คุณ MahouKenshi เขียนไว้น่าสนใจมากครับ
ผมเลยไปขออนุญาติเอามาลงที่บอร์ดเราด้วย
ขอบคุณมากๆครับ สำหรับบทความดีๆ ที่มา >> http://www.jokergameth.com/board/showthread.php?t=48405&p=579185#post579185
ประวัติคร่าวๆของซีรี่ย์ The Elder Scroll
The Elder Scroll เป็นเกม Action-RPG ในรูปแบบ Open-World (แนวเปิดกว้าง) ทั้งมุมมองบุคคลที่ 1 และบุคคลที่ 3 ซึ่งถูกพัฒนาโดยบริษัท Bethedas โดยเริ่มวางจำหน่ายภาคแรก The Elder Scroll: Arena เมื่อปี 1994 บนเครื่อง PC หลังจากนั้นจึงมีภาคต่อตามออกมาคือ The Elder Scroll II : Daggerfall ในปี 1996 ซึ่งภาคนี้เป็นภาคที่ได้รับเสียงตอบรับเชิงบวกอย่างดีมากถึงระบบที่มีความลึกซึ้งและแปลกใหม่มากในยุคสมัยนั้น จนกระทั่งมาถึงปี 2002 The Elder Scroll III: Morrowind ได้คลอดออกวางจำหน่าย และถือเป็นภาคแรกที่ใช้เทคโนโลยี 3D เข้ามาสนับสนุนตัวเกมอย่างดี ซึ่งภาคนี้ยังมีภาคเสริมต่อเนื่องตามออกมาอีก 2 ภาค ได้แก่ The Elder Scroll III: Tribunal ในช่วงปลายปี 2002 และ Elder Scroll III: Bloodmoon ในช่วงกลางปี 2003 สิ่งหนึ่งที่ทำให้ภาคนี้แตกต่างจาก 2 ภาคก่อนมากก็คือการที่ภาคนี้มีการวางจำหน่ายตัวเกมพร้อมกับ Construction Set ซึ่งเป็นอุปกรณ์การสร้างเนื้อหาเพิ่มในเกม ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้เล่นสามารถสร้างสรรค์ Mod ต่างๆเข้าใส่เกมได้ ซึ่งมีส่วนช่วยให้เกมนี้มีอายุยาวนานหลายปีหลังจากวางจำหน่ายมา
หลังจากนั้นในปี 2006 หลังจากภาค 3 ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม ภาค 4 ของซีรี่ย์นี้คือ The Elder Scroll IV: Oblivion ก็ได้ออกวางจำหน่ายพร้อมกับ Construction Set ซึ่งภายหลังทำให้เกมนี้เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายในหมู่นักเล่นเกมแนว RPG เนื่องด้วยกราฟฟิคที่งดงาม ฉากอันกว้างใหญ่ และระบบการเล่นที่อิสระ ทำให้ได้รับรางวัล Game of the Year ไปครองอย่างงดงาม ไปจนถึงการที่มี Mod ชื่อดังมากมายถูกสร้างสรรค์มาจากนักสร้าง Mod ทั้งหลาย ทำให้เกมมีอายุยืนนานมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่ง Bethedas เองก็ได้มีการจัดจำหน่ายเกมภาคเสริมของภาคนี้อีกด้วย คือ The Elder Scroll IV: Shivering Isle ในช่วงต้นปี 2007
หลังจากนั้นผ่านมาอีก 5 ปี ในปี 2011 ภาคต่อของมหากาฟย์อันยิ่งใหญ่ก็ได้ออกมาให้ทุกท่านได้ยลโฉมกัน นั่นก็คือ The Elder Scroll V: Skyrim นั่นเองครับ
ประวัติศาสตร์คร่าวๆก่อนจะมาถึง The Elder Scroll V Skyrim
สรุปเนื้อเรื่องคร่าวๆสำหรับภาคนี้ โดยภาคนี้จะทิ้งช่วงห่างจากภาค 4 ยาวนานถึง 200 ปีกันเลยทีเดียว ภาคนี้จะนำเสนอถึงความเสื่อมโทรมของจักรวรรดิ์ Tamriel ที่เริ่มต้นมาตั้งแต่เหตุการณ์ Oblivion Crisis เมื่อ 200 ปีที่แล้ว (เหตุการณ์ในภาค 4) ซึ่งตอนนี้จักรวรรดิ์ Tamriel ที่เคยยิ่งใหญ่อ่อนแอลงมาก จากเดิมในยุคของราชวงศ์ Septim ที่จักรวรรดิ์ยิ่งใหญ่เกรียงไกรมานาน อาณาเขตกว้างขวางไปทั่วทวีป ปกครองทุกดินแดน มาตอนนี้กลับอยู่ในสภาพแทบพังทลาย ถูกรุกรานจากข้าศึกใหม่ที่เข้มแข็งกว่าที่คิด แถมประเทศที่แต่เดิมเคยเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิ์ยังประกาศแยกตัวเป็นอิสระจากจักรวรรดิ์อีก ทำให้จักรวรรดิ์ Tamriel ในยุคนี้อ่อนแอไม่เหมือนแต่ก่อน
ตรงนี้จะเป็นแผนที่ของจักรวรรดิ์ Tamriel โดย Skyrim ที่เป็นฉากของภาคนี้จะอยู่ทางทิศเหนือของจักรวรรดิ์
เนื้อเรื่องในเกมนี้ ปัจจุบันจักรวรรดิ์ Tamriel อ่อนแอลงมาก เริ่มต้นมาตั้งแต่ตอนที่ Martin Septim ทายาทผู้สืบสายเลือด Dragonborn แห่งราชวงศ์ Septim คนสุดท้าย เสียสละตัวเองเพื่อปกป้องโลกเอาไว้เมื่อ 200 ปีก่อน ซึ่งเหตุการณ์นี้ต่อมาถูกเรียกว่า Oblivion Crisis อันเป็นจุดสิ้นสุดของยุคที่ 3 และเป็นการเริ่มต้นยุคที่ 4 จักรวรรดิ์ก็เริ่มอ่อนแอลงเป็นต้นมา จักรวรรดิ์ที่ต้องปกครองตนเองโดยไม่มีจักรพรรดิ์เป็นผู้นำ ไม่สามารถรักษาเอกราชย์ของตัวเองได้ จนสุดท้ายเมื่อนายพล Titas Mede ได้ยกพลเข้าบุกยึดเมืองหลวงของจักรวรรดิ์ได้สำเร็จ เขาได้สถาปณาตนเองเป็นจักรพรรดิ์องค์ใหม่ของ Tamriel และเป็นจักรพรรดิ์องค์แรกในยุคที่ 4 อีกด้วย แต่จักรวรรดิ์ก็ไม่ได้เข้มแข็งขึ้น กลับอ่อนแอลงเรื่อยๆ เริ่มตั้งแต่การที่ Black Marsh (ดินแดนของ Argonian) และ Elsweys (ดินแดนของ Khajiit) ประกาศแยกตัวเป็นอิสระจากจักรวรรดิ์ ไปจนถึงการที่ภูเขาไฟ Red Mountain ซึ่งเป็นภูเขาไฟที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในทวีป ตั้งอยู่บนเกาะ Vvardenfell ใน Morrowind (ฉากของภาค 3 และเป็นดินแดนของ Dark Elf) เกิดระเบิดขึ้น ทำให้เกาะ Vvardenfell ทั้งเกาะถูกทำลายลงไปและส่วนอื่นๆที่เหลือของ Morrowind ได้รับความเสียหายอย่างหนัก จักรวรรดิ์ต้องเสียกำลังคนในการบูรณะซ่อมแซม Morrowind และการพยายามเอาดินแดนที่เสียไปคืนมา แต่ซ้ำร้าย พวก High Elf จาก Summerset Isle (ดินแดนของ High Elf) ได้รวมตัวกันก่อตั้งกลุ่ม Aldmeri Dominion อันเป็นกลุ่มอิทธิพลของ High Elf ซึ่งในยุคอดีตเคยถูกทำลายไปแล้วครั้งหนึ่งขึ้นมาใหม่ เผ่าเอลฟ์ฉวยโอกาสที่จักรวรรดิ์กำลังอ่อนแอประกาศเปลี่ยนชื่อ Summerset Isle เป็น Alinor จากนั้นก็ทำสัญญาเป็นมิตรกับ Valenwood (ดินแดนของ Woof Elf) สถาปณารัฐอิสระขึ้นมาใหม่ภายใต้ชื่อของ Aldmeri Dominion พร้อมทั้งแยกตัวทั้ง 2 ดินแดนดังกล่าวออกจากจักรวรรดิ์ในที่สุด
จนเมื่อถึงปีที่ 171 ของยุคที่ 4 (30 ปีก่อนเนื้อเรื่องภาคนี้จะเริ่ม) กลุ่ม High Elf จาก Aldmeri Dominion ซึ่งมีกลุ่มผู้นำที่เรียกตัวเองว่า Thalmor ได้ยกพลเข้าบุกพื้นที่ Cyrodiil (ฉากของภาค 4 และดินแดนของ Imperial) กับ Hammerfell (ดินแดนของ Redguard) พร้อมกัน หมายที่จะล้มล้างจักรวรรดิ์ให้ได้เพื่อประกาศศักดาว่าเอลฟ์เหนือกว่ามนุษย์ สงครามครั้งนั้นถูกเรียกขานต่อมาว่า มหาสงคราม (Great Wars) ซึ่งจากการบุกของ Aldmeri Dominion ทำให้ Imperial City (ใครเล่นภาค 4 คงจำกันได้นะครับ) อันเป็นเหมือนหลวงของจักรวรรดิ์ถูกทำลายจนได้รับความเสียหายอย่างหนัก และจักรพรรดิ์ Titus Mede ที่ 2 ต้องหนีตายโดยการตีฝ่าวงล้อมของทัพข้าศึกไปอยู่ทางเหนือ โชคดีที่ได้รับกำลังเสริมจาก Skyrim (ฉากในภาคนี้และเป็นดินแดนของ Nord) ทำให้สามารถยึดเอา Cyrodiil คืนมาจากพวกเอลฟ์ได้ในปีต่อมาและขับไล่ Aldmeri Dominion ออกไปจากดินแดนของจักรวรรดิ์ได้สำเร็จ
ปีที่ 175 ของยุคที่ 4 เป็นปีที่มหาสงครามสิ้นสุดลง แม้จักรวรรดิ์จะขับไล่ Aldmeri Dominion ออกไปจาก Cyrodiil ได้สำเร็จ แต่จักรวรรดิ์ก็ได้รับความเสียหายอย่างหนัก จนจักรพรรดิ์ Titus Mede ที่ 2 ต้องยอมตกลงทำสนธิสัญญา White-Gold กับฝ่าย Aldmeri Dominion อันมีเนื้อหาระบุว่าจักรวรรดิ์ต้องยอมให้พวก Thalmor สามารถเข้ามาตั้งสถานฑูตในจักรวรรดิ์ได้อย่างอิสระ เพื่อสังเกตุการณ์ความเคลื่อนไหวภายในดินแดนของจักรวรรดิ์ พร้อมกับสั่งห้ามการบูชา 1 ในเทพทั้ง 9 คือ Talos ที่พวก Aldmeri Dominion มองว่าไม่เหมาะสมเพราะ Talos ในสมัยที่ยังเป็นมนุษย์ได้สร้างผลงานยิ่งใหญ่นั่นก็คือการก่อตั้งจักรวรรดิ์ Tamrial ขึ้นมา จนเมื่อตายไปได้ขึ้นไปอยู่ร่วมกับเทพทั้ง 8 (ใครเล่นภาคก่อนๆมาคงคุ้นเคยกับคำว่า Nine Divines ดี) ซึ่งจักรวรรดิ์เองก็ไม่มีทางเลือก และต้องยอมรับในเงื่อนไขดังกล่าว ยกเว้นแต่ Hammerfell ที่ไม่ยอมรับสนธิสัญญาดังกล่าวและประกาศแยกตัวเป็นอิสระจากจักรวรรดิ์ โดยในตอนหลัง Hammerfell ได้รบกับพวก Aldmeri Dominion ต่อเนื่องไปอีก 5 ปีจนถึงปีที่ 180 จึงได้มีการทำสนธิสัญญากับ Aldmeri Dominion อีกฉบับชื่อสนธิสัญญาแห่ง Stros M'kai อันมีผลทำให้ Aldmeri Dominion ถอนกำลังออกจาก Hammerfell ไปในที่สุด
จนกระทั่งมาถึงปีที่ 201 ของยุคที่ 4 ซึ่งครบรอบ 200 ปีจากเหตุการณ์ในภาค 4 พอดี แม้ว่าสันติสุข (ที่หลายๆคนมองว่าเป็นเหมือนคลื่นสงบก่อนมีพายุใหญ่เท่านั้น) ณ ดินแดน Skyrim ซึ่งยังคงอยู่ในเขตปกครองของจักรวรรดิ์ Tamriel อยู่ (ตอนนี้จักรวรรดิ์มีเขตปกครองเหลือแค่ 4 เขตจากเดิม 9 เขตเท่านั้นคือ Cyrodiil, Skyrim, High Rock (ดินแดนของ Breton) และ Morrowind) โดยชาว Nord ซึ่งเป็นชาวพื้นเมืองของ Skyrim นำโดย Ulfric Stormcloak ได้ประกาศสงครามกับจักรวรรดิ์เพื่อจะแยกตัวเอา Skyrim ออกเป็นอิสระจากจักรวรรดิ์ Tamriel โดย Ulfric Stormcloak ได้เริ่มก่อกบฎโดยการบุกไปท้าประลองและปลงพระชนม์กษัตริย์ของ Skyrim และปลุกระดมชาว Skyrim ให้ลุกขึ้นสู้เพื่อแยกเอา Skyrim ออกจากจักรวรรดิ์ที่กำลังอ่อนแอ โดยอ้างเรื่องที่จักรวรรดิ์ยอมรับข้อตกลงเรื่องการห้ามบูชา Talos มาเป็นสาเหตุในการปลุกระดม (Talos ในสมัยที่ยังเป็นคนมีชื่อว่า Tiber Septim หรือชื่อเรียกพื้นบ้านของชาว Nord ว่า Talos แห่ง Atmora เป็นทั้งผู้สถาปนาและจักรพรรดิ์องค์แรกของจักรวรรดิ์ Tamriel และยังเป็นชาว Nord อีกด้วย ทำให้ชาว Skyrim บูชา Talos เป็นทั้งเทพเจ้าและผู้กล้าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของ Skyrim ดังนั้นการที่จักรวรรดิ์ยอมรับเงื่อนไขของ Aldmeri Dominion ทำให้ชาว Nord รู้สึกโกรธแค้นและขุ่นเขืองมากกว่าอาณาจักรอื่นๆในจักรวรรดิ์) ฝ่ายจักรวรรดิ์จึงต้องให้กองทัพ Imperial Legion ภายใต้การนำของนายพล Tullius เพื่อปราบกบฎลงให้ได้
แต่ไม่ใช่แค่สงครามกลางเมืองอย่างเดียวที่กำลังคุกคาม Skyrim เรื่องที่เลวร้ายกว่ากลับเกิดขึ้นอีกเมื่อมังกร สิ่งมีชีวิตที่ทั้งมนุษย์และเอลฟ์ชื่อว่าสูญพันธุ์ไปจากโลกนานมากแล้วตั้งแต่ยุคโบราณ กลับมาปรากฎตัวขึ้นมาใน Skyrim ก่อให้เกิดความวุ่นวายยิ่งขึ้นไปอีก ตัวเอกซึ่งก็คือตัวเราซึ่งตอนหลังพบว่าตัวเองนั้นเป็น Dragonborn นักรบในตำนานของชาว Nord และมีพลังในการสังหารมังกรและดูดพลังมังกรมาเป็นของตัวเอง เลยต้องลุกขึ้นสู้เพื่อหยุดยั้งมังกรในตำนาน Alduin จอมเขมือบโลกให้ได้ แล้วก็แน่นอนว่านอกจากการไล่ล่าหยุดยั้งพวกมังกรแล้ว Dragonborn ยังต้องเข้าไปพัวพันกับเหตุการณ์ความขัดแย้งใน Skyrim อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้อีกด้วย
Dragonborn คืออะไร?
