ชื่อวิทยาศาสตร์ : Acrostichum aureum L.
ชื่อวงศ์ : PTERIDACEAE
ชื่ออื่น : ปรงทอง, ปรงไข่, ปรงใหญ่ ; บีโย (มลายู-สตูล)
ลักษณะทั่วไป : ปรงทะเลเป็นพืชพวกเฟิร์น ลำต้น เป็นเหง้าอยู่ใต้ดิน ชูส่วนของใบขึ้นมาเป็นกอ เหง้ามีเกล็ดใหญ่สีน้ำตาลคล้ำ โคน ต้นมีรากค้ำยัน
ใบ : เป็นใบประกอบแบบขนนก แผ่นใบรูปใบหอก ขนาด 30 - 60 X 60 - 180 เซนติเมตร ก้านใบมีหนามแข็ง สั้นๆ ใบย่อยรูปขอบขนานแคบ ขอบเรียบ ขนาด 4 - 8 X 30 - 50 เซนติเมตร มี 15 - 30 คู่ เรียงสลับ ผิวเรียบเป็นมัน ใบที่ไม่สร้างสปอร์ ปลายใบกลม ถึงหยักเว้า และมีติ่งหนามสั้นๆ ฐานใบรูปลิ่มถึงมนกลม สองข้างไม่เท่ากัน เส้นกลางใบนูนเด่น เส้นใบสานกันเป็นร่างแห ก้านใบย่อยสั้น
ใบย่อยที่สร้างสปอร์อยู่ตอนปลายกิ่ง มีขนาดเล็กกว่าใบย่อยที่ไม่สร้างสปอร์ซึ่งอยู่ทางด้านโคนใบ กลุ่มของ อับสปอร์เรียงตัวชิดกัน เต็มพื้นที่ด้านล่างของแผ่นใบย่อย มีขนปกคลุมเล็กน้อย
นิเวศวิทยาและการกระจายพันธุ์ : มักขึ้นเป็นกลุ่มตามที่ลุ่มชื้นแฉะ ด้านหลังป่าชายเลนและป่าน้ำกร่อย และบางครั้งพบตามที่โล่งในป่าพรุ ขยายพันธุ์โดยใช้สปอร์และลำต้นใบย่อย
สรรพคุณทางสมุนไพร : ยางจากต้น : ใช้ดับพิษทาแผลหรือฝีเพื่อดูดหนอง
หัว : ฝนผสมน้ำซาวข้าวทาแก้โรคเริม ใช้ต้มพอกแผล ลดอาการบวมฟกช้ำ ใช้ตำกับหัวว่าวและหัวจาก ทาแก้โรคงูสวัด โรคเริม ใช้ฝนกับน้ำปูนใส ทาแก้โรคไฟลามทุ่ง โรคลำลาบเพลิง โรคเริม โรคงูสวัด
ใช้แช่กับน้ำหอยโข่งเพื่อทาแก้โรคไฟลามทุ่ง โรคลำลาบเพลิง โรคเริม โรคงูสวัด
ประโยชน์อื่นๆ : ยอดอ่อน : นำไปประกอบอาหาร แกงเลียง แกงส้ม หรือลวกรับประทานคู่กับน้ำพริก
ข้อมูลจาก : รายงานการวิจัย "การศึกษาความหลากหลายและการใช้ประโยชน์จากสมุนไพรป่าชายเลน เพื่อส่งเสริมสุขภาพชุมชนจังหวัดสมุทรสาคร"
โดย นายกวินท์ พินจำรัส หัวหน้าโครงการและคณะ (วิทยาลัยชุมชนสมุทรสาคร สถาบันวิทยาลัยชุมชน)