7 สิ่งที่ต้องมี
7 ต้อง ๆ ทำจึงสำเร็จ
เงื่อนไขของผู้ประสบความสำเร็จ ในธุรกิจเครือข่าย มีดังนี้
1. ต้องมีรายชื่อ เพราะรายชื่อคือทรัพย์สิน รายชื่อเปรียบเสมือนวัตถุดิบนำมาป้อนโรงงาน เพื่อผลิตสินค้าออกไปจำหน่าย ยิ่งมีรายชื่อมากเท่าไหร่ ก็เหมือนมีวัตถุดิบสำรองไว้ ให้เลือกใช้ได้สะดวกและไม่ขาดแคลนลูกค้าหรือผู้มุ่งหวัง
2. ต้องมีไดอารี่ ไว้จดตารางทำงานแต่ละวัน และตารางทำงานในแต่ละเดือน ไว้ล่วงหน้า ป้องกันการหลงลืม และการบริหารเวลาการจัดลำดับ การโฟกัสงานสำคัญ
3. ต้องมีแผนผังองค์กร มีผังองค์กรผู้นำ และผังองค์กรลูกค้า ทำให้ย้ำเตือนตัวเราไม่ลืมลูกค้า ผู้มุ่งหวัง และดาวไลน์ของเรา เพื่อการติดตามบริการแนะนำหลังการขาย
4. ต้องมีแฟ้มสปอนเซอร์ เพื่อนำเสนอเปรียบเสมือนการตกแต่งหน้าร้าน ต้องพร้อมเป็นโชว์รูมได้ทันที
5. ต้องมีแผนธุรกิจ-สินค้าตัวอย่างของจริง เราจะพูดน้อยลงเพราะเขาเชื่อในสิ่งที่เห็น
6. ต้องมีตารางการประชุม เปรียบเสมือนโรงงานผลิตผู้นำ พัฒนาทักษะให้ผู้นำมีคุณภาพ
7. ต้องเข้าประชุมสม่ำเสมอ ไม่ขาดประชุม เป็นหัวใจหลักของการทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จที่มั่นคง ต้องมีบัตรเข้างานติดตัวเพราะเรากำลังสร้างผู้นำให้เขาช่วยเหลือตัวเขาเองได้ทุกๆ เรื่อง
🔹🔹🔹🔹🔹🔹🔹🔹🔹🔹
7 สิ่งที่คนประสบความสำเร็จทำ
เคล็ดลับความสำเร็จของผู้นำไม่ใช่เรื่องยาก แต่เป็นเรื่องง่ายๆ ที่ทุกคนทำได้ เว็บไซต์ inc-asean.com ได้ศึกษาพฤติกรรมและหาคำตอบจากคนที่ประสบความสำเร็จในการทำงานว่าทำไมพวกเขาถึงก้าวไปสู่จุดนั้น ซึ่งสิ่งที่ค้นพบกลับทำให้ประหลาดใจเพราะเคล็ดลับความสำเร็จเกิดจากเรื่องง่ายๆ ที่คนทั่วไปมักลืม
1. ความดิ้นรน
คนที่ประสบความสำเร็จทุกคนจะมีความทะเยอะทะยาน พวกเขาเป็นผู้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อย่างไม่รู้จักพอ อ่านเพื่อเสริมสร้างความรู้ตัวเองแบบไม่จบไม่สิ้น สร้างเครือข่ายสังคม และทดลองสิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ ซึ่งมาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก บิล เกตส์ โอปราห์ วินฟรีย์ และคนประสบความสำเร็จอีกมากมายที่กล่าวตรงกันว่า อย่าให้ค่าของการค่าต่ำเกินไป
2. อยู่ท่ามกลางคนประสบความสำเร็จ
