พิพิธภัณฑ์การศึกษาไทย

คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่

Museum of Thai Education

สมัยสุโขทัย

การศึกษาได้จัดกันมาตั้งแต่สมัยสุโขทัยเป็นราชธานี(พ.ศ. 1781-1921) แต่เป็นการศึกษาแผนโบราณ ซึ่งเจริญรอยสืบต่อมาจนถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ต้นรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าอยู่หัว ในสมัยกรุงสุโขทัยรัฐและวัด รวมกันเป็นศูนย์กลางแห่งประชาคม กิจกรรมต่าง ๆ ของรัฐและวัดย่อมเป็นการสอนประชาคมไปในตัววิชาที่เรียนคือภาษาบาลี ภาษาไทยและวิชาสามัญขั้นต้น สำนักเรียนมี 2 แห่ง แห่งหนึ่งคือวัดเป็นสำนักเรียนของบรรดาบุตรหลานขุนนางและราษฎรทั่วไป มีพระที่เชี่ยวชาญภาษาบาลีเป็นครูผู้สอน เพราะสมัยนั้นเรียนภาษาบาลีกันเป็นพื้น ใครรู้พระธรรมวินัยแตกฉานก็นับว่าเป็นปราชญ์ อีกแห่งหนึ่งคือ สำนักราชบัณฑิต ซึ่งสอนแต่เฉพาะเจ้านายและ บุตรหลานข้าราชการเท่านั้น ปรากฏในพระราชพงศาวดารว่า พระเจ้าลิไทแห่งกรุงสุโขทัยเมื่อทรงพระเยาว์ ได้เคยศึกษาเล่าเรียนในสำนักราชบัณฑิตเหล่านี้จนมีความรู้วิชาหนังสือแตกฉานถึง แก่ได้รับยกย่องว่าเป็นนักปราชญ์

สมัยอยุธยา

ในสมัยกรุงศรีอยุธยา(พ.ศ.1893 -2310) การศึกษาได้เปลี่ยนรูปต่างไปจากการศึกษาสมัยกรุงสุโขทัย ลักษณะการศึกษาสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นไปในทางติดต่อกับประชาคมเท่านั้น เพราะการศึกษาทั่วไปก็ตกอยู่แก่วัด ราษฎรนิยม พาลูกหลานไปฝากพระ เพื่อเล่าเรียนหนังสือ พระยินดีรับไว้เพราะท่านต้องมีศิษย์ไว้สำหรับปรนนิบัติ ศิษย์ได้รับการอบรมในทางศาสนา ได้เล่าเรียนอ่านเขียน หนังสือไทยและบาลีตามสมควร

เพื่อเป็นการตระเตรียมสำหรับเวลาข้างหน้า เมื่อเติบโตขึ้นจะได้สะดวกในการอุปสมบท การให้ผู้ชายที่มีอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์อุปสมบทเป็นพระภิกษุนั้น เป็นประเพณีที่มีมานานแล้ว เข้าใจว่าจะสืบเนื่องมาจากแผ่นดินพระเจ้าบรมโกศ เพราะปรากฏว่า พระองค์ทรงกวดขันการศึกษาทางพระศาสนามาก บุตรหลาน ข้าราชการคนใดที่จะถวายตัวทำราชการ ถ้ายังไม่ได้อุปสมบท ก็ไม่ทรงแต่งตั้งให้เป็น ข้าราชการ ประเพณีนี้ยังผลให้วัดทุกแห่งเป็นโรงเรียนและพระภิกษุทุกรูป เป็นครูทำหน้าที่อบรมสั่งสอนศิษย์ของตน ตามความสามารถที่จะจัดได้ แต่คำว่า โรงเรียนในเวลานั้น มีลักษณะต่างกับโรงเรียนในเวลานี้กล่าวคือ ไม่มีอาคารปลูกขึ้นสำหรับใช้เป็นที่เรียนโดยเฉพาะ เป็นแต่ศิษย์ใคร ใครก็สอนอยู่ที่กุฎิของตนตามสะดวกและความพอใจพระภิกษุรูปหนึ่ง ๆ มีศิษย์ไม่กี่คนเพราะจะต้องบิณฑบาตร มาเลี้ยงดูศิษย์ด้วย ชาวยุโรปที่เข้ามาเมืองไทยในสมัยต่าง ๆ ได้เล่าเรื่องการศึกษาของไทยไว้ในหนังสือที่เขาแต่งขึ้น จะขอยกมาเป็นบางตอนดังนี้ เมอร์ซิเออร์ เดอะลาลูแบร์ ราชทูตผู้หนึ่งในคณะฑูตฝรั่งเศสครั้งที่ 2 ของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ซึ่งเข้ามาเจริญทางพระราชไมตรีในแผ่นดิน สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ได้กล่าวไว้ในหนังสือราชอาณาจักรสยามว่า "พระสอนหนังสือให้แก่ เยาวชน ดังที่ ข้าพเจ้าได้เล่าแล้ว และท่านอธิบายคำสั่งสอนแก่ราษฎร์ ตามที่เขียนไว้ในหนังสือบาลี"

