัยนั้นแล้วเช่นกัน
2. สมัยอยุธยา
3. สมัยกรุงธนบุรี
สมัยกรุงธนบุรี สมัยนี้เป็นช่วงต่อเนื่องหลังจากที่กรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่าเมื่อปี พ.ศ. 2310 เหล่าศิลปินได้กระจัดกระจายไปในที่ต่างๆ เพราะผลจากสงคราม บางส่วนก็เสียชีวิต บางส่วนก็ถูกกวาดต้อนไปอยู่พม่า ครั้นพระเจ้ากรุงธนบุรีได้ปราบดาภิเษกในปีชวด พ.ศ. 2311 แล้ว ทรงส่งเสริมฟื้นฟูการละครขึ้นใหม่ และรวบรวมศิลปินตลอดทั้งบทละครเก่าๆที่กระจัดกระจายไปให้เข้ามาอยู่รวมกัน ตลอดทั้งพระองค์ได้ทรงพระราชนิพนธ์บทละครเรื่องรามเกียรติ์ขึ้นอีก 5 ตอน คือ ตอนหนุมานเกี้ยวนางวานริน ตอนท้าวมาลีวราชว่าความ ตอนทศกัณฐ์ตั้งพิธีทรายกลด (เผารูปเทวดา) ตอนพระลักษณ์ถูกหอกกบิลพัท ตอนปล่อยม้าอุปการ มีคณะละครหลวง และเอกชนเกิดขึ้นหลายโรง เช่น ละครหลวงวิชิตณรงค์ ละครไทยหมื่นเสนาะภูบาล หมื่นโวหารภิรมย์ นอกจากละครไทยแล้วยังมีละครเขมรของหลวงพิพิธวาทีอีกด้วย
4. สมัยรัตนโกสินทร์
สมัยกรุงรัตนโกสินทร์การละครต่างๆ ล้วนได้รับการสนับสนุนจากพระมหากษัตริย์แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์สืบเนื่องต่อกันมาเป็นลำดับตั้งแต่ การละครต่างๆ ล้วนได้รับการสนับสนุนจากพระมหากษัตริย์แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์สืบเนื่องต่อกันมาเป็นลำดับ
1) สมัยรัชกาลที่ 1 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ได้ทรงฟื้นฟูรวบรวมสิ่งต่างๆที่สูญเสีย และกระจัดกระจายให้สมบูรณ์ ในรัชสมัยนี้ได้มีการรวบรวมตำราฟ้อนรำขึ้นไว้เป็นหลักฐานสำคัญที่สุดในประวัติการละครไทย มีบทละครที่ปรากฎตามหลักฐานอยู่ 4 เรื่อง คือ บทละครเรื่องอุณรุท บทละครเรื่องรามเกียรติ์ บทละครเรื่องดาหลังและบทละครเรื่องอิเหนา
2) สมัยรัชกาลที่2 พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เป็นสมัยที่วรรณคดีเจริญรุ่งเรือง เป็นยุคทองแห่งศิลปะการละคร มีนักปราชญ์ราชกวีที่ปรึกษา 3 ท่าน คือ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ กรมหลวงพิทักษ์มนตรี และสุนทรภู่ มีบทละครในที่เกิดขึ้น ได้แก่ เรื่องอิเหนา ซึ่งวรรณคดีสโมสรยกย่องว่าเป็นยอดของบทละครรำและเรื่องรามเกียรติ์ ส่วนบทละครนอก ได้แก่ เรื่องไกรทอง คาวี ไชยเชษฐ์ สังข์ทอง และมณีพิชัยในสมัยรัชกาลที่ 2 นับว่าเป็นยุคทองแห่งนาฏศิลป์ การละคร และวรรณคดี ทั้งนี้องค์การสหประชาชาติได้เทิดพระเกียรติ์และประกาศยกย่อง พระบาทสมเด็จพระพุทธเลศหล้านภาลัยว่า ทรงเป็นบุคคลสำคัญของโลก เมื่อ พ.ศ. 2510
3) สมัยรัชกาลที่3
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นยุคที่ละครหลวงซบเซาเนื่องจากพระองค์ไม่สนับสนุน ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เลิกละครหลวงเสีย แต่มิได้ขัดขวางผู้จะจัดแสดงละคร ทำให้เกิดคณะละครของเจ้านาย และขุนนางขึ้นแพร่หลาย หลายคณะ หลายโรง และมีบทละครเกิดขึ้นมากมาย
4) สมัยรัชกาลที่ 4 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สมัยนี้ได้เริ่มมีการติดต่อกับชาวต่างชาติ โดยเฉพาะชาวยุโรปบ้างแล้ว พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงโปรดเกล้าฯ ให้ฟื้นฟูละครหลวงขึ้นอีกครั้งหนึ่ง พร้อมทั้งออกประกาศสำคัญเป็นผลให้การละครไทยขยายตัวอย่างกว้างขวาง ดังมีความโดยย่อ คือ พระราชทานพระบรมราชานุญาต ให้คนทั่วไปมีละครชาย และหญิงเพื่อบ้านเมืองจะได้ครึกครื้นขึ้นเป็นเกียรติยศแก่แผ่นดินแม้จะมีละครหลวง แต่คนที่เคยเล่นละครก็ขอให้เล่นต่อไป