ไอดอลหรือคนที่เป็นแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตย่อมมีส่วนในการดำเนินชีวิต ดังที่นักสร้างแรงบันดาลใจและเจ้าของธุรกิจอย่าง จิม โรห์น เคยกล่าวไว้ว่า “คุณเป็นผลเฉลี่ยของคนที่คลุกคลีด้วยที่สุดจำนวน 5 คน” ฉะนั้นการอยู่ท่ามกลางคนที่มีความทะเยอทะยานและแสวงหาความดีกว่าจะทำให้คุณกลายเป็นคนแบบนั้น
3. ยอมรับการพัฒนา
ผู้นำส่วนใหญ่มักเป็นคนอดทน พวกเขาจะไม่ยอมรับผลลัพธ์จากการทำเพียงหนึ่งครั้ง ทว่าจะทำซ้ำๆ ไปทุกวันเพื่อการพัฒนาที่ดีกว่าและความก้าวหน้าที่ประสิทธิภาพจะตามมา รวมทั้งพวกเขาจะไม่ประเมินตัวเองต่ำเกินไปว่าสามารถทำอะไรได้บ้างเพื่อการพัฒนาที่ดีกว่ายิ่งๆ ขึ้นไป
4. รับฟังข้อติชม
คนที่ประสบความสำเร็จจะต้องการฟีดแบ็กหรือคำติชมเพื่อนำมาพัฒนาตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นลูกค้า นักลงทุน ผู้นำในระดับเดียวกัน หรือจากคนทั่วไป เพื่อให้เขาได้เรียนรู้จุดผิดพลาดและตระหนักได้ว่าจุดอ่อนของตนนั้นอยู่จุดไหน
5. เผชิญหน้าต่อความหวาดกลัว
การเดินหน้าเพื่อเผชิญหน้ากับความกลัวและความไม่แน่นอนจะทำให้คุณรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ดีที่สุดและเลวร้ายที่สุด ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่ดีกว่าการย่ำอยู่กับที่และอยู่กับปัญหาเดิมๆ ที่หากไม่ก้าวออกมาก็จะไม่รู้ว่าปัญหานั้นคืออะไร
6. เชื่อในวิสัยทัศน์ตนเอง
สตาร์ทอัพรุ่นใหญ่คือกลุ่มคนที่เชื่อในอนาคตที่ตนมองเห็นแม้ว่ามันยังไม่เกิดขึ้น เช่นเดียวกันกับผู้นำที่ยิ่งใหญ่ที่สามารถประความสำเร็จได้จากความเชื่อในวิสัยทัศน์ที่น่าเชื่อถือพอ ซึ่งแน่นอนว่าต้องเป็นแนวคิดที่สามารถชักจูงคนอื่นไปสู่เป้าหมายเดียวกันด้วย
7. คิดแบบระยะยาว
คนที่ประสบความสำเร็จทราบว่า ก้าวเล็กๆ คือจุดเริ่มต้นของก้าวที่ยิ่งใหญ่ ดังนั้นพวกเขาจึงจะก้าวต่อไปไม่หยุดยั้งโดยการวางแผนในระยะยาวทั้งทิศทางธุรกิจ การบริหารงาน และการปรับตัวในทุกช่วงเวลา
🔹🔹🔹🔹🔹🔹🔹🔹🔹🔹
7 อุปนิสัย ที่เราควรมีเพื่อพัฒนาสู่ความสำเร็จ
Be Proactive🧎 เริ่มต้นลงมือทำก่อน คิดว่าชัวร์แล้วก็ทำเลย
Begin with the End in Mind🏋️ มีเป้าหมายชัดเจน ไม่ทำอะไรที่เขวออกจากที่ตั้งไว้
Put First Things First⛹️ ทำในสิ่งที่สำคัญที่สุดก่อน ต้องมีการวางแผนที่ดี แล้วเลือกทำเรื่องที่สำคัญที่สุดก่อน
Think Win-Win🤾 คิดแบบชนะ-ชนะ แบ่งผลประโยชน์ให้เท่าเทียมกันทุกคน
Seek First to Understand, Then to Be Understood🏇 เข้าใจคนอื่นก่อน ฟังให้มากขึ้น ใส่ใจในทุกคำที่คนอื่นพูด