หนังสือราชอาณาจักรไทยหรือประเทศสยาม ของมองเซนเยอร์ ปัลเลอกัวซ์ สังฆราชแห่งมัลลอส ในคณะสอนศาสนาโรมันคาทอลิกของฝรั่งเศส ประจำประเทศไทยซึ่งพิมพ์ออกจำหน่าย เมื่อ พ.ศ. 2397 กล่าวว่า "ภายหลังหรือบางทีก่อนพิธีโกนจุก บิดามารดาส่งบุตรของตนไปอยู่วัดเพื่อเรียนอ่านและเขียน ณ ที่นั่นเด็กเหล่านี้รับใช้พระ พายเรือให้พระ และรับประทานอาหารซึ่งบิณฑบาตมาได้ ร่วมกับพระด้วยพระสอนอ่านหนังสือให้เพียงเล็กน้อยวันละครั้งหรือสองครั้งทั้งนี้เพื่อเป็นการตอบแทนการศึกษาของเด็กหญิงมีการสอนให้ทำครัว ตำน้ำพริก ทำขนมมวนบุหรี่และจีบพลู”


ในรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราชการศึกษาเจริญมาก มีการสอนทั้งภาษาไทย บาลี สันสกฤต ฝรั่งเศส เขมร พม่า มอญ และจีน ปรากฏตามพงศาวดารว่า พระตรัสน้อย โอรสองค์หนึ่งของพระเพทราชา ได้ทรงศึกษาภาษาต่าง ๆ จนชำนาญทั้งภาษาบาลี สันสกฤต ฝรั่ง เขมร ลาว ญวน พม่า รามัญ และจีน ทั้งยังทรงศึกษาวิชาโหราศาสตร์ และแพทยศาสตร์จากอาจารย์ต่าง ๆ เป็นอันมากเข้าใจว่าโดยเฉพาะ วิชาภาษาไทย คงจะได้วางมาตรฐานดีมาแต่ครั้งนั้น เพราะปรากฏว่า พระโหราธิบดี ได้แต่งแบบเรียนภาษาไทยชื่อ จินดามณี ถวายสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ซึ่งได้ใช้เป็นแบบเรียนสืบต่อมาเป็นเวลานานสำนักเรียนนอกจากวัดในบางรัชกาล ยังมีราชสำนัก สำนักราชบัณฑิตและโรงเรียนมิชชันนารีในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช การศึกษาในราชสำนักรุ่งโรจน์มาก แม้กระทั่งนายประตูก็สามารถแต่งโคลงได้ สำนักราชบัณฑิตนั้นคงจะสอนวิชาต่าง ๆ กัน ดังปรากฏตามพงศาวดารว่า พระตรัสน้อย ได้ทรงเล่าเรียนอักขรสมัยและวิชาอื่น ๆ จากอาจารย์ต่าง ๆ เป็นอันมาก พวกราชบัณฑิตที่เป็นอาจารย์สอนหนังสือนี้มีต่อมา จนถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ แม้ในต้นรัชกาลที่

5

ก็ยังมีบัณฑิตอาจารย์บอกหนังสือ พระเณรอยู่ในวัดพระศรีรัตนศาสดารามและวัดอื่นๆจนเมื่อมีโรงเรียนของกระทรวงธรรมการ และโรงเรียนพระปริยัติธรรมแพร่หลายแล้ว สำนักราชบัณฑิตจึงได้หมดไป สำหรับโรงเรียนมิชชันนารีนั้น ในชั้นแรกชาวยุโรปที่เข้ามาค้าขาย มีชาวโปรตุเกส เป็นต้น ได้รับอนุญาตให้สร้างโบสถ์เพื่อทำกิจทางศาสนา โบสถ์ฝรั่งในชั้นเดิมเช่น ในแผ่นดินสมเด็จพระชัยราชานั้นเป็นโบสถ์เล็ก ๆ สร้างขึ้นเพื่อทำกิจทางศาสนาและ เพื่อสอนศาสนาเท่านั้นในระยะ นั้นไทยเป็นประเทศเดียวในแถบอาเชียตะวันออก ที่ไม่รังเกียจศาสนาใดศาสนาหนึ่งเลย พวกฝรั่งเห็นเป็นโอกาสที่จะเกลี้ยกล่อมคนไทยให้เข้ารีต ได้มากกว่าที่อื่น ดังนั้นบาทหลวงจึงได้เดินทางเข้ามามากขึ้น