Dragonborn หรือในภาษามังกรจะถูกเรียกว่า Dovahkiin เป็นบุคคลธรรมดาที่เกิดมาพร้อมกับอำนาจพิเศษที่สามารถเรียกรู้และใช้พลังของภาษาแห่งมังกร หรือมักจะเรียกกันว่า Voice หรือในภาษามังกรว่า Thu'um เป็นพลังที่เปล่งเสียงออกมาให้เกิดอำนาจมหาศาล อันเป็นศาสตร์โบราณที่ว่ากันว่ามีแต่มังกรเท่านั้นที่ใช้ได้ Dragonborn จะมีพลังพิเศษที่สามารถเรียนรู้การใช้ทักษะดังกล่าวได้อย่างเป็นธรรมชาติที่สุดเนื่องจาก Dragonborn คือผู้ที่เกิดมาในร่างของคนแต่มีวิญญาณของมังกรแฝงในตัว นอกจากนั้นแล้ว Dragonborn ยังสามารถที่จะสังหารมังกรและซึมซับเอาวิญญาณของมังกรมาเป็นพลังของตัวเองได้อีกด้วย
Dragonborn คนแรกที่ถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์เกิดมาในยุคที่ 1 ชื่อของเธอคือ Saint Alessia จักรพรรดิณี องค์แรกของจักรวรรดิ์ Cyrodilic ที่ถูกปกครองโดยมนุษย์และไม่ใช่เอลฟ์ เธอทำพันธะสัญญากับ Akatosh อันนำไปสู่การสร้างกำแพงที่ช่วยปกป้อง Nirn จากการรุกรานของสิ่งมีชีวิตจาก Oblivion อีกด้วย และเธอคือผู้ให้กำเนิดลัทธิบูชาทวยเทพทั้ง 8 (หรือ Eight Divines) ขึ้นเพื่อสร้างความปรองดองให้แค่ประชาชนในจักรวรรดิ์ของเธอ
Dragonborn อีกคนที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของจักรวรรดิ์คงหนีไม่พ้น Tiber Septim จักรพรรดิ์องค์แรกของจักรวรรดิ์ Tamriel และเป็นมนุษย์คนแรกที่สามารถรวมเอาทวีป Tamriel เป็นหนึ่งได้สำเร็จ Tiber Septim เป็นชาว Nord และเป็นผู้ศึกษาวิถีแห่งเสียงหรือ The way of Voice และเป็นบุคคลที่สร้างผลงานอันยิ่งใหญ่ตลอดช่วงชีวิตจนสุดท้ายเมื่อสิ้นพระชนม์ได้ถูกรวมเข้าเป็นเทพองค์ที่ 9 และถูกบูชาในฐานะ Talos วีรบุรุษและเทพผู้สร้างจักรวรรดิ์ Tamriel
และแน่นอนที่ขาดไม่ได้ก็คือ Dragonborn คนล่าสุดซึ่งก็คือตัวคุณนั่นเอง เนื้อเรื่องจะดำเนินไปอย่างไร คุณจะกลายเป็นวีรบุรุษที่โลกจะต้องจดจำ เป็นทหารรับจ้างที่ทำทุกอย่างเพื่อสมบัติและเงินทอง เป็นอาชญากรที่ถูกสาปแช่งไปทั่ว เป็นคนโรคจิตที่ไล่ฆ่าทุกอย่างที่ขวางหน้า หรือแค่เลือนหายไปจากประวัติศาสตร์ไปโดยไม่มีใครสนใจ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับตัวคุณเองแล้วครับ
รายละเอียดคร่าวๆของกลุ่มองค์กรที่น่าสนใจในภาคนี้
Imperial Legion เป็นกองทัพของจักรวรรดิ์ Tamriel มีหน้าที่ในการรักษาสันติตามดินแดนต่างๆ โดยทั่วไปแล้วจะเกณฑ์กำลังไพร่พลจากประชาชนในพื้นที่เข้ามารับการฝึกฝนเพื่อรับใช้จักรวรรดิ์ Imperial Legion ในตอนนี้นำทัพโดยนายพล Tullius และมีจุดมุ่งหมายหลักที่จะล้มล้างกองทัพกบฎ Stormcloak ลงให้ได้ และพร้อมที่จะอ้าแขนรับผู้กล้าทุกคนที่มีใจรักภักดีต่อจักรวรรดิ์ Tamriel เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพ โดยในขณะที่กองทัพที่ฐานที่มั่นมากมายทั่ว Skyrim ศูนย์บัญชาการหลักจะอยู่ที่นคร Solitude เมืองหลวงของ Skyrim
Stormcloaks เป็นกลุ่มกบฎที่ก่อตั้งโดย Ulfric Stormcloak จ้าวผู้ครองนคร Windhelm โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะขับไล่จักรวรรดิ์ออกไปจาก Skyrim และแยกตัว Skyrim ออกเป็นประเทศอิสระ กองทัพ Stormcloak เองแม้จะเป็นกองทัพสำหรับชาว Nord แต่ก็พร้อมจะรับทุกคนที่มีใจคิดจะต่อสู้เพื่อ Skyrim และขับไล่จักรวรรดิ์เข้าร่วมกองทัพ โดยในขณะที่กองทัพที่ฐานที่มั่นมากมายทั่ว Skyrim ศูนย์บัญชาการหลักจะอยู่ที่นคร Windhelm อันถือเป็นเมืองที่เก่าแก่ที่สุดของ Skyrim
Companions เป็นกลุ่มทหารรับจ้างอิสระที่มีอิทธิพลและมีชื่อเสียงมากของ Skyrim มีฐานที่มั่นอยู่ที่นคร Whiterun กลุ่ม Companions ไม่มีการระบุตัวหัวหน้าตายตัว และทุกคนจะต้องทำหน้าที่ของตัวเองเพื่อสนับสนุนสมาชิกคนอื่นๆในกลุ่มและเพื่อฝึกฝนฝีมือ สร้างชื่อเสียง และคอยช่วยเหลือพี่น้องให้ในกลุ่ม โดย Companions จะมีลักษณะการทำงานคล้ายกับ Fighter Guild ของจักรวรรดิ์ในภาคก่อนๆ แต่เนื่องจาก Fighter Guild ไม่มีฐานที่มั่นใน Skyrim เหล่านักรบที่ต้องการทำงานทหารรับจ้างจึงต้องเข้าร่วมกับกลุ่ม Companions แทน แม้กลุ่มนี้จะไม่มีการวางตัวหัวหน้ากลุ่มอย่างเป็นทางการ โดยทั่วไปแล้วสมาชิกรุ่นอาวุโสมักจะคอยดูแลควบคุมการทำงานของกลุ่มแทน
College of Winterhold เป็นวิทยาลัยการศึกษาเวทมนต์อาคมต่างๆ มีฐานที่ตั้งอยู่ที่นคร Winterhold โดยวิทยาลัยนี้เป็นกลุ่มอิสระที่ไม่มีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับ Mage Guild ของจักรวรรดิ์ เพราะอย่างนี้ตอนที่ Mage Guild ล่มสลายไปและแยกเป็นกลุ่มย่อย 2 กลุ่มออกมาหลังเหตุการณ์ในภาค 4 (ล่มเพราะอะไร คนที่เล่นคงพอเดาออกนะครับ) ทางวิทยาลัยจึงไม่ได้รับผลกระทบและยังคงดำเนินการสอนและการวิจัยตามปกติ โดยวิทยาลัยนี้จะถ่ายทอดและแลกเปลี่ยนความรู้ด้านเวทมนต์อาคมกับสมาชิกทุกคนในวิทยาลัยอย่างเต็มที่ แต่จะหลีกเลี่ยงการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับบุคคลภายนอกหากเป็นไปได้
Thieves Guild เป็นเครือข่ายการก่ออาชญากรรมผิดกฎหมายที่มีอิทธิพลมากในแทบจะทุกอาณาเขตของจักรวรรดิ์ โดยกลุ่มกิลโจรใน Skyrim นั้นมีฐานที่มั่นอยู่ในนคร Rifton และมีชื่อเสียงที่ค่อนข้างโด่งดังไปทั่ว ไม่เพียงแค่การปล้นสิ่งของ ยังมีการใส่ร้าย การหักหลังและกิจกรรมผิดกฎหมายต่างๆอีกมาก ปัจจุบันกิลโจรในตอนนี้อ่อนแอลงไปมาก ชื่อเสียงและความน่าหวั่นเกรงต่างๆลดลงไปจากแต่ก่อน จนคนส่วนมากเริ่มไม่กลัวและเริ่มแข็งข้อกับกิลมากขึ้น ถึงยังงั้นทางกิลก็ยังมุ่งหวังที่จะฟื้นฟูอิทธิพลของตัวเองขึ้นมาอีกครั้ง และเหล่าโจรหนุ่มสาวที่มั่นใจในฝีมือ สามารถไปทดสอบฝีมือได้ทุกเมื่อ
Dark Brotherhood เป็นสมาคมนักฆ่าที่มีอิทธิพลและมีชื่อเสียงมากที่สุดในจักรวรรดิ์ ในอดีตเคยมีอิทธิพลแผ่ไปทั่วเกือบทุกพื้นที่ของจักรวรรดิ์และถูกมองว่าเป็นองค์กรที่น่ากลัวที่สุด ในปัจจุบัน Dark Brotherhood อ่อนกำลังลงมากเนื่องจากมหาสงครามที่เกิดขึ้น ทำให้ฐานทัพลับของ Dark Brotherhood ใน Cyrodiil ถูกทำลาย และสมาชิกจำนวนมากถูกฆ่า ปัจจุบัน Dark Brotherhood มีฐานที่มั่นสุดท้ายเหลือเพียงแห่งเดียวใน Skyrim เท่านั้น ถึงแม้ Dark Brotherhood จะอ่อนแอลงไปมากแต่ก็ไม่วายที่จะยังมีเหล่าผู้คนมากมายที่ต้องการใช้บริการของ Dark Brotherhood อยู่ดี
Thalmor เป็นกลุ่มชนชั้นปกครองของกองทัพ Aldmeri Dominion ซึ่งเป็นผู้ชนะมหาสงครามกับฝ่ายจักรวรรดิ์ ได้รับสิทธิให้เข้ามาตั้งสถานฑูตใน Skyrim และดินแดนอื่นๆของจักรวรรดิ์ได้อย่างอิสระ มักจะคอยสอดส่องหาจุดอ่อนของจักรวรรดิ์และพยายามสร้างความร้าวฉานภายในจักรวรรดิ์ ไม่มีใครรู้เลยว่า สงครามกลางเมืองของ Skyrim ที่เกิดขึ้นนั้นความจริงแล้วเป็นแผนการของ Thalmor ที่คิดจะบ่อนทำลายจักรวรรดิ์นั่นเอง
พูดถึงโลกของเกม The Elder Scroll
โลกของเกม The Elder Scroll จะถูกเรียกว่า Nirn โดยฉากหลังของเกมทุกๆภาคที่ผ่านมาจะอยู่ในทวีป Tamriel อันเป็นที่ตั้งของจักรวรรดิ์นั่นเอง แต่ก็ไม่ใช่ว่าในโลกของ Nirn จะมีแค่ Tamriel อยู่ที่เดียวเท่านั้นนะครับ ในโลก Nirn ยังมีดินแดนอื่นๆที่อยู่ข้ามฝั่งทะเลไปอีกด้วย ซึ่งหากจะกล่าวกันตามจริงแล้ว Tamriel ก็เป็นแค่ทวีปๆหนึ่งเท่านั้น ทางทิศตะวันออกยังมีดินแดนแห่งมังกร Akavir ที่มีประวัติในการทำสงครามกับ Tamriel มายาวนานตั้งแต่ยุคอดีต ทางทิศเหนือยังมี Atmora บ้านเกิดที่แท้จริงของชาว Nord ไปจนถึง Aldmeris ดินแดนลี้ลับที่พวก High Elf จากมาก่อนจะมาตั้งรกรากแห่งแรกในทวีปนี้ที่ Summerset Isle และ Yokuda ดินแดนบ้านเกิดดั้งเดิมของ Redguard ที่จมหายไปในทะเล และยังมีดินแดนอื่นๆที่ยังไม่ค่อยมีข้อมูลอีก อย่างเช่น Cathnoquey, Esroniet, Pyandonea, Roscrea, Thras และ Yneslea ด้วย
นอกจากโลก Nirn แล้วใน The Elder Scroll ยังมีโลกอื่นอีกซึ่งถูกเรียกว่า Oblivion เป็นโลกอื่นๆที่มีตัวตนในมิติอื่นที่แตกต่างกันไปจาก Nirn ยกตัวอย่างเช่น Shivering Isle ซึ่งเป็นโลกของ Daedric Prince แห่งความบ้าคลั่ง Sheogorath ซึ่งถ้าใครเล่นภาคเสริมในภาคนี้จะมีโอกาสได้ไปเยือนดินแดนแห่งนี้ หรือแม้แต่โลกของ Mehrunes Dagon ซึ่งเป็น Daedric Prince แห่งการทำลายล้าง ภัยพิบัตและความเปลี่ยนแปลง ถ้าใครเล่นภาค 4 คงจะมีโอกาสได้ไปเยือนที่นี่มาแล้วแน่ๆครับ (ทุกครั้งที่คุณก้าวผ่านประตู Oblivion เข้าไป คุณได้เข้าสู่โลกของ Mehrunes Dagon ครับ)
เผ่าต่างๆใน The Elder Scroll