Synergize🤼 ทำงานเป็นทีม งานจะเสร็จเร็วขึ้นถ้าร่วมมือกัน
Sharpen the Saw🏌️ พัฒนาตนเองอยู่เสมอ ดูแลทั้งสุขภาพ ความคิด อารมณ์ และสังคม ให้มีความพร้อมอยู่เสมอ
ที่มา : หนังสือ The 7 Habits of Highly Effective People โดย สตีเฟน อาร์. โควีย์
🔹🔹🔹🔹🔹🔹🔹🔹🔹🔹
7 สิ่งที่ไม่ควรทำ ถ้าอยากประสบความสำเร็จ
7 อุปนิสัยแห่งความสำเร็จ (7 Habits of Highly Effective People) หนังสือขายดีระดับโลก ที่เขียนโดยกูรูด้านการบริหารจัดการผู้ล่วงลับ “Stephen R. Covey” ซึ่งพูดถึง 7 สิ่งที่ควรทำ หากอยากประสบความสำเร็จ
รอให้ทุกอย่างสมบูรณ์แบบ แล้วจึงค่อยลงมือทำ (waiting for perfect circumstances) คนประสบความสำเร็จส่วนใหญ่ ลงมือทำทั้ง ๆ ที่หลาย ๆ อย่างยังไม่พร้อม ส่วนคนที่ไม่ประสบความสำเร็จ ทำตรงกันข้าม มัวแต่รอนั่นรอโน่นรอนี่ มีข้ออ้างสารพัดว่ายังไม่พร้อมด้วยประการทั้งปวง
ใช้เวลาที่มีสมาธิมากที่สุด ไปทำสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ (Spending your peak hours on things you don’t care about) ในทางพฤติกรรมศาสตร์และจิตวิทยา ศึกษามาแล้วว่ามนุษย์แต่ละคนมีชั่วโมงทอง (golden hour) คือช่วงเวลาที่มีสมาธิและมีประสิทธิผล (effective) มากที่สุด แตกต่างกันไป
หน้าที่ของเราคือต้องหาให้เจอว่าช่วงเวลาใดเป็นชั่วโมงทอง จากนั้นจงใช้เวลานั้นไปทำสิ่งที่มีคุณค่ามากที่สุดกับชีวิต เช่น คิดวางแผนอนาคต ทำงานที่ต้องใช้สมาธิ เป็นต้น ไม่ใช่เอาเวลาไปเล่นเฟซบุ๊กหรือตอบไลน์เพื่อนใช้ชีวิตตามความคาดหวังของคนอื่น (Only seeing your life through other people’s eyes) คนอื่น ๆ รอบ ๆ ตัว ต่างมีมุมมองและความคาดหวังกับเราแตกต่างกันไป หากไปถามคนร้อยคน คงได้สัก 30-40 ความคิดเห็น คนที่ไม่ประสบความสำเร็จใช้เวลาทั้งชีวิตวิ่งตามความคาดหวังของคนอื่น
ใครบอกว่าควรทำอะไร ก็ทำ ใครบอกน่าจะเป็นอะไร ก็พยายามเป็น เหนื่อยสายตัวแทบขาด แต่ก็พบว่ายังไม่สามารถเติมเต็มความคาดหวังเหล่านั้นได้อยู่ดี คนเหล่านี้เป็นได้ทุกอย่าง ยกเว้นเป็นตัวของตัวเอง ไม่เคยเชื่อมั่นและทำตามความฝันที่ตัวเองมีเลยรอเวลาที่เหมาะสมหรือถือฤกษ์งามยามดี (Believing that timing is everything) เวลาที่ดีที่สุดในการลงมือทำอะไรก็ตามคือเวลานี้ ไม่มีคำว่าเร็วเกินไปหรือสายเกินไป หากอยากประสบความสำเร็จในชีวิต ต้องตัด 2 คำนี้ออกจากสารบบ นอกจากนั้น คำว่ารอเวลาในที่นี้ ยังหมายถึงการเชื่อว่าเวลาจะช่วยแก้ปัญหาต่าง ๆ ในชีวิตได้