พระเจ้าแผ่นดินก็ทรงให้ความอุปถัมภ์พวกบาทหลวง ถึงแก่พระราชทานทรัพย์ให้สร้างโบสถ์ก็มี ดังเช่น สมเด็จพระนารายณ์มหาราชพระราชทานแก่บาทหลวงฝรั่งเศสเป็นต้นในรัชกาลนั้นมีโบสถ์ฝรั่งใหญ่ ๆ มากกว่าในรัชกาลก่อน ๆ และ เมื่อมีโบสถ์สำหรับทำกิจทางศาสนาแล้ว ก็ตั้งโรงเรียนขึ้น เรียกว่าโรงเรียนสามเณร โรงเรียนสามเณรตั้งขึ้น เพื่อสั่งสอนชาวพื้นเมืองที่ประสงค์จะเข้ารีตแต่นอกจากสอนศาสนา ก็ได้สอนหนังสือและวิชาอื่น ๆ ด้วยปรากฏว่าสมเด็จพระนารายณ์ทรงส่งมหาดเล็ก รุ่นเด็กเป็นจำนวนมากมาเรียนในโรงเรียนของพวกบาทหลวง จึงนับว่าโรงเรียนสามเณร เป็นสำนักเรียนวิชาสามัญอีกแห่งหนึ่ง

สมัยรัตนโกสินทร์


ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น การศึกษายังคงดำเนินไป เช่นเดียวกับสมัยกรุงศรีอยุธยากล่าวคือ มีวัดได้ให้ความรู้แก่พลเมืองให้เหมาะ แก่ความต้องการของประชาคม วัดและบ้านรับภาระในการอบรมสั่งสอนเด็ก ส่วนรัฐหรือราชสำนักควบคุมตลอดจนให้ความอุปถัมภ์ตามสมควร หนังสือราชอาณาจักรและชาวสยามของเซอร์จอห์นบาวริง ผู้สำเร็จราชการฮ่องกง ซึ่งสมเด็จพระนางเจ้าวิกตอเรีย พระบรมราชินีนาถแห่งประเทศบริเตนใหญ่ ทรงแต่งตั้งเป็นอัครราชทูตมาเจริญทางพระราชพระราชไมตรีเมื่อ พ.ศ.

2398

ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวกล่าวถึงการศึกษาสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ไว้สองแห่ง

แห่งหนึ่งมีความว่า

“การศึกษาตั้งต้นแต่การโกนจุก แล้วเด็กผู้ชายถูกส่งไปอยู่วัดเรียนอ่าน เขียน และคำสอนศาสนากับพระ”

อีกแห่งหนึ่งมีความว่า

“พระได้รับมอบหมายให้จัดการศึกษา และโรงเรียนอยู่ติดกับวัดโดยมาก ย่อมเป็นของธรรมดาอยู่เองที่การสอน ให้รู้คำสั่งสอนและประกอบพิธีกรรมทางพุทธศาสนา เป็นส่วนสำคัญมากของระบบการศึกษา พลเมืองชายส่วนหนึ่งอ่านและเขียนหนังสือออก แต่วิธีที่จะแสวงหาความรู้ชั้นสูง สาขาใดสาขาหนึ่งมีอยู่น้อยถึงกระนั้นก็ดี โดยเฉพาะในบรรดาขุนนางยังใฝ่ใจเรียนวิชาเครื่องจักรกลไก รู้จักใช้เครื่องมือเดินเรือและรู้วิชาปรัชญากันมาก ค่าเล่าเรียนตามปรกติในโรงเรียนสามัญที่กรุงเทพฯ เก็บจากเด็กชายคนละ 8 ดอลลาร์หรือ 35 ชิลลิงต่อปีและอีก 15 ดอลลาร์ เป็นค่าที่อยู่ เสื้อผ้า เครื่องเขียนและอื่น ๆ ชาวจีนที่รวยบางคนจ้างครูสอนส่วนตัวเดือนละ 8 ดอลลาร์ ห้องเรียนห้องหนึ่งอาจเช่าได้เดือนละ 2 ดอลลาร์ครึ่งหรือต่ำกว่านั้น การศึกษาสตรีถูกทอดทิ้ง ในประเทศสยาม มีสตรีอยู่น้อยคนที่อ่านหรือเขียนได้ อย่างไรก็ดี ในการแสดงละครภายในพระราชวัง สตรีคนหนึ่งบอกบทและพลิกหน้าบทละครได้อย่างแคล่วคล่องมาก”