เผ่าต่างๆในเกมจะประกอบไปด้วยชนเผ่าทั้งหมด 9 เผ่าด้วยกัน (ความจริงมีมากกว่านี้ครับ แต่ขอนำเสนอแค่เผ่าที่เราได้เล่นจริงๆละกันเนาะ) ดังต่อไปนี้ครับ
เผ่ามนุษย์
Nord เป็นชนเผ่าพื้นเมืองใน Skyrim มีรูปร่างสูงใหญ่ ชื่นชอบความครื้นเครง การดื่มเหล้า และการต่อสู้ โดยส่วนมากแล้วชาว Nord จะมีความคุ้นเคยกับสภาพอากาศที่หนาวเย็นอันเป็นเอกลักษณ์ของ Skyrim และชาว Nord ส่วนใหญ่มักจะชื่อชอบการจัดการปัญหาอย่างตรงไปตรงมา ไม่ว่าจะเป็นการประลองกันด้วยหมัดและอื่นๆ โดยชาว Nord นั้นจะมีความยึดติดกับประเพณีโบราณของตนเองมาก เช่น การนับถือเทพเจ้าของตนและอื่นๆ
Imperial เป็นชนเผ่าพื้นเมืองใน Cyrodiil มีรูปร่างปกติ ชอบการจัดการ ความเป็นระบบ และการใช้กฎหมายต่างๆ โดยชาว Imperial นั้นมักจะมีการแต่งตั้งระบบเจ้าขุนมูลนายต่างๆ ซึ่งเปรียบได้กับระบบปกครองของยุคโรมันโบราณในโลกเรา เพราะฉะนั้นชาว Imperial จึงมักจะมีการวางกฎเกณฑ์ต่างๆเอาไว้อย่างชัดเจน และการดำเนินการต่างๆอย่างเป็นระบบ โดยมักจะมีชาว Imperial บางกลุ่มที่เกิดในตระกูลขุนนาง มักจะมีสิทธิมากกว่าคนทั่วไป
Breton เป็นชนเผ่าพื้นเมืองใน High Rock มีรูปร่างเล็ก และมีความสามารถทางด้านการใช้เวทย์มนต์สูงที่สุดในบรรดาเผ่ามนุษย์ด้วยกัน ชาว Breton นั้นบางส่วนชอบลักษณะความเป็นอยู่ที่เรียบง่าย แต่โดนส่วนใหญ่แล้วชาว Breton จะชอบศึกษาเวทย์มนต์ และยังชอบเรื่องของการเมือง การจัดการในระบบการเมืองต่างๆ ทั้งระบบขุนนาง และระบบอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับการเมือง ชาว Breton มักจะมองว่าตัวเองคือผู้คิดค้นระบบการเมืองทั้งหมดซึ่งภายหลังถูกต่อยอดมาใช้ในจักรวรรดิ์
Redguard เป็นชนเผ่าพื้นเมืองใน Hammerfell มีรูปร่างสัดทัด ผิวคล้ำ และมีความสามารถทางการต่อสู้สูง ชาว Redguard มักจะประกอบอาชีพเป็นทหารรับจ้าง นักรบ หรือพวกว่าจ้างทำงานอิสระ เนื่องจากมีทักษะทางการรบที่สูง และถูกมองว่าเป็นเผ่าที่มีความแข็งแกร่งไม่ด้อยไปกว่าชาว Nord เลยทีเดียว และยังมีความว่องไวและความสามารถในการต้านทานยาพิษต่างๆ จึงไม่แปลที่ชาว Redguard สามารถทำงานอันตรายต่างๆได้มากมาย
เผ่าเอลฟ์
High Elf หรือ Altmer เป็นชนเผ่าพื้นเมืองใน Summerset Isle และเป็นชนชาวเอลฟ์ที่มองว่าตนเองอยู่เหนือกว่าเผ่าอื่นทั้งหมด ชาว High Elf จะมีรูปร่างสูง แต่เพรียวบาง และมีอำนาจเวทย์มนต์ที่แกร่งกล้ากว่าเผ่าอื่นๆ ชาว High Elf นั้นมักจะไม่ชอบสุงสิงกับชนเผ่าอื่นๆมากเท่าไหร่นัก เนื่องจากมองว่าตนเองมีฐานะที่ดีกว่า และไม่ยอมรับการปกครองของมนุษย์ ทำให้ชาว High Elf ส่วนมากที่อาศัยในอาณาจักรอื่นๆที่ไม่ใช่บ้านเกิดของตน มักจะไม่ชอบยุ่งกับผู้อื่นนอกจากชาว High Elf ด้วยกัน
Wood Elf หรือ Bosmer เป็นชนเผ่าพื้นเมืองใน Valenwood เป็นชนเผ่าเอลฟ์ที่มีรูปร่างเล็ก และชอบอาศัยอยู่ในป่า มักจะอาศัยอยู่ในบ้านตามต้นไม้สูงขนาดใหญ่ ชาว Wood Elf ด้วยความที่มีรูปร่างเล็ก จึงมีลักษณะที่ว่องไว มีความชื่นชอบในการล่าสัตว์เป็นที่สุด และสามารถใช้เวทย์มนต์ได้ดี ตามลักษณะพื้นฐานของชาวเอลฟ์ แต่ด้วยความที่รูปร่างเล็ก ชาว Wood Elf จึงมักถูกดูแคลนจากชนเผ่าอื่นๆ โดยเฉพาะเมื่อพวกเขามาอาศัยในดินแดนอื่นๆที่ไม่ใช่บ้านเกิดของตน
Dark Elf หรือ Dummer เป็นชนเผ่าพื้นเมืองใน Morrowind เป็นชนเผ่าเอลฟ์ที่มีผิวสีเทาและมีดวงตาสีแดงเนื่องจากถูกสาปโดย Azura เป็นชาวเผ่าที่มีความเชื่อเรื่องไสยศาสตร์มาก และมีลักษณะความเป็นส่วนตัวสูง ไม่ชอบสุงสิงกับชาวเผ่าอื่น ชาว Dark Elf สามารถต่อสู้ได้ด้วยทั้งอาวุธและเวทย์มนต์ และมีความสามารถในการขอความช่วยเหลือจากวิญญาณของบรรพบุรุษเพื่อให้มาช่วยเหลือในยามคับขันได้
Orc เป็นชนเผ่าเร่ร่อนที่อาศัยอยู่ตามป้อมปราการต่างๆ แม้จะไม่มีดินแดนของตนเองเหมือนเผ่าอื่นๆ แต่ชาว Orc ก็มีบ้านเกิดหลักอยู่ที่ดินแดนชื่อ Orsinium โดยชาว Orc มองว่าตนเองเป็นลูกหลานของ Daedric Prince นามว่า Malacath และใช้ชีวิตตามคำสอนของ Malacath มาโดยตลอด โดยพวกชาว Orc จะมีร่างกายใหญ่ และมีพละกำลังมาก ในขณะที่ Orc บางคนก็มีอำนาจเวทย์มนต์ด้วย
เผ่าสัตว์
Argonian เป็นชนเผ่าพื้นเมืองใน Black Mash มีลักษณะของกิ้งก่าอยู่ในตัว ชาว Argonian มีความสามารถในการอาศัยในน้ำได้และยังมีความสามารถทางการรบสูง ทำให้ชาว Argonian มักชื่นชอบการทำงานริมน้ำ ดังจะเห็นได้จากการที่พวกเขามักหางานทำในแถบเมืองท่าเป็นสำคัญ ชาว Argonian มักถูกล่าโดย Dark Elf เพื่อนำไปเป็นทาสมายาวนาน ทำให้ชาว Argonian มีความเกลียดชังชาว Dark Elf มากเป็นพิเศษ
Khajiit เป็นชนเผ่าพื้นเมืองใน Elsweyr และมีลักษณะของแมวอยู่ในตัว ชาว Khajiit มี่ทั้งความฉลาดและความว่องไวมากกว่าเผ่าอื่นๆ ทำให้ชาว Khajiit มักจะประกอบอาชีพที่ต้องใช้ความเร็วหรือความเงียบเป็นสำคัญ ชาว Khajiit มีความสามารถในการมองเห็นในที่มืดได้ และสามารถต่อสู้ได้ด้วยเล็บของตัวเอง แม้จะไม่มีอาวุธก็ตาม ด้วยความที่ชาว Khajiit มักจะชื่นชอบงานที่ต้องใช้ความเร็วและความเงียบ ชาว Khajiit จึงมักถูกมองว่าเป็นพวกหัวขโมยในสายตาคนชาวเผ่าอื่นเสมอ
นอกจากชนเผ่าต่างๆแล้วในโลกของ The Elder Scroll ยังมีทั้งเหล่าเทพ (Aedra) และเหล่าเทพอสูร (Daedra) อยู่อีกด้วยครับ
เทพทั้ง 9
เทพทั้ง 9 เป็นเหล่าเทพที่ถูกบูชาโดยชาว Tamriel มานาน แม้ว่าในหลายๆท้องที่จะมีการใช้ชื่อเรียกแตกต่างกันออกไป แต่โดยทั่วไปลักษณะของเทพแต่ละองค์จะเหมือนกันครับ
Akatosh เป็นผู้นำของเหล่าทวยเทพทั้งหมด มักจะปรากฎตัวและถูกบูชาในรูปของมังกร ถูกมองว่าเป็นเทพเจ้าแห่งเวลา และเป็นเทพองค์แรกที่ถือกำเนิดขึ้นในจักรวาล
Dibella เป็นเทพเจ้าแห่งความงาม กลุ่มผู้ที่บูชาเธอมักจะเป็นหญิง และลัทธิต่างๆมักจะมีวิธีการบูชาเธอที่มักจะข้องเกี่ยวกับเรื่องทางเพศ
Arkay เป็นเทพเจ้าแห่งความตาย และมักจะเข้าไปข้องเกี่ยวกับชีวิตมนุษย์ในเรื่องของการเกิด แก่ เจ็บ ตาย
Zenithar เป็นเทพเจ้าแห่งการงาน การค้า ความสำเร็จในหน้าที่การงาน ซึ่งผู้ที่บูชา Zenithar มักจะต้องมีความซื่อสัตย์ในการค้าและการแลกเปลี่ยนต่างๆ
Stendarr เป็นเทพแห่งความเที่ยงธรรม ความถูกต้อง กลุ่มผูุ้ที่บูชาเทพองค์นี้ มักจะพยายามทำทุกอย่างเพื่อกำจัดความชั่ว และช่วยเหลือคนดี
Mara เป็นเทพแห่งความรัก มิตรภาพ และความเห็นอกเห็นใจ มักจะเข้ามาข้องเกี่ยวกับชีวิตมนุษย์ในเรื่องเกี่ยวกับความรัก
Kynareth เป็นเทพเจ้าแห่งธรรมชาติ และถูกมองว่าเป็นผู้สร้างสรรค์ทุกอย่างในธรรมชาติที่สวยงาม ทั้งพืชและสัตว์
Julianos เป็นเทพเจ้าแห่งการคำนวน กฎหมาย ประวัติศาสตร์ และเวทย์มนต์ มักจะถูกบูชาโดยเหล่าจอมเวทย์ทั้งหลาย
Talos เป็นเทพเจ้าเพียงองค์เดียวที่ในอดีตเคยเป็นคนมาก่อน ในสมัยเป็นคนเขาคือ Tiber Septim ผู้สถาปณาจักรวรรดิ์ Tamriel และมีนักรบชาว Nord ที่มีชื่อเสียงที่สุด
เทพอสูรทั้ง 16
นอกจากเหล่าเทพแล้วยังมีเหล่า Daedra ซึ่งมีผู้นำคือ Daedric Prince ดังข้อมูลต่อไปนี้
Daedric Princes คือเหล่า Daedra ที่มีพลังอำนาจมากที่สุด (Daedra คือ พวกสิ่งมีชีวิตทั้งหลายที่อาศัยอยู่ใน Oblivion หรือโลกอื่นๆที่ไม่ใช่โลกของ Nirn ทั้งหมด) ด้วยความที่มีอำนาจมากเหลือล้น คนส่วนมากเลยมักจะบูชา Daedric Princes ราวกับเป็นพระเจ้า (อ้างจากภาค 3 จะเห็นว่าชาว Dark Elf แต่โบราณจะบูชา Daedric Princes แทนพระเจ้า ก่อนที่วัดแห่งไตรเทพ (Tribunal Temple) จะเข้ามามีบทบาทแทน) ส่วนของ Daedric Princes (หรือเรียกให้เข้าใจง่ายๆในภาษาไทยเรา น่าจะคล้ายกับเทพอสูรที่สุด) จะมีโลกของตัวเอง และแม้ Daedric Princes จะปรากฎกายในร่างของผู้หญิงบางครั้ง โดยทั่วไปแล้ว Daedric Princes จะไม่มีการแบ่งแยกเพศชายหญิงแต่อย่างใด
Daedric Princes มักจะไม่สนใจเรื่องคุณธรรมของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นความดี ความเลว ทำให้พวก Daedric Princes มักจะชอบเข้ามายุ่งกับเรื่องราวของมนุษย์เพื่อความพอใจของตัวเองอยู่เป็นประจำ ทำให้การกระทำของ Daedric Princes ที่ติดต่อกับมนุษย์ในโลกนั้นมักจะมีผลกระทบตามมาเสมอและโดยส่วนมากจะไม่ใช่ผลที่ดีเท่าไหร่ แต่ถึงอย่างนั้นไม่ใช่ Daedric Princes ทุกตนที่จะถูกมองว่าเลวร้ายไปซะทุกอย่าง Daedric Princes บางตนเองก็มีส่วนดีและคอยช่วยเหลือมนุษย์อยู่ไม่น้อย เช่น Azura ซึ่งมีส่วนช่วยเหลือตัวเอกในภาค 3 ไม่น้อยและยังเป็นผู้ทำให้คำพยากรณ์ของ Neverine (ตัวเอกในภาค 3) เป็นจริงขึ้นมา หรือ Meridia ที่เกลียดชังอันเดธทุกประเภทและให้ความช่วยเหลือมนุษย์ในการจัดการกับอันเดธ เป็นต้น