เช่น มีปัญหากับเพื่อนร่วมงานแทนที่จะหาทางพูดคุยเพื่อปรับจูนแนวทางการทำงานร่วมกันให้ดีขึ้น กลับปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปโดยไม่ได้ทำอะไร เพราะคิดว่าอีกสักพักสถานการณ์คงดีขึ้นเอง ซึ่งจากสถิติและประสบการณ์ที่ผ่านมา พบว่าเมื่อเวลาผ่านไป ปัญหาหลายอย่างนอกจากจะไม่ดีขึ้นแล้ว ยังแย่ลงกว่าเดิมด้วยซ้ำเปลี่ยนเป้าหมายในชีวิตไปมาบ่อย ๆ (changing course so often) การมีเป้าหมายในชีวิตที่ชัดเจนเป็นจุดเริ่มต้นของความสำเร็จ แต่หลายคนเปลี่ยนเป้าหมายที่วางไว้ทุก 2-3 ปี ทำให้เสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ อุปมาคล้ายกับการเดินทาง
หากเริ่มต้นมีเป้าหมายอยากไปสัมผัสอากาศหนาวที่เชียงใหม่ จึงตัดสินใจออกเดินทาง ขับไปได้สัก 2-3 ชั่วโมงเปลี่ยนใจคิดว่าไปทะเลดีกว่า ก็กลับรถมุ่งหน้าหัวหิน ผ่านไปได้สักระยะปรากฏว่ารถติดหนัก เลยเปลี่ยนเส้นทางหันหัวไปเขาใหญ่แทน หมุนไปหมุนมา หมดเวลาไปเกือบทั้งวันยังไปไม่ถึงไหน วน ๆ เวียน ๆ อยู่แถว ๆ เดิม เป็นต้น ชีวิตของหลายคนก็ตกอยู่ในสภาพแบบนี้เช่นกันคิดอะไรสั้น ๆ แค่ให้ผ่านไปวัน ๆ (thinking short-term) ลองคิดให้ยาวขึ้นไกลขึ้น แทนที่จะคิดว่าพรุ่งนี้กินอะไรดี เปลี่ยนเป็นปีหน้าอยากไปไหนอีก 5 ปีข้างหน้าอยากเป็นอะไร จะดีกว่า พวกเราน่าจะเคยได้ยินว่า คนที่ประสบความสำเร็จทุกคนล้วนเป็นพวกฝันให้ไกลแล้วไปให้ถึงทั้งนั้น ผมไม่เคยเห็นคนที่ฝันใกล้ ๆ แบบอีก 2-3 ปีข้างหน้าอยากเป็นอะไร แล้วประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่เลยแม้แต่คนเดียว
ชีวิตเรากำหนดได้ อยากไปไกลแค่ไหน อยากประสบความสำเร็จมากเพียงใด ก็เพียงแค่คิดให้ใหญ่และให้ไกลกว่านั้นสัก 2-3 เท่า เพราะถึงแม้จะไปไม่ถึงดวงจันทร์ ก็ยังได้อยู่ท่ามกลางหมู่ดาวพยายามหลีกเลี่ยงทำสิ่งที่ไม่ค่อยถนัด (avoiding your discomfort) คนที่ไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตมากนัก มักเป็นพวก play safe คือเน้นปลอดภัย ไม่ต้องเสี่ยงมาก ไม่ค่อยกล้าและไม่อยากออกนอกพื้นที่สบาย (comfort zone)
ส่วนคนที่ประสบความสำเร็จ ทำตรงกันข้าม พวกเขากล้าที่จะทำสิ่งที่ไม่คุ้นชิน ท้าทายตัวเองให้ลองทำในสิ่งที่ไม่เคยทำ เป็นพวกหมูไม่กลัวน้ำร้อน เจ็บไม่กลัวกลัวไม่เจ็บ ล้มแล้วลุกเร็ว จงจำไว้ว่าเมื่อพ้นจากพื้นที่สบายจะเป็นพื้นที่แห่งการเรียนรู้ (learning zone)