แม้ไทยจะเคยติดต่อกับฝรั่งมาเป็นเวลานาน นับแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา แต่การศึกษาก็ยังคงเป็นแผนโบราณอยู่ ตามเดิม การถ่ายทอดวิชาความรู้ศิลปวิทยาการต่าง ๆ ยังน้อยมาก เข้าใจว่ามีเพียง วิธีหล่อปืนไฟ การใช้ปืนไฟในการสงคราม วิธีทำป้อมค่ายสู้กำลังปืนไฟ ตำรายาบางอย่าง เช่น วิธีทำขี้ผึ้ง และตำราทำอาหาร เช่น ฝอยทอง เป็นต้นเท่านั้น ในระยะปลายสมัยกรุงศรีอยุธยาจนถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก การติดต่อกับฝรั่งขาดไประยะหนึ่ง ต่อมาใน พ.ศ. 2361

รัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย จึงได้มีการติดต่อกันอีกครั้งหนึ่ง กล่าวคือ ไทยอนุญาตให้โปรตุเกสเข้ามาตั้งสถานกงสุลในกรุงเทพฯ แต่ไม่มี อำนาจพิเศษอย่างไร ใน พ.ศ.2365

บริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษอยากจะขยายการค้าขายมาถึงกรุงเทพฯ มาควิสเฮสติงส์ผู้สำเร็จราชการอินเดีย แต่งตั้งให้ ให้นายจอห์นครอเฟิด เป็นทูตมาเจรจา เพื่อทำหนังสือสัญญาทางพระราชไมตรี การสนทนาโต้ตอบเป็นไปอย่างลำบากมาก เพราะพูดกันโดยตรงไม่ได้ ต้องมีล่าม คือ ครอเฟิด พูดภาษาอังกฤษกับล่ามของเขา ล่ามนั้นแปลเป็นภาษามลายูให้ล่ามฝ่ายไทยฟัง ล่ามฝ่ายไทยจึงแปลเป็นภาษาไทยเรียนเสนาบดี เมื่อเสนาบดีตอบว่า กระไรก็ต้องแปลกลับไปทำนองเดียวกัน ปรากฏว่าในครั้งนั้นไม่ได้ทำหนังสือสัญญาต่อกัน ในรัชกาลที่ 3 พ.ศ.2369 รัฐบาลอินเดียส่งร้อยเอกเฮนรี เบอร์นีย์มาทำหนังสือ สัญญาทางพระราชไมตรีกับไทย ขอความสะดวกในการค้าขาย แต่หาได้เรียกร้องอำนาจศาลกงสุล ไม่ตรงกัน กลับบัญญัติไว้ว่า ต้องปฎิบัติตามกฎหมายของ บ้านเมืองหนังสือสัญญาต้องทำถึง 4 ภาษา คือ ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ภาษามลายู และภาษาโปรตุเกส ใน พ. ศ. 2371 มีเหตุการณ์อย่างหนึ่งเกี่ยวกับการศึกษา คือพวกมิชชั่นนารีอเมริกัน คณะเพรสไบติเรียนได้เข้ามาสอนศาสนาให้แก่ชาวจีน ส่วนคนไทยนั้นเพียงแต่ช่วยรักษาพยาบาลให้ อย่างเดียว เพราะพวกมิชชันนารีไม่ รู้จักภาษาไทย และไม่ได้เตรียมหนังสือสอนศาสนาเข้ามาด้วย โดยเหตุที่พวกนี้มาช่วยรักษาโรคด้วย ทำให้คนไทยสำคัญว่าพวกมิชชันนารีอเมริกันเป็นแพทย์ จึงเรียกว่า หมอ ซึ่งบางคนก็เป็นแพทย์จริง ๆ แต่บางคนได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิต วิชาศาสนศาสตร์ ครั้นเมื่ออยู่เมืองไทยนานเข้า พวกมิชชันนารีอเมริกันเรียนรู้ ภาษาไทยจึงขยายการสอนศาสนามาถึงคนไทย โดยเขียนคำสอนเป็นภาษาไทยแล้วส่งไปพิมพ์ที่สิงคโปร์

ในรัชกาลพระบาลสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ปรากฏว่า ได้ทรงสร้างโรงชนิดหนึ่ง เรียกว่า โรงทาน โรงทานนี้เป็นสถานที่สำหรับให้การศึกษาด้วย จะเห็น ได่จากคำประกาศเรื่องโรงทานในรัชกาลพระบาลสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวว่า“โรงทานนี้ พระบาลสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ได้ทรงสร้างขึ้นไว้ให้มีเจ้าพนักงานจัดอาหารและสำรับคาวหวานเลี้ยงพระสงฆ์สามเณร และข้าราชการที่ มานอนประจำซองในพระบรมมหาราชวัง กับทั้งบริจาคพระราชทรัพย์แจกคนชราพิการ และมีพระธรรมเทศนาและสอนหนังสือวิชาการต่าง ๆ โดยพระบรมราชประสงค์จะให้เป็นหิตานุหิต ประโยชน์แก่ชนทั้งหลายทั้งปวงในอิธโลกและปรโลกนั้นด้วย”

ดังจะเห็นได้ว่าถึงแม้ในสมัยนั้น จะได้มีโรงเรียนขึ้นแล้วก็ดี แต่หาได้มีจุดประสงค์ไปในทำนองที่จะแยกโรงเรียนออกจากวัดไม่ ทางด้านสามัญศึกษาก็มีวัดเป็น ที่เรียนและมีพระเป็นครู ยังไม่มีสถานที่ซึ่งจัดไว้สำหรับทำการสอนวิชาโดยเฉพาะส่วนการเรียนก็แล้วแต่สมัคร ไม่มีการบังคับ มีการสั่งสอนทางวิชาหนังสือมากกว่าอย่างอื่น

บางทีก็มีการเรียนวิชาเลขเบื้องต้นตามแผนเก่าด้วย


การติดต่อกับฝรั่งในระยะหลัง ๆ นี้ ทำให้คนไทยสำนึกได้ว่า การเรียนรู้ภาษาของเขาตลอดจนวิชาความรู้ใหม่ ๆ เป็นสิ่งจำเป็น เพราะพวกนี้กำลังแผ่อำนาจ มาทางอาเชียตะวันออกมากขึ้นทุกที ผู้ที่พยายามศึกษาจนมีความรู้ สามารถใช้การได้เป็นอย่างดีก็คือ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว พระเจ้าน้องยาเธอกรมหลวงวงศาธิราชสนิท และสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินในสมัยต้นรัชกาลที่ 5 ใน พ. ศ. 2398 ไทยได้ทำหนังสือสัญญาทางพระราชไมตรีกับอังกฤษ และต่อมาก็ทำกับประเทศอื่น ๆ อีกยังผลให้การค้าขายขยายตัวออกไปเป็นอันมาก ดังปรากฏจากจดหมายของหมอบรัดเลย์ตอนหนึ่งว่า

“วันที่ 28 ตุลาคม 2398 เรือกำปั่นใบของอเมริกันชื่อลักเนาเข้ามาถึง เรือพ่อค้าอเมริกันไม่ได้มีเข้ามาถึง 17 ปี วันที่ 1 มกราคม 2399 มีเรือกำปั่นพ่อค้า ทอดอยู่ในแม่น้ำถึง 60 ลำเพราะเหตุที่ได้ทำหนังสือสัญญากับต่างประเทศ การค้าขายเจริญอย่างรวดเร็วไม่เคยมีเหมือนเช่นนี้มาก่อน”


