10 หลักคิดเปลี่ยนคุณเป็นคนใหม่

ประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่กว่าเดิม

10 หลักคิด เปลี่ยนคุณเป็นคนใหม่ ประสบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม

หลักคิดที่ 1 – บันไดก้าวแรกสู่ความสำเร็จ

หลายคนของพอนึกว่าการจะไปสู่ความสำเร็จนั้น คือการบรรลุซึ่งเป้าหมายที่ได้วางเอาไว้ ทำให้ความสำเร็จไม่สามารถเกิดขึ้นได้เลย หากปราศจากการตั้งเป้าหมายเสียก่อน ในหนังสือหลายเล่มที่เขียนขึ้นมาในการพัฒนาตนเอง หรือสร้างความสำเร็จ โดยส่วนใหญ่มักจะแนะนำให้ตั้งเป้าหมายในชีวิตทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นความรัก หน้าที่การงาน สุขภาพ ครอบครัว หรืออะไรก็ตามแต่ ต้องมีเป้าหมายที่สามารถชี้วัดผลสำเร็จได้

แล้วเจ้าเป้าหมายที่เขาแนะนำให้ตั้งมันมีรูปแบบอย่างไร โดยส่วนใหญ่แล้วเป้าหมายที่เขาแนะนำให้ตั้งกันจะมีรูปแบบที่เรียกว่า SMART อันย่อมาจากตัวหนังสือภาษาอังกฤษหลากหลายตำราโดยประมาณดังนี้

S – Specific คือ เป้าหมายมีการระบุอย่างเฉพาะเจาะจง อาทิ จะพยายามทำงานบัญชีให้เสร็จภายใน 10 วันนับจากวันนี้ หรือต้องพยายามลดน้ำหนักให้ได้ 5 กิโลกรัมภายในวันที่ 31 มกราคม 2017 เป็นต้น การตั้งเป้าหมายแบบกว้าง ๆ เช่น ฉันจะลดน้ำหนักให้ได้ หรือจะผอมลง หรือจะขยันมากขึ้น โดยไม่ชัดเจน ระบุเป็นภาพกว้าง ๆ จึงไม่จัดเป็นเป้าหมายที่มีความชัดเจน ซึ่งส่งผลให้ไม่สามารถตรวจวัด หรือติดตามผลของความสำเร็จได้ ไม่นับเป็นเป้าหมายที่มีความ SMART

M – Measurable คือเป้าหมายที่สามารถตรวจวัดผลได้ หลายคนชอบตั้งเป้าหมายที่ไม่สามารถตรวจวัดได้ เช่นปีนี้จะขยันขึ้นสักหน่อย หรือจะทำงานให้หนักขึ้น เป้าหมายแบบนี้ไม่รู้จะตรวจวัดอย่างไรจึงไม่รู้ว่าจะสำเร็จได้เช่นไรเหมือนกัน

A – Achievable คือเป้าหมายจะต้องท้าทายความสำเร็จ มีความยากพอสมควร แต่สามารถเป็นไปได้ ถ้าใช้ความพยายาม การตั้งเป้าหมายที่ดีจึงต้องท้าทายความสามารถ กล่าวคือทำให้ได้ใช้ความสามารถที่มีอย่างเต็มกำลัง และพยายามอย่างยิ่งที่จะสร้างความสำเร็จ แต่ไม่เกินเลยจากความเป็นไปได้ เพื่อที่จะทำให้คุณเติบโตขึ้น พัฒนาตนเองในด้านต่าง ๆ

R – Realistic การตั้งเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่แต่ไม่มีทางเป็นไปได้เลย จะยิ่งทำให้เกิดความรู้สึกท้อถอย จนไม่อยากจะลุกขึ้นสู้กับอุปสรรค หรือห่างไกลจนเกินตัวไปจนต้องล้มเลิกเอากลางคัน การตั้งเป้าหมายที่ดีจึงต้องตั้งอยู่บนหลักแห่งความเป็นจริงด้วย เช่น อยากจะมีเงินให้ได้ 1,000 ล้านบาทภายใน 1 ปี ทั้งที่ทุกวันนี้มีเงินเก็บไม่ถึง 1 แสนบาท และไม่มีงานทำ เป้าหมายแบบนี้จึงไม่สมควรจะพิจารณาตั้งเป็นอย่างยิ่ง