Azura เป็น Daedric Prince แห่งรุ่งอรุณและยานตะวันคล้อย (เอ่อ... ผมนึกศัพท์ภาษาไทยไม่ออก เอาตามนี้ละกันนะ) เป็นเจ้าแห่งโลก Moonshadow มักจะถูกเรียกขานกันว่า ราชินีแห่งรุ่งอรุณและยานตะวันคล้อย มารดาแห่งกลีบกุหลาบ ราชินีแห่งท้องฟ้าราตรี และเป็น Daedric Prince เพียงไม่กี่ตนที่ถูกมองว่าอยู่ฝ่ายดีและแสดงความเป็นห่วงเหล่าผู้ที่บูชาเธอมากกว่า Daedric Prince ตนอื่นๆ แม้ว่า Azura จะไม่ได้ชอบสร้างความวุ่นวายในโลก แต่ทุกๆครั้งที่เธอเข้ามาแทรกแซงในเหตุการณ์ใดๆก็ตาม มักจะนำมาซึ่งเหตุการณ์ใหญ่ๆเสมอ (เช่น คำพยากรณ์ Neverine ในภาค 3 เป็นต้น)
สมบัติประจำตัว Azura Star
Boethiah เป็น Daedric Prince แห่งแผนซ่อนเร้น การหักหลัง การฆาตกรรม การลอบสังหารและการทรยศทั้งหลาย หลายครั้งที่เขาจะเข้ามาแทรกแซง สร้างความบาดหมาง การหักหลัง ทรยศในหมู่เพื่อนพ้องทั้งมนุษย์และเอลฟ์
สมบัติประจำตัว Ebony Mail
Clavicus Vile เป็น Daedric Prince แห่งอำนาจ ความปราถนา และการทำสัญญา มักจะปรากฎตัวพร้อมสุนัขคู่ใจ Barbas (หมาพููดได้ในภาคนี้นั่นแหละ) มักจะทำสัญญาต่างๆกับมนุษย์และให้คำสัญญาต่างๆไม่ว่าจะเป็น อำนาจ ความร่ำรวย ซึ่งผู้ที่ทำสัญญากับเขามักจะต้องเสียใจทุกรายไป
สมบัติประจำตัว Masque of Clavicus Vile
Hermaeus Mora เป็น Daedric Prince แห่งโชคชะตา อดีต ปัจจุบัน และอนาคต และเป็น Daedric Prince เก็บรวบรวมแหล่งความรู้อันไร้ที่สิ้นสุดเอาไว้ในโลกของตัวเอง ว่ากันว่าหนังสือมารที่ลัทธิ Mystic Dawn นำมาใช้ในช่วงเหตุการณ์ภาคที่ 4 ถูกเขียนขึ้นโดยเขานี่เอง
สมบัติประจำตัว Oghma Infinium
Hircine เป็น Daedric Prince แห่งการล่า การถูกล่า และถือเป็นบิดาแห่งนักล่าทั้งหมด ว่ากันว่าเขานี่เองที่เป็นคนสร้างเชื้อมนุษย์หมาป่าเข้าสู่โลกนี้ เพื่อทำให้คนธรรมดากลายเป็นนักล่าเพื่อความสนุกของเขา เมื่อถึงคราวที่ใครทำให้เขาไม่พอใจ Hircine จะอัญเชิญ Bloodmoon (อ้างถึงใน The Elder Scroll 3 ภาคเสริมชื่อ Bloodmoon) เพื่อสร้างสนามสำหรับการล่าขนาดใหญ่ เพื่อกำจัดเหยื่อของเขา
สมบัติประจำตัว Savior's Hide, Ring of Hircine
Malacath เป็น Daedric Prince แห่งคำสาป และคำสาบาน ตัวเขาถูกมองว่าเป็นผู้ให้กำเนิดเผ่า Orc ทั้งหมด และได้รับการนับถือจากเผ่า Orc อย่างมาก แม้ว่า Daedric Prince ตนอื่นๆจะไม่มองเขาเป็น 1 ใน Daedric Prince ก็ตาม
สมบัติประจำตัว Volendrung
Mehrunes Dagon เป็น Daedric Prince แห่งการทำลายล้าง การเปลี่ยนแปลง การปฎิวัติและความทะเยอทะยาน ว่ากันว่าเขาเป็นผู้นำมาหายนะ ภัยพิบัติต่างๆมาสู่โลก ทั้งแผ่นดินไหว น้ำท่วม ไฟป่าและอื่นๆ เขาคือผู้ที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ Oblivion Crisis เมื่อ 200 ปีที่ผ่านมานั่นเอง (ใครเล่นภาค 4 คงจะได้ฉะกับเจ้านี่ไปแล้วแน่ๆ)
สมบัติประจำตัว Mehrunes Razor
Mephala เป็น Daedric Prince แห่งการชักใย เป็นผู้ที่มักจะปรากฎตัวให้มนุษย์เห็นทั้งในคราบของชายและหญิง มักจะคอยสร้างความร้าวฉานในหมู่มนุษย์ และมีความสุขที่ได้เห็นเพื่อนรักเข่นฆ่ากันเอง ว่ากันว่า Sithis ที่ Dark Brotherhood บูชานั้น อาจจะเป็นอีกร่างหนึ่งของ Mephala ก็ได้
สมบัติประจำตัว Ebony Blade
Meridia เป็น Daedric Prince ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพลังของชีวิต และเป็น Daedric Prince เพียงไม่กี่ตนที่ถูกมองว่าอยู่ฝ่ายดี โดยเธอเกลียดชังอันเดธในทุกๆรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นแวมไพร์ ซอมบี้ และอื่นๆ ตัวเธอเคยมีส่วนช่วยเหลือตัวเอกในภาค 2 (Daggerfall) มาก่อนด้วย และเธอพร้อมจะตบรางวัลอย่างงามให้แก่มนุษย์ทุกคนที่รับใช้เธอและช่วยเธอทำลายล้างพวกอันเดธให้สิ้นซาก
สมบัติประจำตัว Dawnstar, Ring of Meridia
Molag Bal เป็น Daedric Prince แห่งการครอบงำและการกักขัง มีความสุขในการรวบรวมวิญญาณของมนุษย์และเข้าครอบงำจิตใจของอริให้ยอมเป็นทาสรับใช้ของเขา มักจะให้มนุษย์ที่บูชาเขารับใช้เขาโดยการทำลายจิตวิญญาณของคนดีเพื่อความสนุกของตัวเอง
สมบัติประจำตัว Mace of Molag Bal
Namira เป็น Daedric Prince แห่งความมืด เป็นผู้ที่คอยควบคุมสิ่งมีชีวิตในโลกแห่งวิญญาณ ผู้ที่บูชาเธอมักจะชอบที่จะอาศัยอยู่กับความมืด นอกจากนั้นเธอยังเกลียดชังทุกคนที่คิดจะยื่นมือเข้ามา "ช่วยเหลือ" ผู้ที่บูชาเธอให้ออกจากความมืดอีกด้วย
สมบัติประจำตัว Ring of Namira
Nocturnal เป็น Daedric Prince แห่งเงา ราตรี และเป็น Daedric Prince ที่ถูกบูชาโดย Thieve Guild มาแต่โบราณ เธอเป็น Daedric Prince ที่อาศัยอยู่ในโลกชื่อ Evergloam ในภาคนี้เราจะได้รู้เรื่องราวเกี่ยวกับเธอมากขึ้นผ่านเควสของ Thieve Guild ว่าความจริงแล้ว Nocturnal มีกลุ่มผู้ภักดีพิเศษที่คอยรับใช้เธออยู่ตั้งแต่ยุคโบราณ
สมบัติประจำตัว Skeleton Key
Peryite เป็น Daedric Prince แห่งหน้าที่และลำดับ และถูกมองว่าเป็น Daedric Prince ที่มีอำนาจน้อยที่สุดในบรรดา Daedric Prince ทั้ง 16 ตนแม้จะเลือกปรากฎตัวให้มนุษย์เห็นในร่างมังกรก็ตาม เขามักจะชื่นชอบที่เห็นทุกสิ่งถูกทำอย่างเป็นระบบระเบียบ และสะอาดหมดจดที่สุด
สมบัติประจำตัว Spellbreaker
Sanguine เป็น Daedric Prince แห่งความครื้นเครง อารมณ์ และความปราศถนา เขามักจะเข้ามาเล่นกับชีวิตของมนุษย์โดยการก่อให้เกิดเรื่องราวครื้นเครงต่างๆขึ้น ซึ่งส่วนมากมักจะไม่เหมาะสมสำหรับมนุษย์ แม้บางคนจะมองว่าเขาอาจอยู่ฝ่ายดี แต่หลายครั้งที่การชักจูงของเขาก็นำไปสู่การละเลงเลือดขึ้น
สมบัติประจำตัว Sanguine Rose
Sheogorath เป็น Daedric Prince แห่งความบ้าคลั่ง โดยเขามีโลกของตัวเองอยู่ที่ Shivering Isles (ใครเล่นภาคเสริมนี้ของภาค 4 คงคุ้นเคยกับเขาดีนะครับ) ตัวเขามักจะปรากฎตัวในร่างของชายแก่ถือไม้เท้า และมักจะชอบนำพาความบ้าคลั่งมาสู่มนุษย์ ว่ากันว่า Sheogorath นั้นมีวิญญาณของ Daedric Prince 2 ตนอยู่ในร่างเดียว 1 คือ Daedric Prince แห่งความบ้าคลั่ง Sheogorath และอีก 1 คือ Jyggalag ซึ่ง Jyggalag ถือเป็นตัวตนที่แท้จริงของ Sheogorath ในขณะที่ Sheogorath เป็นตัวตนที่ถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่ครั้งอดีตที่ Jyggalag โดน Daedric Prince ตนอื่นสาปเนื่องจากมีพลังมากเกินไป หลังเหตุการณ์ในภาค 4 Sheogorath กับ Jyggalag ได้แยกออกจากกันอย่างสมบูรณ์ Jyggalag ตัวจริงท่องไปในโลกต่างๆของ Oblivion เพื่อหมายจะสร้างอำนาจให้ตัวเองอีกครั้ง ส่วนตัวเอกในภาค 4 รับตำแหน่ง Sheogorath มาแทน 200 ปีให้หลัง Sheogorath ที่คุณพบในภาค 5 เขาก็คือตัวเอกในภาค 4 นั่นเอง (ตรงนี้เป็นทฤษฎีนะครับ เพราะ Sheogorath บอกว่าตัวเขามีส่วนร่วมกับ Oblivion Crisis เป็นอย่างดี และเขารู้จัก Martin Septim ดี ทั้งๆที่ Sheogorath คนเดิมไม่ได้เข้าไปเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้เลย เพราะงั้น Sheogorath ที่เราเจอในภาคนี้ก็คือตัวเอกของภาค 4 ที่รับอำนาจของ Sheogorath คนเก่ามา จนทั้งนิสัย รูปร่างและเสียงเปลี่ยนไปนั่นเอง )
สมบัติประจำตัว Wabbajack, Staff of Sheogorath
Vaermina เป็น Daedric Prince แห่งฝันร้ายและลางร้าย เธอเป็นผู้ที่มักจะสร้างฝันร้ายให้กับมนุษย์ และมีการกล่าวกันว่า ทุกครั้งที่มนุษย์ฝันร้าย มนุษย์ได้ก้าวเข้าไปสู่โลกของเธอแล้ว เธอมีพลังอำนาจที่สามารถควบคุมวิญญาณผ่านฝันร้ายได้
สมบัติประจำตัว Skull of Corruption
นอกเหนือจากนี้แล้วยังมีสิ่งมีชีวิตอื่นๆอีก ที่แยกย่อยออกมาจากกลุ่มดังกล่าว ได้แก่
Vampire เป็นสิ่งมีชีวิตยามราตรีที่ต้องมีชีวิตอยู่ด้วยการดื่มเลือดจากสิ่งมีชีวิตอื่นเท่านั้น แวมไพร์จะสามารถคงสภาพของตนเองได้ตราบเท่าที่ได้ดื่มเลือดสดๆเสมอ และยังสามารถใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างปกติ แวมไพร์จะมีลักษณะที่แตกต่างไปจากคนทั่วไปเพียงเล็กน้อย แต่จะมีกำลัง ความสามารถที่สูงกว่าคนทั่วไป นอกจากนั้นผู้ที่กลายเป็นแวมไพร์ยังจะมีชีวิตเป็นอมตะ ไม่มีวันตายจากการแก่เถ้าหรือโรคร้ายอีกด้วย
Werewolf เป็นครึ่งคนครึ่งหมาป่า เป็นสิ่งมีชีวิตที่พบเห็นมากใน Skyrim และถูกสร้างขึ้นมาโดย Hircine โดยทั่วไปมักจะอยู่ในร่างคนธรรมดาและสามารถใช้ชีวิตปกติได้ แต่ในยามค่ำคืน มักจะแปลงร่างเป็นมนุษย์หมาป่าออกหากิน มีสัญชาตญาณในการล่าสูง แต่มักจะถูกล่าจากกลุ่มที่เกลียดชังมนุษย์หมาป่ามากๆ
ข้อมูลขององค์กรต่างๆแบบละเอียดครับ
Thieves Guild (ขอเรียกแบบบ้านๆว่ากิลโจรละกันนะครับ)