อย่างไรก็ การเรียนวิชาความรู้แบบฝรั่งเชื่องช้ามาก แม้ว่า รัฐบาลมีกิจเกี่ยวข้องกับฝรั่งอยู่เสมอ และมีฝรั่งเข้ามาค้าขายอยู่ในกรุงเทพฯแล้วก็ตามคนไทยที่เรียนรู้ภาษา ฝรั่งก็ยังมีน้อยมาก เห็นจะเป็นเพราะผู้ที่สอนภาษาต่างประเทศมีแต่พวกมิชชันนารี ซึ่งสอนศาสนาบรรดาเจ้านายและ ข้าราชการจึงไม่อยากส่งบุตรหลานไปเรียน เพราะเกรงว่า พวกมิชชันนารีจะสอนให้เปลี่ยนศาสนา พระเจ้าลูกเธอของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ประสูติ เมื่อก่อนทรงผนวชก็มีพระชนมายุพ้นวัยเรียนเสียแล้วพระเจ้าลูกเธอที่ประสูติ เมื่อเสวยราชย์แล้วก็ยังทรงพระเยาว์อยู่ ต้องรอมาจน พ. ศ. 2405 เมื่อสมเด็จ พระเจ้าลูกยาเธอ มีพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นต้น ทรงพระเจริญวัยพอที่จะเล่าเรียนได้ จึงได้โปรดให้จ้างนางแอนนา เอช. เลียวโนเวนส์ เข้ามาเป็นครูสอนภาษาอังกฤษ แต่สอนอยู่ได้ไม่กี่ปี นางเลียวโนเวนส์ก็กลับไปเสีย สมเด็จพระเจ้าลูกเธอที่ศึกษาภาษาอังกฤษในครั้งนั้น และได้ศึกษาต่อมาจนทรงรอบรู้ภาษาอังกฤษเป็นอย่างดี ก็มี พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวอยู่พระองค์เดียว การศึกษาแผนโบราณหนักทางวิชาอักษรศาสตร์ เป็นการศึกษาที่อนุโลมตามแบบแผนและประเพณีไม่มีการค้นคว้าทางธรรมชาติหรือวิทยาศาสตร์ ส่วนวิชาชีพ เช่น วิชาช่างฝีมือต่าง ๆ มีช่างถม ช่างทอง ช่างแกะ ช่างปั้น วิชาแพทย์แผนโบราณ และวิชาอาชีพอื่น ๆ นั้นเรียนกันในวงศ์สกุลและตามท้องถิ่น เป็นการศึกษาแบบสืบตระกูลเป็นมรดกตกทอดกันมา ในกรุงเทพฯ มีท้องถิ่นสำหรับฝึกและประกอบอาชีพ ซึ่งยังมีชื่อติดอยู่จนทุกวันนี้ เช่น ถนนตีทอง บ้านพานถม บ้านบาตร บ้านดอกไม้ บ้านปูน บ้านช่างหล่อ ฯลฯ ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้โปรดให้รวมช่างประเภทต่าง ๆ เหล่านี้ จัดเป็นหมู่ เป็นกรม เรียกว่า กรมช่างสิบหมู่ ดังปรากฏในหนังสือพระราชดำรัสในพระบาลสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงแถลงพระบรมราชาธิบายแก้ไขการปกครองแผ่นดินว่า

“ส่วนซึ่งแบ่งปันฝ่ายทหารแต่ทำการฝ่ายพลเรือนนั้น คือกรมช่างสิบหมู่ ซึ่งแบ่งไว้ในฝ่ายทหารนั้นก็คงจะเป็นด้วยช่างเกิดขึ้นในหมู่ทหารเหมือนทหาร อินเยอเนีย แต่ภายหลังมาเมื่อทำการต่าง ๆ มากขึ้น จนถึงเป็นการละเอียด เช่น เขียนปั้นแกะสลัก ก็เลยติดอยู่ในฝ่ายทหาร แต่ไม่ได้เกี่ยวข้องอันใดในราชการทหารไม่ได้ขึ้น

กรมพระกลาโหมมีแต่กองต่างหาก แม่กองนั้นมักจะเป็นเจ้านายโดยมาก เมื่อเกิดช่างอื่น ๆ ขึ้นอีกก็คงอยู่ในกรมเดิมฝ่ายพลเรือนบ้างทหารบ้าง ไม่เฉพาะว่ากรมช่างจะต้อง

เป็นฝ่ายทหาร เช่นช่างประดับกระจกขึ้นกรมวังช่างมหาดเล็กคงอยู่ในมหาดเล็กเป็นต้น”


สำหรับการศึกษาของพวกสตรีนั้นเป็นการเรียนในบ้าน ส่วนมากเรียนแต่การเย็บปักถักร้อยการครัวและกิจการบ้านเรือน การเรียนหนังสือนั้น ถ้าใจรักก็ได้เรียนบ้างในบ้าน แต่ไม่สู้นิยมให้เรียนกันนัก ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์มักส่งเด็กหญิงเข้าไปอยู่ตามตำหนักเจ้านายในพระบรมมหาราชวัง เพื่อจะได้มีโอกาสเปิดหูเปิดตา ได้เรียนรู้ขนบธรรมเนียมประเพณีและวิชาความรู้ต่าง ๆ ตลอดจนกิริยามารยาทและการครองตนประเพณีนี้ได้ดำเนินมาจนตลอดรัชกาลที่ 5