ห้ามบังคับผู้คนมาฝึกละคร ถ้าจะมาขอให้มาด้วยความสมัครใจสำหรับละครที่มิใช่ของหลวง มีข้อยกเว้นคือ
- ห้ามใช้รัดเกล้ายอด เครื่องแต่งตัวลงยา และพานทองหีบทองเป็นเครื่องยก
- บททำขวัญห้ามใช้แตรสังข์
- หัวช้างห้ามทำสีเผือก ยกเว้นหัวช้างเอราวัณ
มีประกาศกฎหมายภาษีมหรสพ พ.ศ. 2402 เก็บจากเจ้าของคณะละครตามประเภทการแสดง และเรื่องที่แสดง
5) สมัยรัชกาลที่ 5 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว การละครในยุคนี้เริ่มมีการเปลี่ยนแปลง เนื่องจากการละครแบบตะวันตกหลั่งไหลเข้าสู่วงการนาฏศิลป์ทำให้เกิดละครประเภทต่างๆขึ้นมากมาย เช่น ละครพันทาง ละครดึกดำบรรพ์ ละครร้อง ละครพูด และลิเกทรงส่งเสริมการละครโดยเลิกกฎหมายการเก็บอากรมหรสพเมื่อ พ.ศ. 2450 ทำให้กิจการละครเฟื่องฟูขึ้นกลายเป็นอาชีพได้ เจ้าของโรงละครทางฝ่ายเอกชนมีหลายราย นับตั้งแต่เจ้านายมาถึงคนธรรมดา
6) สมัยรัชกาลที่ 6พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ในสมัยนี้ได้ชื่อว่าเป็นสมัยที่การละคร และการดนตรีทั้งหลายได้เจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุด นับได้ว่าเป็นยุคทองแห่งศิลปะการละครยุคที่ 2 พระองค์ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งกรมมหรสพขึ้นเพื่อบำรุงวิชาการนาฏศิลป์และการดนตรีและยังทรงเป็นบรมครูของเหล่าศิลปินทรงพระราชนิพนธ์บทโขน ละคร ฟ้อนรำไว้เป็นจำนวนมาก
7) สมัยรัชกาลที่ 7 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว การเมืองเกิดภาวะคับขัน และเศรษฐกิจของประเทศทรุดโทรม เสนาบดีสภาได้ตกลงประชุมกันเลิกกรมมหรสพ เพื่อให้มีส่วนช่วยกู้การเศรษฐกิจของประเทศ และต่อมาจึงกลับฐานะมาเป็นกองขึ้นอีก จนกระทั่งเมื่อ พ.ศ. 2478 กองมหรสพจึงอยู่ในสังกัดกรมศิลปากร ข้าราชการศิลปินจึงย้ายสังกัดมาอยู่ในกรมศิลปากร ในสมัยนี้มีละครแนวใหม่เกิดขึ้นคือ ละครเพลง หรือที่เป็นที่รู้จักกันว่า "ละครจันทโรภาส" ตลอดทั้งมี ละครหลวงวิจิตรวาทการ เกิดขึ้น
8) สมัยรัชกาลที่ 8 รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล การแสดงนากศิลป์ โขน ละคร อยู่ในการกำกับดูแลของกรมศิลปากรในสมัยนี้ หลวงวิจิตรวาทการ เป็นผู้ริเริ่มก่อตั้งสถาบันการเรียนการสอนศิลปะการแสดง โขน ละคร ดนตรี
ปี่พาทย์ มีการแสดงละครปลุกใจให้รักชาติ เช่นเรื่องอานุภาพพ่อขุนรามคำแหง เจ้าหญิงแสนหวี พระเจ้ากรุงธน อานุภาพแห่งความรัก อานุภาพแห่งความเสียสละ เลือดสุพรรณ เป็นต้น และในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ประชาชนนิยมเล่นรำโทนกันอย่างแพร่หลาย ซึ่งกรมศิลปากรได้นำมาปรับปรุงเป็นรำวงมาตรฐาน
9) สมัยรัชกาลที่ 9 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช โปรดเกล้าฯให้บันทึกภาพยนตร์ส่วนพระองค์ บันทึกท่ารำหน้าพาทย์องค์พระพิราพ ท่ารำเพลงหน้าพาทย์ของพระ นาง ยักษ์ ลิง ได้โปรดเกล้าให้จัดพิธีไหว้ครู มอบท่ารำองค์พระพิราพและปรานผู้ประกอบพิธีไหว้ครูให้แก่ศิลปินกรมศิลปากรในมัยนี้ การละครเฟื่องฟูมาก มีการจัดแสดงละครกันอย่างแพร่หลาย ทั้งละครเวที ละครที่แพร่ภาพผ่านสื่อต่างๆ มีผู้ยึดอาชีพการแสดงละครเป็นจำนวนมาก นอกจากละครไทยแล้ว ยังมีการแสดงละครตามแนวละครของชาติอื่นๆด้วย ทั้งนี้ทางรัฐบาลได้ส่งเสริมและเชิดชูเกียรติบุคคลที่อยู่ในแวดวงศิลปะการแสดง โดยกำหนดให้วันที่ 24 กุมภาพันธ์ ของทุกปี เป็นวันศิลปินแห่งชาติ