Thieves Guild (กิลโจร) เป็นกลุ่มเครือข่ายการก่ออาชญากรรมที่มีชื่อเสียงที่สุดในจักรวรรดิ์ Tamriel โดยมีอิทธิพลแผ่ขยายไปทั่วทุกอาณาเขตของจักรวรรดิ์ โดยกิลโจรในแต่ละเขตนั้นมักจะมีการดำเนินการที่แยกออกเป็นอิสระจากกันและไม่ได้ขึ้นตรงต่ออาณาจักรอื่นๆ โดยกิลโจรในแต่ละอาณาจักรนั้นจะมีหัวหน้าคือ Master Thief ซึ่งทำหน้าที่คอยเป็นศูนย์รวมของทั้งกิลในการประสานงานต่างๆ การติดต่อกับลูกค้า ไปจนถึงการคอยรักษาสภาพภายในกิลไม่ให้เกิดความแตกแยกขึ้น ยกเว้นแต่กิลโจรใน Cyrodiil เท่านั้นที่มีผู้นำคือ Gray Fox (จิ้งจอกสีเทา) ซึ่งถือว่าเป็นจอมโจรในตำนานของกิลเลยก็ว่าได้
กิลโจรถูกมองจากเหล่าบุคคลภายนอกว่าเป็นแค่กลุ่มโจรกระจอกเล็กๆเท่านั้น และเหล่าทหารทั้งหลายก็มักจะมองว่ากิลโจรนั้นไม่มีตัวตนอยู่จริง และถึงจะมีจริง เหล่าขุนโจรทั้งหลายที่พร้อมที่จะหักหลังและทรยศพวกเดียวกันได้นั้น ไม่มีทางรวมตัวกันเป็นกลุ่มใดๆได้แน่ แต่ถึงยังงั้นกิลโจรก็ยังอยู่รอดมาได้จนถึงปัจจุบัน ผ่านการที่มีระบบเครือข่ายข้อมูลข่าวสารที่ดีที่สุด และการติดสินบนเจ้าพนักงานหรือกลุ่มผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ ผลที่ตามมาคือ แม้สมาชิกกิลจะก่อความผิดอะไรก็สามารถหาวิธีเอาตัวรอดได้เสมอมา
ใน Skyrim กิลโจรมีฐานที่มั่นอยู่ที่เมือง Riften ซึ่งถือเป็นเมืองที่มีการโกงกินกันมากที่สุดใน Skyrim โดยกิลโจรจะมีฐานที่มั่นซ่อนอยู่ในทางระบายน้ำใต้ดินของเมือง Riften ซึ่งชาวเมืองจะเรียกว่า Ratways (ทางหนูผ่าน) โดยสมาชิกของกิลจะทำการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารและรับงานกันในร้านเหล้าใต้ดินชื่อ Ragged Flagon โดยเหล่าขุนโจรอิสระทั้งหลายที่ต้องการจะสร้างชื่อให้ตนเองและใช้บริการของกิลจะต้องผ่านการทดสอบเป็นสมาชิกของกิลเสียก่อน
ปัจจุบันกิลโจรใน Skyrim อ่อนแอลงจากสมัยก่อนมาก เหล่าสมาชิกที่เคยมีกันจนแน่น Ragged Flagon กลับค่อยๆทยอยตีตัวออกห่าง ลูกค้าเก่าๆเริ่มหมดศรัทธาในกิล และชื่อเสียงที่กิลเคยสร้างไว้มานานค่อยๆเริ่มหมดความขลังหลงไป ทำให้แม้แต่พ่อค้า แม่ค้าธรรมดาที่เคยจ่ายค่าคุ้มครองให้กับกิลพากันแข็งข้อกันหมด แม้แต่ทหารยามในเมืองยังคิดว่ากิลโจรหมดน้ำยาไปแล้วจริงๆซะอีก ถึงแม้ชื่อเสียงของกิลจะถดถอยลงไป แต่สมาชิกหลักๆหลายๆคนก็ยังพยายามอย่างเต็มที่ๆจะสร้างกิลให้กลับมามีความเข้มแข็งอีกครั้งหนึ่งให้ได้
การเข้าร่วมกับองค์กรนี้
เราจะต้องเดินทางไปที่เมือง Riften และไปตามหา Brynjolf สมาชิกขององค์กรซึ่งมักจะอยู่ในย่านตลาดนัดของเมืองหรือร้านเหล้าในยามกลางคืน ทดสอบฝีมือเพื่อพิสูจน์ว่าตัวคุณมีความสามารถในการเป็นโจรสูงพอและไม่กลัวที่จะกระทำความผิด แล้ว Brynjolf จะให้โอกาสคุณเข้าร่วมกับกิลได้ครับ
ผลประโยชน์จากการเข้าร่วมกับองค์กรนี้
- เมื่อกิลโจรกลับมามีความเข้มแข็งเหมือนเดิมแล้ว คุณจะสามารถใช้เส้นสายของกิลในการจ่ายเงินค่าปรับให้กับทหารยามในกรณีที่คุณทำผิดแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น
- คุณสามารถเข้าไปพักผ่อนใน Ragged Flagon ร้านเหล้าใต้ดินได้ และสามารถใช้เตียงหรือห้องฝึกฝีมือเพื่อพัฒนาฝีมือตัวเองได้
- คุณสามารถขายสินค้าที่ขโมยมาให้แก่สมาชิกของกิลได้
- เมื่อคุณช่วยพัฒนากิลจนกลับมาเข้มเข็งเหมือนเดิมแล้ว ภายใน Ragged Flagon จะมีร้านค้าใหม่ๆเปิดเพิ่มขึ้น
- คุณสามารถทำภารกิจย่อยเกี่ยวกับการขโมย การใส่ร้าย การเปลี่ยนข้อมูลและอื่นๆได้ไม่จำกัด
- คุณจะได้รับชุดเกราะเบาสำหรับสมาชิกกิลมาใช้ฟรีๆ
ภาพตัวอย่างชุดของสมาชิกกิลโจร
Thieves Guild Armor
Guild Master Armor
Nightingale Armor
Dark Brotherhood
Dark Brotherhood ถือเป็นกลุ่มนักฆ่าที่มีประวัติความเป็นมายาวนานตั้งแต่อดีต และจะมีระบบการทำงานที่มีประสิทธิภาพแล้วก็มีอัตราสำเร็จในการกำจัดเป้าหมายสูง โดยว่ากันว่าหากใครที่ต้องการจะติดต่อกับ Dark Brotherhood ต้องทำพิธีบูชาที่เรียกว่า The Sacrament ซึ่งเป็นพิธีโบราณที่เชื่อกันว่าจะทำให้ Night Mother (มารดาแห่งรัตติกาล) จะได้ยินคำขอร้องนั้นแล้วส่งนักฆ่าของกิลมาติดต่อกับผู้ทำพิธี โดยผู้ทำพิธีจะต้องจ่ายค่าจ้างที่เหมาะสมกับเป้าหมายด้วย
Dark Brotherhood เป็นองค์กรที่มีความน่าเกรงขามมากที่สุดในจักรวรรดิ์ และทำหน้าที่ในการลอบสังหารบุคคลสำคัญๆทั่วทั้งจักรวรรดิ์สำเร็จมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว ระบบของกิล Dark Brotherhood จะมีผู้นำคือ Listener (ผู้รับสาร) ซึ่งจะเป็นบุคคลพิเศษที่ถูกเลือกโดย Night Mother ให้เป็นผู้รับฟังสาน์สในการลอบสังหารที่ Night Mother ได้รับรู้มาจากการทำพิธีกรรมอีกที Listener จะนำข้อมูลที่ได้ยินมาไปบอกต่อสมาชิกอื่นๆเพื่อดำเนินภารกิจตามที่ได้มอบหมายให้สำเร็จ
Dark Brotherhood ไม่ได้บูชาเทพเจ้า (Aedra) ทั้ง 9 หรือเทพอสูร (Deadra) ทั้ง 16 เลย แต่บูชา Sithis ที่เป็นสัญลักษณ์ของความว่างเปล่าและความตาย ว่ากันว่า Night Mother ในอดีตเป็นสตรีที่ให้กำเนิดบุตรแก่ Sithis แล้วสังหารบุตรของตัวเองจนหมดเพื่อถวายเป็นของกำนัลให้แก่ Sithis ทำให้ Sithis กลายเป็นสัญลักษณ์ของ Dark Brotherhood มายาวนานจนถึงปัจจุบัน
ส่วนนี่คือสัญลักษณ์รูปมือดำ เป็นสัญลักษณ์ของทั้ง Dark Brotherhood และสัญลักษณ์ของกลุ่ม Black Hand (อ้างจากภาค 4) ที่ว่ากันว่าเป็นกลุ่มนักฆ่าที่เก่งที่สุดของ Dark Brotherhood ในอดีต
ในปัจจุบัน ปีที่ 201 ของยุคที่ 4 กลุ่ม Dark Brotherhood อ่อนกำลังลงมากหลังจากมหาสงครามจบลง ทำให้กลุ่ม Dark Brotherhood ถูกกวาดล้างลงไปจนเกือบหมด Listener คนก่อนที่เป็นผู้รับสาส์นจาก Night Mother ก็พลอยถูกฆ่า และหลุมศพของ Night Mother ในเมือง Bravil ภายใน Cyrodiil (อ้างจากภาค 4) ถูกทำลาย ทำให้กลุ่ม Dark Brotherhood ต้องอพยพซากของ Night Mother ไปเก็บรักษาไว้ที่อื่นแทน เมื่อกลุ่ม Dark Brotherhood ไม่มี Listener เป็นผู้คอยนำสาส์นจาก Night Mother มาส่งต่อนักฆ่าในกลุ่ม ทำให้ประสิทธิภาพในการดำเนินงานของ Dark Brotherhood ลดลงไปอย่างมาก แถมกลุ่มยังยกเลิกการใช้กฎบัญญัติทั้ง 5 (Tenet) ซึ่งเป็นกฎที่สมาชิกทุกคนต้องปฎิบัติตามลงไปเสียอีก โดยที่ซ่อนที่สุดท้ายของ Dark Brotherhood ใน Skyrim เองก็ถือว่าเป็นฐานทัพสุดท้ายของ Dark Brotherhood ทั่วจักรวรรดิ์เอง ก็ดำเนินการโดยการรับข่าวสารจากแหล่งอื่นๆและลอบฆ่าเป้าหมายให้ได้ ทำให้ Dark Brotherhood ตอนนี้ไม่แตกต่างไปจากแก๊งค์นักฆ่าธรรมดาๆเลย โดยหัวหน้ากลุ่มคนปัจจุบันคือ Astrid ซึ่งเธอพยายามทำทุกวิถีทางที่จะให้กลุ่มของเธอสามารถคงอยู่ต่อไปได้
การเข้าร่วมกับองค์กรนี้
คุณจะต้องฟังข่าวสารจนกระทั่งคุณได้ข่าวว่ามีเด็กน้อยคนหนึ่งชื่อ Aventus Aretino กำลังพยายามทำพิธี The Sacrament เพื่อเรียกกลุ่ม Dark Brotherhood ไปหาเขา คุณจะต้องเดินทางไปพบกับเด็กน้อยคนนี้และทำความฝันของเขาให้เป็นจริง ซึ่งจะทำให้คุณได้เข้าไปพัวพันกับ Dark Brotherhood อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ผลประโยชน์จากการเข้าร่วมกับองค์กรนี้
- คุณจะสามารถเข้าไปอยู่อาศัยในฐานทัพลับของกลุ่มได้
- คุณจะได้รับชุดเกราะเบาและชุดผ้าที่เป็นเอกลักษณ์ของกลุ่มมาใช้ได้ฟรีๆ
- คุณจะสามารถชวนสมาชิกของกลุ่มบางคนเข้าเป็นผู้ติดตามของคุณได้
- คุณจะได้รับพลังพิเศษเพื่อเรียก Spectral Assassin หรือตัวจริงก็คือ Lucian Lachance ซึ่งเป็นสมาชิกของกลุ่ม Black Hand ในภาคที่แล้ว มาช่วยได้ โดยเขาจะอยู่กับคุณจนกว่าจะตาย และถึงตายก็สามารถเรียกใหม่ได้วันละ 1 ครั้ง
- คุณจะได้รับสุดยอดม้าในเกม Shadowmere มาเป็นของตัวคุณเอง
ภาพตัวอย่างชุดของสมาชิกกิล Dark Brotherhood
Shrouded Armor
Shrouded Robe
Shadowmere กับ Lucian Lachance (Spectral Assassin)
Stormcloaks
Stormcloaks เป็นกองทัพกบฎภายใต้การนำทัพของ Ulfric Stormcloak เป็นกลุ่มกองทัพที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อขับไล่จักรวรรดิ์ออกไปจากดินแดน Skyrim โดย Ulfric Stormcloak ได้ใช้เหตุผลในเรื่องของการที่จักรวรรดิ์ยอมรับสนธิสัญญา White-Gold จากฝ่ายเอลฟ์ และยอมให้มีการสั่งห้ามการบูชาเทพเจ้า Talos ทำให้ชาว Nord รู้สึกแค้นเคืองการตัดสินใจครั้งนี้มากเป็นพิเศษ Ulfric Stormcloak จึงใช้จุดนี้เป็นส่วนช่วยปลุกระดมเหล่าคนหนุ่มสาวแห่ง Skyrim ให้ลุกฮือขึ้นมาต่อสู้เพื่อขับไล่จักรวรรดิ์และแยกตัว Skyrim ออกเป็นประเทศอิสระอย่างเต็มตัว