T – Timely กล่าวคือเป้าหมายนั้นจะต้องมีช่วงเวลาที่กำหนด มีระยะเวลาเริ่มต้น และสิ้นสุด เพราะตรวจชี้วัดความสำเร็จ การตั้งเป้าหมายที่ไม่มีวันจบสิ้น หรือครบกำหนดนั้นจะไม่มีแรงผลักดัน หรือแรงกระตุ้นชนิดไฟลนก้น ทำให้เกิดความเฉื่อยแฉะไม่มีความรู้สึกจำเป็น และต้องลงมือ การตั้งเป้าหมายที่มีเวลากำหนด อาทิ จะทำงานชิ้นนี้ให้เสร็จภายใน 5 วันนับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2017 หรือจะนอนหลับให้ได้วันละ 8ชั่วโมงเป็นระยะเวลา 1 เดือน

หลักคิดที่ 2 – การตั้งเป้าหมายแบบ Process Goal

เป้าหมายอีกแบบที่มีการกล่าวถึงบ่อยครั้งในต่างประเทศ คือเป้าหมายแบบ Process Goal นิยามของเป้าหมายชนิดใหม่ คือการตั้งเป้าหมายมีเป้าหมายแบบเดิมเป็นเข็มทิศ ที่จะทำให้รู้ว่าเรากำลังมุ่งหน้าไปทางไหน แต่สิ่งสำคัญ คือการลงมือปฏิบัติในแต่ละวัน การตั้งเป้าหมายแบบ Process Goal อาทิเช่น

วิ่งวันละ 5 กิโลเมตรทุกวัน

กินวันละ 2 มื้อจากเดิม 3 มื้อทุกวัน

วิดพื้นวันละ 50 ครั้งทุกวัน

จะสังเกตได้ว่าเป้าหมายชนิดนี้ให้ความมุ่งเน้นไปยังการปฏิบัติในแต่ละวัน ซึ่งท้ายที่สุดสิ่งที่ทำในแต่ละวันจะสร้างความต่อเนื่องการจนนำไปสู่ความสำเร็จของเป้าหมายชนิดดั้งเดิม

สมมุติตั้งเป้าหมายแบบ SMART ว่าจะต้องวิ่งให้มินิมาราธอนให้ได้ 5 กิโลเมตรภายในวันที่ ­31 มีนาคม 2017 การตั้ง Process Goal มากำกับด้วยว่าจะต้องวิ่งวันละ 1 กิโลเมตรทุกวันภายในเดือนมกราคม และ 3 กิโลเมตรทุกวันภายในเดือนกุมภาพันธ์ ท้ายที่สุดที่ 5 กิโลเมตรทุกวันภายในเดือนมีนาคม โดยไม่พลาดแม้แต่วันเดียว จะทำให้ Process Goal สำเร็จได้จนเป้าหมายใหญ่ คือการวิ่งมินิมาราธอนให้ได้ 5กิโลเมตรประสบความสำเร็จ

สิ่งสำคัญของการตั้งเป้าหมายแบบ Process Goal คือต้องพยายามทำทุกวัน และสร้างความต่อเนื่องชนิดไม่พลาดในแต่ละวัน มีเป้าหมายใหญ่เก็บไว้ในใจเป็นเข็มทิศก็พอ

หลักคิดที่ 3 – การสร้างอุปนิสัยกับความสำเร็จ

สิ่งที่สำคัญของ Process Goal คือการพยายามทำบางสิ่งบางอย่างทุกวันอย่างต่อเนื่องจนเกิดเป็นอุปนิสัยขึ้น เพราะการสร้างอุปนิสัยที่เป็นประโยชน์อย่างต่อเนื่องจะทำให้สามารถบรรลุเป้าหมาย และความสำเร็จได้ หลายคนมีปัญหาในการพัฒนาตนเอง และการบรรลุเป้าหมาย ล้มเลิกกลางคันชนิดไม่ทันผ่านเดือนแรกไป เพราะเป้าหมายที่ตั้งไว้มันขัดกับอุปนิสัยเดิม จึงเกิดความขัดแย้งขึ้นภายในสมองส่งผลต่อการกระทำ ทางที่ดี และเหมาะสมจึงต้องพยายามสร้างอุปนิสัยที่เป็นประโยชน์ อันเอื้อต่อการสร้างความสำเร็จ เช่น อยากจะลดน้ำหนักให้ได้ ควรเริ่มฝึกอุปนิสัยที่เกิดผัก และอาหารที่เป็นประโยชน์ วันละเล็กวันละน้อยอย่าเพิ่งหักโหม การหักโหมปรับเปลี่ยนตัวเองภายในช่วงเวลาอันสั้น หรือทันที จึงเป็นการก้าวสู่ความล้มเหลวในการสร้างความสำเร็จ มีหนังสือมากมายที่ขายดีในต่างประเทศ ที่เขียนเกี่ยวกับการสร้างอุปนิสัยขึ้น โดยส่วนใหญ่มักจะระบุให้พยายามทำทีละเล็กทีละน้อยแต่อาศัยความต่อเนื่อง คือทำทุกวันจนบ่มเพาะนิสัยขึ้นมา