กองทัพ Stormcloaks นั้นมีฐานที่มั่นใหญ่อยู่ที่เมือง Windhelm ซึ่งเป็นเมืองใต้ปกครองของ Ulfric Stormcloak โดยประชาชนส่วนใหญ่ในเมืองเห็นด้วยกับความคิดของ Ulfric Stormcloak และให้การสนับสนุนเขาอย่างเต็มที่ในการทำสงครามกับจักรวรรดิ์ นอกจากนั้นเมืองอื่นๆที่อยู่ใต้เขตปกครองของฝ่าย Stormcloaks ยังได้รับการอนุญาติให้สามารถบูชา Talos ได้อย่างเปิดเผย ซึ่งช่วยให้ชาว Nord มากมายให้การสนับสนุน Ulfric Stormcloak อย่างมาก
กองทัพ Stormcloaks มักจะดำเนินภารกิจในรูปแบบของกองโจรเป็นส่วนมาก และมักจะมีการตั้งค่ายตามจุดต่างๆทั่ว Skyrim เพื่อพยายามจะลอบจู่โจมและแย่งชิงพื้นที่มาจากฝ่ายจักรวรรดิ์ ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว หากจักรวรรดิ์ Tamriel ยังเข้มแข็งเหมือนในอดีต กองทัพของจักรวรรดิ์คงสามารถที่จะโค่นล้มฝ่าย Stormcloaks ลงได้ไม่ยาก แต่เนื่องจากการที่จักรวรรดิ์ในปัจจุบันนั้นอ่อนแอ แถมสูญเสียกำลังไพร่พลไปมากมายในช่วงมหาสงคราม ทำให้ฝ่ายกองทัพ Stormcloaks สามารถทำสงครามยืดเยื้อมาได้นานถึงขนาดนี้นั่นเอง
กองทัพ Stormcloaks แม้จะเป็นกองทัพที่ก่อตั้งขึ้นมาเพื่อประกาศอิสระภาพให้แก่ชาว Nord และแยกตัวเอา Skyrim ออกจากจักรวรรดิ์ พวก Stormcloaks เองก็ยังพร้อมที่จะอ้าแขนรับผู้กล้าทั้งหลายที่พร้อมจะเรียกตัวเองว่า "บุตร ธิดา ที่แท้จริงแห่ง Skyrim" เข้ามาร่วมกับกองทัพได้ทุกเมื่อ
การเข้าร่วมกับองค์กรนี้
หากคุณหนีออกมาจาก Helgan พร้อม Ralof คุณจะได้รู้ข้อมูลเรื่องกองทัพ Stormcloaks หรือไม่ก็ให้เดินทางไปที่เมือง Windhelm และไปพบกับ Ulfric Stormcloak เขาจะให้คุณเข้ารับบททดสอบกับนายกองคนสนิทของเขา Galmar Stone-Fist หากคุณผ่านบททดสอบได้ คุณก็จะได้เข้าเป็นส่วนหนึ่งของ Stormcloaks
ผลประโยชน์จากการเข้าร่วมกับองค์กรนี้
- คุณสามารถเข้าทำสงครามเพื่อช่วยให้ฝ่าย Stormcloaks ชนะสงครามได้
- คุณจะได้รับชื่อเสียงและชุดเกราะจากฝ่าย Stormcloaks
ภาพตัวอย่างชุดของทหารฝ่าย Stormcloaks
Stormcloaks Armor
Stormcloaks Officer Armor
Companion
Companion เป็นกลุ่มทหารรับจ้างอิสระใน Skyrim ซึ่งมีลักษณะการทำงานคล้ายกับ Fighter Guild ของจักรวรรดิ์ Tamriel ถือเป็นกลุ่มทหารรับจ้างที่มีชื่อเสียงที่สุด และมักจะรับจ้างทำงานต่างๆที่ข้องเกี่ยวกับความอันตราย แลกเปลี่ยนกับค่าจ้างวานเป็นเงินจำนวนหนึ่ง โดยสมาชิกของกลุ่ม Companion จะมีการทำงานร่วมกันกับพี่น้องในกลุ่ม และสมาชิกที่เข้าร่วมคนใหม่ๆจะถูกมองว่าเป็นพี่น้องกันกับสมาชิกคนอื่นๆในกลุ่ม ทำให้ Companion มีความเป็นกันเองมากกว่า Fighter Guild
การดำเนินการของ Companion จะเน้นการรับงานจากประชาชนในท้องที่ และดำเนินการปฎิบัติงานให้เสร็จสิ้นแลกกับค่าจ้างตามที่ตกลงกัน โดยค่าจ้างส่วนหนึ่งจะแบ่งไปให้สมาชิกในกลุ่มที่ทำหน้าที่จัดการกับภารกิจนั้นๆ ในขณะที่ค่าจ้างอีกส่วนจะแบ่งไว้เพื่อใช้ส่วนรวม โดยสมาชิกแต่ละคนที่มีฝีมือเพียงพอ มักจะถูกจัดให้ไปทำงานตามระดับฝีมือของตัวเอง หรือบางครั้งอาจจะต้องมีการทำงานร่วมกับสมาชิกคนอื่นในกลุ่มด้วย
กลุ่ม Companion จะมีฐานที่มั่นอยู่ที่โรงเหล้า Jorrvaskr ในเมือง Whiterun ซึ่งเป็นสถานที่ๆเหล่าสมาชิกของ Companion มักจะใช้เวลาว่างจากการทำภารกิจในการดื่มเหล้า สังสรรค์ เฮฮา ต่อยตีกันเอง และฝึกฝนฝีมือตามสมควร โดยกลุ่ม Companion จะไม่มีการกำหนดตัวผู้นำอย่างชัดเจน และสมาชิกทุกคนจะต้องคอยดูแล ปกป้อง และช่วยเหลือพี่น้องสมาชิกอื่นๆกันอย่างเต็มที่ แต่ถึงอย่างนั้นแล้วภายในกลุ่ม Companion ก็มีบุคคลที่มีฐานะเป็นเหมือนหัวหน้ากลุ่มเช่นกัน นั่นคือ Kodlak Whitemane สมาชิกอาวุโสที่สุดของกลุ่ม และเป็นสมาชิกของกลุ่ม Circle ซึ่งเป็นกลุ่มย่อยภายในของ Companion อีกด้วย ซึ่งแม้ตัวเขาเองจะปฎิเสธตำแหน่ง แต่หลายๆคนใน Companion ก็ยังมองให้เขาเป็นผู้นำของกลุ่มอยู่ดี
สำหรับนักรบทั้งหลายที่ต้องการจะฝึกฝีมือ สร้างชื่อเสียง หรือหาความร่ำรวย สามารถมาเข้าร่วมกับกลุ่ม Companion ได้ที่เมือง Whiterun โดย Kodlak Whitemane มักจะกล่าวเสมอว่า "บางครั้งผู้ที่มีชื่อเสียงมักจะมาหาผู้เรา แต่บางครั้งผู้ที่หวังสร้างชื่อเสียงก็จะมาหาพวกเรา ซึ่งมันก็ไม่แตกต่างกันเลยซักนิด" ดังนั้นใครที่ต้องการจะเข้ารับการทดสอบเพื่อเข้าเป็นสมาชิกใหม่ของกลุ่มจะต้องมาพบเขาเป็นคนแรก
การเข้าร่วมกับองค์กรนี้
เราจะต้องเดินทางไปที่เมือง Whiterun และไปพบกับ Kodlak Whitemane ในชั้นใต้ดินของโรงเหล้า Jorrvaskr เมื่อเขามองว่าเรามีความสามารถเพียงพอที่จะร่วมเป็นส่วนหนึ่งของเขาได้ เขาก็จะอนุญาติให้เราเข้ารับการทดสอบเข้าร่วมกลุ่มได้
ผลประโยชน์จากการเข้าร่วมกับองค์กรนี้
- คุณจะสามารถรับงานอิสระได้จากสมาชิกระดับสูงของกลุ่มได้อย่างไม่จำกัด
- คุณสามารถชวนให้สมาชิกในกลุ่มเข้าร่วมเป็นผู้ติดตามคุณได้
- คุณสามารถพักผ่อนในโรงเหล้า Jorrvaskr ได้
- คุณสามารถสร้างชุดเกราะ Nord โบราณที่ Skyforge ได้ในภายหลัง
- คุณสามารถกลายร่างเป็น Werewolf ได้
ภาพตัวอย่างชุดของกลุ่ม Companion
Ancient Nord Armor
Wolf Armor
College of Winterhold
College of Winterhold เป็นวิทยาลัยการศึกษาทางด้านศาสตร์เกี่ยวกับเวทย์มนต์ อาคม และคาถาต่าง เป็นกลุ่มสมาคมอิสระที่ไม่ได้ขึ้นต่อ Mage Guild ของจักรวรรดิ์ เพราะฉะนั้นหลังจาก Mage Guild ล่มสลายและแตกออกมาเป็น 2 กลุ่มย่อย ทำให้ College of Winterhold สามารถดำเนินการเรียน การสอน การวิจัยต่อไปได้ โดยไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใด โดยระบบการบริหารจัดการของ College of Winterhold จะคล้ายกับ Mage Guild คือ จะมี Arch-Mage เป็นผู้นำ ในขณะที่สมาชิกคนอื่นๆจะดำเนินการเรียน การสอน และฝึกฝนเวทย์มนต์ของตัวเองต่อไป
College of Winterhold จะตั้งอยู่ในเมือง Winterhold และถูกมองว่าเป็นตัวปัญหาของเมืองเนื่องจากเหตุการณ์ที่เมือง Winterhold เกิดถล่มไปเกือบทั้งเมือง โดยมีแค่ที่ตั้งของวิทยาลัยเท่านั้นที่อยู่รอดปลอดภัย ทำให้ชาวเมืองต่างพากันโทษทางวิทยาลัยว่าเป็นต้นเหตุของการถล่มครั้งใหญ่ แม้ทางวิทยาลัยจะพยายามปฎิเสธมาโดยตลอดก็ตามที ประกอบกับการที่ชาว Nord แต่เดิมไม่ถูกกับเวทย์มนต์อยู่แล้ว (ใครเล่นเกมซีรี่ย์นี้มานานคงจะคุ้นเคยกับสถานการณ์ระหว่าง Nord เปลือยกับแม่มดนะครับ
) ทำให้วิทยาลัยไม่ได้รับการตอบรับที่ดีนัก
วิทยาลัยแม้จะไม่ได้รับการยอมรับจากชาวเมืองเท่าไหร่นัก แต่ก็ยังสามารถอยู่รอดได้จากการรับจ้างลงอาคมต่างๆเป็นครั้งคราว โดยสมาชิกของ College of Winterhold จะมีการออกไปศึกษานอกสถานที่เป็นครั้งคราว และพยายามหลีกเลี่ยงการติดต่อกับโลกภายนอกให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ โดยภายในวิทยาลัยนั้น สมาชิกทุกคนจะมีการทำวิจัยได้อย่างเต็มที่ ตราบใดที่ไม่มีการเข้าไปก้าวก่ายกับสมาชิกคนอื่นๆ และความรู้ที่ได้จะมีการแบ่งปันกันภายในหมู่สมาชิกอีกด้วย
College of Winterhold เปิดรับสมัครสมาชิกใหม่ที่มีความต้องการจะฝึกฝนเวทย์มนต์คาถา และก็เพราะว่า College of Winterhold เป็นสถานที่เดียวภายใน Skyrim ที่มีการเรียนการสอนเวทย์มนต์กันอย่างอิสระ ทำให้เหล่านักเวทย์ทั้งหลายไม่มีทางเลือกมากนักนอกจากจะมารับการฝึกฝนที่วิทยาลัยแห่งนี้
การเข้าร่วมกับองค์กรนี้
เราจะต้องเดินทางไปที่เมือง Winterhold และเข้าไปที่อาคารวิทยาลัย College of Winterhold โดยก่อนจะเข้าไปได้ เราจะต้องแสดงความสามารถทางเวทย์มนต์ให้แก่ ผู้เฝ้าประตูดูเสียก่อน เมื่อความสามารถทางเวทย์มนต์ของเราได้รับการยอมรับแล้วเราจะสามารถผ่านเข้าร่วมหลักสูตรของ College of Winterhold ได้
ผลประโยชน์จากการเข้าร่วมกับองค์กรนี้
- ห้องพักและตู้เก็บของส่วนตัวที่คุณสามารถใช้ได้ตามที่ต้องการ
- ห้องของ Arch-Mage จะกลายเป็นของคุณในภายหลัง
- หอสมุดที่มีการรวบรวมหลักสูตรความรู้ที่ใหญ่ที่สุดใน Skyrim ให้คุณเข้าไปอ่านได้
- สมาชิกในวิทยาลัยที่มีตำราเวทย์มนต์ระดับสูงขายมากมาย
- คุณสามารถรับเควสช่วยเหลือสมาชิกในวิทยาลัยได้อย่างไม่จำกัด
- คุณจะได้รับเครื่องแบบของนักเวทย์มาใส่ฟรีๆ
ภาพตัวอย่างชุดของทางวิทยาลัย
Arch-Mage Robe
Imperial Legion
Imperial Legion คือกองทัพรักษาการของจักรวรรดิ์ Tamriel มีหน้าที่คอยรักษาเอกราชของจักรวรรดิ์และทำทุกวิถึทางเพื่อขับไล่และทำลายข้าศึกที่คิดจะเข้ามารุกรานความเป็นเอกราชของจักรวรรดิ์ โดย Imperial Legion จะมีการเกณฑ์กำลังไพร่พลจากประชากรที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เพื่อให้เข้าร่วมกับกองทัพ และจะต้องได้รับการฝึกฝนเพื่อให้สามารถออกรบและปกป้องจักรวรรดิ์เอาไว้ให้ได้
ในยามสงบ Imperial Legion จะทำหน้าที่คอยปกป้องประชาชนของจักรวรรดิ์ ออกลาดตระเวณตามทางหลวง คุ้มครองประชาชนในเมืองต่างๆ และหากมีสถานการณ์อันตรายใดๆเกิดขึ้น กองทัพจะถูกเรียกเข้ามาเพื่อจัดการปัญหา เช่น การกวาดล้างโจรป่า หรือการกำจัดสัตว์ร้ายที่ออกอาละวาดตามที่ต่างๆ โดย Imperial Legion จะประจำทหารของตนเอาไว้ตามป้อมต่างๆทั่วไป เพื่อให้ง่ายต่อการออกเดินทางไปรับมือกับสถานการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น
ส่วนมากแล้ว Imperial Legion ในอาณาจักรที่สงบสุขมักจะไม่ค่อยได้ทำอะไรเท่าไหร่ นอกจากหน้าที่ที่กล่าวมาข้างต้น แต่ตามอาณาจักรหรือสถานที่ๆอันตราย ทหารของ Imperial Legion สามารถที่จะสร้างชื่อให้กับตนเองได้ เช่นใน Morrowind ซึ่งเป็นอาณาจักรสุดท้ายที่ถูกผนวกรวมเข้ากับจักรวรรดิ์ผ่านการทำสนธิสัญญากัน ทำให้ Morrowind ถือเป็นดินแดนที่ยังคงอันตรายและทหารของ Imperial Legion มักจะต้องพบกับเรื่องอันตรายเสมอ แต่ผู้ที่รอดก็มักจะสร้างชื่อเสียงจนกลายเป็นตำนานได้ (อ้างอิงจากภาค 3)
ในยามสงคราม Imperial Legion จะต้องมีการระดมพลกองทัพจำนวนมากเพื่อเข้ามารับศึกสงครามที่เกิดขึ้น เช่นในเหตุการณ์ในภาคนี้ เมื่อมีกองทัพกบฎเกิดขึ้น กองทัพ Imperial Legion จะต้องระดมทหารทั้งหมดเพื่อออกทำสงครามเต็มรูปแบบ การปฎิบัติหน้าที่ของทหาร Imperial Legion จึงแตกต่างไปจากยามปกติ
กองทัพ Imperial Legion มีฐานที่มั่นในป้อมต่างๆทั่ว Skyrim แต่ศูนย์บัญชาการหลักจะอยู่ที่เมือง Solitude เมืองหลวงของ Skyrim และมีนายพล Tullius เป็นผู้บังคับการสูงสุด มีหน้าที่ออกคำสั่งให้กับนายกองทั้งหลาย
การเข้าร่วมกับองค์กรนี้
หากเราหนีออกมาจาก Helgan พร้อมกับ Hadvar เขาจะชวนให้เราไปสมัครเข้าร่วมกับ Imperial Legion ที่เมือง Solitude หรือไม่เราก็ต้องเดินทางไปที่ Solitude ด้วยตัวเองแล้วไปรายงานตัวกับ นายพล Tullius ซึ่งเขาจะให้เราไปรายงานตัวกับนายกองของเขา Lekke เพื่อรับบททดสอบในการเข้าร่วมกับกองทัพ
ผลประโยชน์จากการเข้าร่วมกับองค์กรนี้
- คุณสามารถเข้าร่วมทำสงครามเพื่อช่วยเหลือฝ่าย Imperial Legion ได้
- คุณจะได้รับรางวัลและชื่อเสียงจากฝ่าย Imperial Legion
ภาพตัวอย่างชุดเกราะของทหาร Imperial Legion
Imperial Legion Armor
Imperial Legion Light Armor
Blade
Blade ในสมัยโบราณเป็นกลุ่มนักล่ามังกร ว่ากันว่าดั้งเดิมเป็นกลุ่มที่อพยพมาจากทวีป Akavir ดังนั้นลักษณะดีไซน์ของอาวุธและชุดเกราะที่ใช้จึงค่อนข้างแตกต่างจากอาวุธและชุดเกราะที่พบทั่วไปในทวีป Tamriel โดยกลุ่ม Blade มักจะคอยทำหน้าที่เป็นองค์รักษ์ให้กับ Dragonborn ในแต่ละรุ่น
เมื่อมาถึงยุคของจักรวรรดิ์ Tamriel กลุ่ม Blade ได้ผันตัวเองกลายเป็นองค์รักษ์ของจักรพรรดิ์ Tamriel ในแต่ละรุ่นต่อๆมา เนื่องจากจักรพรรดิ์ของ Tamriel ในแต่ละรุ่นนั้นล้วนมีสายเลือดของ Dragonborn หน้าที่ของกลุ่ม Blade ในช่วงนั้นมีทั้งการทำงานเบื้องหน้าเป็นองค์รักษ์ให้จักรพรรดิ์ และทำงานเป็นสายลับอยู่เบื้องหลัง คอยแฝงตัวเก็บข้อมูลในอาณาจักรต่างๆ หากเล็งเห็นโอกาสที่จะเป็นประโยชน์กับจักรวรรดิ์หรือภัยร้ายที่จะคุกคามจักรวรรดิ์เมื่อไหร่จะรายงานให้จักรพรรดิ์ทราบทันที ในอดีตกลุ่ม Blade มีชื่อเสียงมากและมีความน่าหวั่นเกรงมาก และที่สำคัญกว่านั้นคือกลุ่ม Blade ไม่เป็นเครื่องมือให้กับองค์กรใดๆทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นสภาสูงของจักรวรรดิ์ (Elder Council) หรือกองทัพ (Imperial Legion) และจะรับคำสั่งโดยตรงจากจักรพรรดิ์แต่เพียงผู้เดียว
กลุ่ม Blade มีฐานที่มั่นหลักอยู่ใน Cyrodiil ในวิหารโบราณที่สร้างตามสไตล์ของ Akavir ชื่อ Cloud Ruler Temple ซึ่งถือเป็นป้อมปราการที่แข็งแกร่งที่สุดในจักรวรรดิ์ หลังจากยุคของราชวงศ์ Septim สิ้นสุดลง กลุ่ม Blade ก็เก็บตัวไม่ยุ่งเกี่ยวกับใคร เพราะจักรพรรดิ์รุ่นต่อมาไม่ใช่ Dragonborn อีกแล้ว แต่เมื่อจักรวรรดิ์ถูกคุกคามก็จะลุกขึ้นสู้ทันทีและยังคงมีการคอยทำงานเบื้องหลังเพื่อช่วยสนับสนุนอย่างลับๆ
ในช่วงมหาสงคราม 30 ปีก่อนเนื้อเรื่องภาคนี้ กลุ่ม Blade ถูกตามล่าฆ่าไปเป็นจำนวนมาก เพราะพวก Thalmor เล็งเห็นว่ากลุ่ม Blade เป็นภัยต่อพวกเอลฟ์เนื่องจากกลุ่ม Blade ถือเป็นกลุ่มนักรบที่มีฝีมือที่สุดของจักรวรรดิ์ หลังมีการทำสนธิสัญญาสงบศึกกัน ฝ่าย Thalmor จึงได้ถือโอกาสเริ่มดำเนินการล่ากวาดล้างสมาชิกของ Blade ให้หมดเพื่อป้องกันภัยที่อาจจะเกิดขึ้นแก่ฝ่ายตนในภายภาคหน้า ทำให้สมาชิกของกลุ่ม Blade ที่เหลืออยู่มีแค่ไม่กี่คนในปัจจุบัน แถมคนที่รู้ว่า Blade คืออะไร ก็มีเหลือไม่มากเท่าไหร่
จนมาถึงภาคนี้ที่ Delphine สมาชิกของ Blade มาเจอกับ Dragonborn คนปัจจุบันเข้า เธอเลยตัดสินใจจะช่วยเราล่ามังกรพร้อมกับหาทางฟื้นฟูกลุ่ม Blade ขึ้นมาอีกครั้ง โดยเธอมีเป้าหมายที่จะทำหน้าที่ของกลุ่ม Blade ตามที่บันทึกเอาไว้ในการตามล่าสังหารมังกรให้หมดไปและรับใช้ Dragonborn เหมือนที่ Blade รุ่นก่อนๆเคยทำ
ภาพตัวอย่างชุดเกราะของนักรบ Blade
Blade Armor
Thalmor
Thalmor เป็นชื่อของกลุ่มชนชั้นปกครองภายในจักรวรรดิ์ Aldmeri Dominion ซึ่งในอดีตเคยมีตัวตนอยู่ในช่วงปลายของยุคที่ 2 ครอบครองพื้นที่ของ Summerset Isle และ Valenwood โดยในสมัยก่อนกลุ่ม Thalmor จะถูกปกครองโดย Wood Elf จาก Valenwood จนกระทั่งเมื่อ Tiber Septim สามารถยึดครองดินแดนของ Aldmeri Dominion เอาไว้ได้สำเร็จ กลุ่มดังกล่าวจึงล่มสลายลงไป โดยจักรวรรดิ์ Aldmeri Dominion ถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของเอลฟ์ซึ่งถือว่าตนเองเป็นเผ่าพันธุ์ที่ยิ่งใหญ่เหนือกว่ามนุษย์
หลังจากยุคที่ 4 เริ่มต้นขึ้น จักรวรรดิ์ Tamriel ที่ค่อยๆอ่อนเอลง ทำให้เอลฟ์ถือโอกาสก่อตั้งกลุ่ม Aldmeri Dominion ขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ซึ่งผลที่ตามมาคือ การประกาศแยกตัวเป็นอิสระจากจักรวรรดิ์ Tamriel โดย Aldmeri Dominion เริ่มต้นตั้งตัวขึ้นใหม่โดยสร้างอาณาจักรของตนขึ้นในดินแดน Summerset Isle และ Valenwood หลังจากนั้นก็ได้มีการตัดขาดการติดต่อทั้งหมดกับจักรวรรดิ์ในที่สุด
กลุ่ม Aldmeri Dominion เป็นผู้เริ่มต้นประกาศสงครามกับจักรวรรดิ์ Tamriel ในปีที่ 171 ของยุคที่ 4 ซึ่งในตอนแรกจักรวรรดิ์ Tamriel และแม้แต่กลุ่ม Blade เองมองว่า Aldmeri Dominion ไม่ได้เป็นภัยคุกคามที่ร้ายกาจเกินกว่าจะรับมือ แต่ไม่นานหลังสงครามเริ่มขึ้นฝ่าย Aldmeri Dominion ก็ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าฝ่ายเอลฟ์ในตอนนี้มีความสามารถสูงกว่าฝ่ายมนุษย์มาก สุดท้ายมหาสงครามที่กินเวลานานกว่า 4 ปีก็จบลงที่ความพ่ายแพ้ของจักรวรรดิ์ Tamriel ทำให้จักรวรรดิ์ต้องยอมเซ็นสัญญาเพื่อยุติสงครามและรับข้อตกลงจากฝ่าย Aldmeri Dominion
ภายหลังกลุ่ม Thalmor จึงได้เข้ามามีบทบาทในการพยายามสร้างความแตกแยกภายในจักรวรรดิ์ แม้แต่เหตุการณ์สงครามกลางเมืองใน Skyrim เอง ผู้ที่ชักใยอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นี้ก็หนีไม่พ้นกลุ่ม Thalmor นี่เอง (ข้อมูลเพิ่มเติม อ่านได้จากเอกสารที่คุณขโมยมาจากสถานฑูตของ Thalmor ครับ) หลายฝ่ายจึงมองกันว่า Aldmeri Dominion นั้นเพียงแค่ยอมรับสันติภาพเพียงแค่สั้นๆเท่านั้น และทุกคนก็มองว่าสันติตอนนี้คงอยู่ไม่นาน แล้วฝ่าย Aldmeri Dominion คงจะเริ่มหาวิธีเล่นงานจักรวรรดิ์ Tamriel อีกครั้งในอนาคตอันใกล้นี่
ภาพตัวอย่างชุดของ Thalmor
Thalmor Robe
ข้อมูลขององค์กรอื่นๆที่ถูกอ้างถึงแต่ไม่ได้เป็นองค์กรหลักๆใน Skyrim
Fighter Guild
Fighter Guild เป็นกลุ่มสมาคมทหารรับจ้างที่ถูกก่อตั้งขึ้นมาตั้งแต่สมัยยุคที่ 2 เป็นกลุ่มที่รวบรวมเอาเหล่านักรบจากทุกเผ่ามาไว้เพื่อทำภารกิจต่างๆให้สำเร็จแลกกับค่าตอบแทนต่างๆตามที่ตกลงกันไว้ โดยลักษณะงานที่ทาง Fighter Guild จะได้รับจะเป็นงานอันตราย เช่น การคุ้มกันบุคคลต่างๆ การส่งเสบียงในพื้นที่อันตราย การตามล่าอาชญากรหรือสัตว์ประหลาด หรือการหาสมบัติที่ถูกทิ้งไว้ในที่โบราณต่างๆ รายได้ที่ได้รับมาจะถูกแบ่งสรรกันระหว่างสมาชิกในกิลที่รับผิดชอบภารกิจดังกล่าว และส่วนหนึ่งจะถูกเก็บเข้ากองกลางเพื่อใช้พัฒนากิลต่อไป