หากคุณอยากจะเลิกบุหรี่ แทนที่จะหักดิบอาจใช้วิธีค่อย ๆ ลดลง หรือการอยากจะออกไปวิ่งแทนที่จะวิ่งวันละหลายกิโล ก็แค่ใส่รองเท้าวิ่งไม่กี่ร้อยเมตร

อะไรที่มักยากเกินไปจำเป็นจะต้องใช้สิ่งที่เรียกว่าพลังใจ (Willpower) มากจนเกินไป จึงยากที่จะสำเร็จได้

มีการวิจัยมากมายที่ระบุว่าพลังใจนั้นมีจำกัด สามารถหมดลงได้ในแต่ละวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากทำงานมาอย่างหนัก ช่วงเวลากลางคืน จึงเป็นที่มาที่คนส่วนใหญ่ชอบกินมื้อค่ำอย่างไม่มีการหักห้ามใจ


อย่างไรก็ดีเจ้าพลังใจนี้สามารถฝึกฝนได้ เหมือนกล้ามเนื้อของมนุษย์ การค่อย ๆ ฝืนตนเอง ผลักดันตนเองจึงช่วยให้พลังใจของคุณมีมากขึ้น

เมื่อคุณรู้อย่างนี้แล้วอย่ามัวตั้งเป้าหมายแต่เพียงอย่างเดียวแล้วหวังว่าชีวิตนี้จะเปลี่ยนแปลง หากแต่พยายามปรับเปลี่ยนอุปนิสัยควบคู่กันไปด้วยจึงจะเพิ่มโอกาสแห่งความสำเร็จมากยิ่งขึ้น

หลักคิดที่ 4 – Time management การบริหารเวลา

ในปีใหม่ หรือช่วงที่เกิดฮึดสู้ขึ้นมา หลายคนคงมีสิ่งที่อยากทำให้สำเร็จเต็มไปหมด ผมเองก็เช่นกันครับ แต่ก็ต้องจนแต้ม เพราะเวลาที่คิดว่ามีเหลือเฟือ มักไม่เพียงพอที่จะทำทุกอย่างให้สำเร็จได้ แล้วเราควรทำอย่างไร

การบริหารเวลาแบบ ABC การบริหารเวลาชนิดแรกที่ผมได้ลองทำกับตัวเอง ที่จะทำให้สามารถทำงานให้สำเร็จได้มากขึ้นในเวลาที่จำกัด คือการจัดความสำคัญของสิ่งที่ต้องทำในแต่ละอย่าง โดยกำหนดความสำคัญให้จากตัวหนังสือ ABC สิ่งที่สำคัญมากให้ระบุ A ส่วนที่สำคัญน้อยลงมาระบุ B และสำคัญน้อยที่สุดให้ระบุ C ผมเองมักจะพยายามทำแต่ A ให้เสร็จเสียก่อน หากมีเวลาจึงจะเริ่มทำเจ้า B และ C มักจะแบ่งงานให้คนอื่นทำ หรือไม่ทำเลย ภายใน A เองถ้ามีมากเกินไปอาจต้องมาดูนะครับว่าอันไหนเป็น A ของ A ทั้งหมด แล้วตัดอันที่ไม่จำเป็นออกไป ผมเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าการจัดสรรเวลาโดยการเลือกทำแต่สิ่งที่สำคัญที่สุด จะทำให้คุณประสบความสำเร็จมากยิ่งขึ้น ในระยะเวลาอันจำกัดได้