ระบบการทำงานของ Fighter Guild นอกจากจะมีการรับจ้างทำงานอันตรายทั่วไปแล้ว ยังมีการช่วยฝึกฝนทักษะการต่อสู้ให้กับสมาชิกในกิลด้วย โดยสมาชิกในกิลจะสามารถเข้ารับการฝึกฝนจากสมาชิกรุ่นสูงกว่าเพื่อเพิ่มพูนทักษะของตนได้ เพราะฉะนั้นทำให้ Fighter Guild ได้รับความนิยมจากเหล่านักรบและทหารรับจ้างต่างๆมาก เพราะนอกจากจะเป็นศูนย์รวมในการจัดหางานที่เหมาะสมสำหรับนักรบทั้งหลายแล้ว ยังมีบริการฝึกฝนทักษะในระดับสูงจัดไว้ให้อีกด้วย
กลุ่ม Fighter Guild จะมีการให้บริการอยู่ทั่วไปเกือบทุกพื้นที่ของจักรวรรดิ์ น่าเสียดายที่ Fighter Guild ไม่มีฐานอยู่ใน Skyrim ทำให้ผู้ที่ต้องการเข้าร่วมกับกิลที่มีลักษณะคล้ายกับ Fighter Guild ต้องหันไปเข้าร่วมกับกลุ่ม Companion แทน
Mage Guild
Mage Guild เป็นกลุ่มสมาคมนักเวทย์ที่มีชื่อเสียงที่สุดของจักรวรรดิ์ Tamriel และถูกก่อตั้งขึ้นในช่วงยุคที่ 2 โดยมีผู้ก่อตั้งคือ Vanus Galerion ซึ่งแยกตัวออกมาจากสมาคมนักเวทย์อีกสมาคมหนึ่งชื่อ Psijic Order โดยกลุ่ม Mage Guild นั้นมีจุดมุ่งหมายเพื่อเผยแพร่ความรู้ด้านศาสตร์แห่งเวทย์มนต์ให้แก่ทุกๆคน โดยไม่มีการเก็บครอบครองความรู้เอาไว้แต่เพียงผู้เดียว ซึ่งถือเป็นจุดที่ทำให้ Mage Guild ได้รับความนิยมอย่างมากเป็นต้นมา และมีชื่อเสียงที่โด่งดังเกินกว่า Psijic Order ในที่สุด
Mage Guild มีการเปลี่ยนถ่ายผู้นำจากรุ่นสู่รุ่น โดยแต่ละรุ่นมักจะมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายไปบ้างเล็กน้อยให้เหมาะสมกับสถานการณ์ แต่ยังคงไว้ซึ่งความต้องการในการแบ่งปันความรู้แก่ทุกคน โดย Mage Guild จะรับสมาชิกใหม่ผู้มีพรสวรรค์เข้าร่วม และเปิดโอกาสให้ได้รับการศึกษาศาสตร์เวทย์มนต์ขั้นสูงต่างๆ โดยจะได้รับการดูแลจากผู้ฝึกสอนเป็นอย่างดีเพื่อให้แน่ใจว่า สมาชิกในกิลสามารถใช้เวทย์มนต์ได้โดยไม่ก่อให้เกิดอันตรายทั้งต่อตัวเองและผู้อื่น
นอกจากนั้น Mage Guild ยังมีการจัดสรรบริการด้านเวทย์มนต์แก่บุคคลภายนอกด้วย เช่น การรับจ้างลงอาคมอาวุธหรือชุด การปรุงยา และการจัดการปัญหาต่างๆที่เกี่ยวข้องกับทางด้านเวทย์มนต์ ซึ่งถือเป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญอีกทางหนึ่ง ซึ่งมีส่วนช่วยในการสนับสนุนกิลและช่วยให้กิลสามารถพัฒนาและยกระดับการให้บริการของตนเองได้
อย่างไรก็ตาม Mage Guild ได้ล่มสลายลงไปในช่วงเริ่มต้นยุคที่ 4 อันเนื่องมาจากความอ่อนแอและแตกแยกภายใน ซึ่งในปัจจุบัน Mage Guild ได้แตกออกเป็นสองกลุ่มย่อยคือ Synod และ College of Whisper ซึ่งถูกมองว่าเป็นกลุ่มที่สนใจแต่เรื่องการเมืองภายในของจักรวรรดิ์มากกว่าการศึกษาศาสตร์เวทย์มนต์ โดยในภาคนี้เราจะมีโอกาสได้พบกับสมาชิกของกลุ่ม Synod ตามเนื้อเรื่องของ College of Winterhold
Psijic Order
Psijic Order เป็นสมาคมนักเวทย์ที่มีอายุเก่าแก่ และมีตัวตนมาตั้งแต่ยุคที่ 1 มีความเป็นมาที่ลึกลับและว่ากันว่าเป็นกลุ่มที่ศึกษาศาสตร์เวทย์มนต์อันทรงอำนาจมหาศาลซึ่งในปัจจุบันไม่มีบุคคลภายนอกรู้จักแล้ว โดยกลุ่ม Psijic Order มีฐานที่มั่นอยู่ที่เกาะ Artaeum ซึ่งเกาะดังกล่าวและกลุ่ม Psijic Order ได้หายตัวไปอย่างลึกลับตั้งแต่ช่วงยุคที่ 2 เป็นต้นมา แม้ว่าจะมีหลักฐานว่า Psijic Order ยังคงมีตัวตนอยู่ แต่สมาชิกกลุ่มเองก็แทบจะไม่มีการติดต่อกับโลกภายนอกเลย
กลุ่ม Psijic Order มีความเชื่อว่าเวทย์มนต์คือทุกอย่าง และมักจะเก็บเอาความลับทางศาสตร์เวทย์มนต์ไว้โดยไม่มีการเผยแพร่ให้บุคคลภายนอกได้รับรู้ นอกจากนั้น Psijic Order ยังยอมรับการศึกษาเวทย์มนต์ทุกแขนง รวมไปถึงศาสตร์มืด ทำให้สมาชิกบางคน เช่น Vanus Galerion ซึ่งภายหลังกลายเป็นผู้ก่อตั้ง Mage Guild ขึ้น เกิดความไม่พอใจ และสงสัยในจุดประสงค์ของตัวองค์กร
Psijic Order ปรากฎตัวอีกครั้งในภาคนี้ตามเนื้อเรื่องของ College of Winterhold ซึ่งเราจะมีโอกาสได้สัมผัสถึงความลึกลับของกลุ่มนี้เป็นครั้งแรก
Mythic Dawn
Mythic Dawn เป็นกลุ่มลัทธิบูชาเทพอสูร (Daedric Prince) แห่งการทำลายล้าง หายนะ และความเปลี่ยนแปลง Mehrunes Dagon และเป็นต้นเหตุให้เกิดเหตุการณ์ Oblivion Crisis ขึ้นเมื่อ 200 ปีที่ผ่านมา มีผู้นำคือ Mankar Camoran โดยกลุ่มนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อพา Mehrunes Dagon และกองทัพ Daedra จาก Oblivion เข้ามาบุกรุก Nirn และเปลี่ยนโลกนี้ให้กลายเป็นโลกของเทพอสูร โดยวางแผนลอบสังหารจักรพรรดิ์ Uriel Septim ที่ 7 และทายาททั้งหมด เพื่อทำให้จักรพรรดิ์ไม่สามารถทำพิธีจุดพระเพลิงมังกร (Dragonfire) ได้ ซึ่งส่งผลให้ฝ่าย Mythic Dawn สามารถเปิดประตูสู่ Oblivion ได้ ซึ่งประตูทุกๆบานที่เปิด ทำให้กำแพงที่ปกป้อง Nirn จาก Oblivion อ่อนแอลงเรื่อยๆ
แผนการของฝ่าย Mythic Dawn ถูกยับยั้งลงไว้ด้วยความช่วยเหลือของตัวเอกจากภาคที่แล้ว หรือที่คนทั่วไปมักเรียกขานเขาว่า Champion of Cyrodiil, Divine Crusader และปัจจุบัน เขาคือ เทพอสูร Sheogorath คนใหม่ และความเสียสละของ Martin Septim ทำให้แผนการทั้งหมดล้มเหลวในที่สุด และเป็นจุดสิ้นสุดของยุคที่ 3
หลังจากเหตุการณ์ Oblivion Crisis จบลง สมาชิกที่เหลือรอดของกลุ่ม Mythic Dawn ถูกตามล่าสังหารลงจนหมดสิ้น และชื่อของกลุ่ม Mythic Dawn ได้ถูกลืมเลือนไปในที่สุด แต่ถึงอย่างนั้น ประวัติศาสตร์ก็ยังต้องจารึกเอาไว้ว่า Mythic Dawn คือกลุ่มที่เคยเกือบประสบความสำเร็จในการทำลายโลกมาแล้ว
Morag Tong
Morag Tong เป็นกลุ่มมือสังหารที่มีชื่อเสียงและมีอิทธิพลมากใน Morrowind โดยกลุ่ม Morag Tong ถือเป็นอริกับ Dark Brotherhood และมักจะมีการทำสงครามกิลกันอยู่หลายครั้ง โดยกลุ่ม Morag Tong นั้นมีฐานอิทธิพลอยู่แค่ใน Morrowind เท่านั้น ทำให้เมื่อเทียบกับกลุ่ม Dark Brotherhood ซึ่งมีฐานทัพอยู่หลายแห่งในดินแดนอันกว้างใหญ่ของจักรวรรดิ์แล้ว กลุ่ม Morag Tong จึงมีชื่อชั้นเป็นรอง Dark Brotherhood ไปในที่สุด แม้ว่า Morag Tong ถือเป็นต้นกำเนิดที่แท้จริงของ Dark Brotherhood ก็ตาม
กลุ่ม Morag Tong แม้จะเป็นกลุ่มมือสังหารเหมือน Dark Brotherhood แต่ลักษณะการดำเนินงานกลับแตกต่างจากกลุ่ม Dark Brotherhood อย่างสิ้นเชิง โดยในขณะที่กลุ่ม Dark Brotherhood ทำงานเบื้องหลังและเป็นกลุ่มมือสังหารที่ผิดกฎหมาย ฝ่าย Morag Tong กลับเป็นกลุ่มมือสังหารที่ได้รับการยอมรับว่าถูกกฎหมาย และดำเนินการลอบสังหารเป้าหมายอย่างมีเกียรติมากกว่ากลุ่ม Dark Brotherhood มาก จึงไม่แปลกที่ Morag Tong จะเปิดรับสมาชิกและรับงานอย่างเปิดเผย ไม่จำเป็นต้องหลบซ่อนเหมือน Dark Brotherhood แต่อย่างใด
กลุ่ม Morag Tong นั้นถือเป็นต้นกำเนิดของ Dark Brotherhood เนื่องจาก Dark Brotherhood นั้นเป็นกลุ่มที่แยกตัวออกมาจาก Morag Tong อีกทีหนึ่ง ทำให้กลุ่ม Morag Tong ถือว่ามีทั้งชื่อชั้นและอายุไขที่เก่าแก่และทรงเกียรติกว่า Dark Brotherhood มาก อย่างไรก็ตามหลังจากภูเขาไฟ Red Mountain ระเบิดขึ้น กลุ่ม Morag Tong ได้สลายตัวไป โดยกลุ่มนักฆ่าได้แฝงตัวไปตามที่ต่างๆทั่วจักรวรรดิ์ รอวันที่จะกลับมารวมกลุ่มอีกครั้งหนึ่ง
นอกจากนี้แล้ว สมาชิกใหม่คนหนึ่งของ Thieve Guild ในภาคนี้เองก็เป็นสมาชิกของ Morag Tong อีกด้วย
Great House Telvanni
Great House Telvanni เป็นตระกูลใหญ่ที่มีอิทธิพลมากใน Morrowind และเป็นกลุ่มตระกูลพ่อมดที่มีอายุเก่าแก่และมีอิทธิพลมากในด้านศาสตร์แห่งเวทย์มนต์ โดย Great House Telvanni นั้นตั้งตัวเป็นอริกับทุกฝ่าย ทั้งจักรวรรดิ์ และตระกูลอื่นๆใน Morrowind โดย Great House Telvanni เป็นตระกูลที่มีความทะเยอทะยานมากในการขยายดินแดนของตน และใช้เวทย์มนต์เป็นเครื่องมือในการตัดสินทุกอย่าง เพราะฉะนั้น Great House Telvanni จึงเป็นอริตัวสำคัญของ Mage Guild
Great House Telvanni มีอิทธิพลมากในอดีต และมีลักษณะการบริหารในตระกูลที่แปลก โดยให้สมาชิกทุกคนในตระกูลสามารถทำทุกอย่างได้ตามใจ หากอยากขโมยหรือกำจัดอริในตระกูลก็ทำได้ หากไม่มีใครเห็น แต่หากถูกพบเห็นเข้าก็ให้ประลองและสังหารพยานหรือคู่อริด้วยศาสตร์แห่งเวทย์มนต์ ผู้ชนะให้ถูกเป็นผู้ที่ถูกต้อง ด้วยระบบดังกล่าวทำให้เหล่าจอมเวทย์หนุ่มสาวผู้ทะเยอทะยาน เข้าร่วมกับ Great House Telvanni จำนวนมาก เนื่องจากไม่ต้องปวดหัวกับข้อจำกัดของ Mage Guild
อย่างไรก็ตามหลังจากเหตุการณ์ที่ภูเขาไฟ Red Mountain ระเบิด ทำให้ตระกูล Telvanni อ่อนแอลงไปมาก ปัจจุบันตระกูลนี้จะยังมีตัวตนอยู่หรือไม่ไม่มีใครรู้ แต่ข้อมูลของตระกูลนี้จะถูกอ้างถึงในเควสๆหนึ่งภายในเกม