การบริหารเวลาแบบ 80/20 หากใครเคยอ่านหนังสือของ Brian Tracy เขามักจะระบุการจัดสรรเวลาแบบ 80/20 อยู่เสมอ การจัดสรรเวลาแบบ 80/20 คือการหาว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดที่สร้างผลกระทบ 80% จากการกระทำเพียง 20% คือสิ่งใด แล้วมุ่งเน้นกระทำสิ่งนั้น แทนที่จะทำทุกสิ่งทุกอย่างเท่ากันหมด สิ่งนี้มาจาก Pareto Principle ผู้ค้นพบกฎแห่งความจริงนี้ คือ Vilfredo Pareto ที่ค้นพบว่ามีความไม่เท่าเทียมกันของทุกสิ่ง เช่นในเศรษฐกิจของประเทศ จะมีคนร่ำรวยอย่างมาก 20% ที่แชร์ความมั่งคั่ง 80% และคนที่เหลือ 80% จะมีความมั่งคั่งรวมกันเพียงแค่ 20%เป็นต้น การนำหลัก Pareto มาใช้สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับหลายเรื่อง เช่นการแบ่งลูกค้าเป็น top class เพื่อที่จะสามารถดูแลได้มากขึ้น แต่สร้างผลลัพธ์ได้อย่างต่อเนื่องไม่ขาดตกบกพร่อง หรือจะเป็นเรื่องการจัดสรรเวลาอย่างที่ได้กล่าวไปข้างต้น

สิ่งสำคัญของการจัดสรรเวลาที่เหมาะสม คือเข้าใจว่าชีวิตของเรามีเวลาจำกัด เพราะฉะนั้นจึงควรทำสิ่งที่สำคัญ และเป็นประโยชน์อย่างยิ่งเพื่อความคุ้มค่าต่อเวลาอันมีค่าที่จะสูญเสียไป การใช้เวลาอย่างสิ้นเปลืองโดยไม่เห็นถึงสาระ หรือเน้นแต่ความบันเทิงตรงหน้าเพียงอย่างเดียว จึงจะเป็นหนทางสู่ความเสียใจในภายหลัง คนที่ประสบความสำเร็จมักใช้เวลาทุกวินาทีอย่างคุ้มค่า หลายคนถึงกับอดหลับอดนอนทุ่มเทเวลาทำสิ่งที่สำคัญในชีวิตมากที่สุด อย่างไรก็ดีการหักโหมจนไม่ได้พักผ่อนอาจทำให้เกิดผลเสียตามมาในภายหลังได้ สิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตจากผลสำรวจมากมายของคนใกล้ตาย หรือผู้สูงอายุส่วนใหญ่ มักลงความเห็นว่าน่าจะเป็นการได้ใช้เวลากับคนรัก หรือคนที่เรารักมากที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนในครอบครัว หาใช่การทำงาน หรือหาเงินทองไม่

หลักคิดที่ 5 – ความสำเร็จทิ้งร่องรอยเอาไว้

หลายคนคิดไม่ออกไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรให้ประสบความสำเร็จในเป้าหมายของตัวเองที่วางเอาไว้ ผมอยากจะบอกว่าส่วนใหญ่แล้วสิ่งที่คุณอยากจะทำให้ได้นั้น มักจะมีคนเคยทำสำเร็จมาแล้ว และเป็นเรื่องที่โชคดีเป็นอย่างยิ่งที่ปัจจุบันมีอินเตอร์เน็ต โลกของเราจึงแคบขึ้น มีคนมากมายที่พร้อมจะบอกวิธีการสู่ความสำเร็จที่คุณต้องการ หากคุณอยากประสบความสำเร็จเรื่องใด ก็แค่ทุ่มเทเวลาสักหน่อย แล้วเรียนรู้จากคนที่ประสบความสำเร็จมากแล้ว เรียนรู้มาแล้วลงมือทำอย่างต่อเนื่อง ความสำเร็จก็คงไม่ไกลเกินเอื้อม ปัจจุบันมีคอร์สออนไลน์ที่สอนให้คุณสร้างความสำเร็จได้ตามต้องการ และคอร์สแบบออฟไลน์ที่มีอยู่เต็มไปหมด มีชนิดเรียนฟรี และเสียเงินบ้าง ผมเองชอบคอร์สออนไลน์มากกว่า เพราะสามารถเรียนที่ไหนก็ได้บนโลกใบนี้ และหลายคอร์ส สามารถเรียนซ้ำได้กี่ครั้งตามต้องการเลยทีเดียว นอกจากนี้ยังมีเว็บไซต์ที่เป็นประโยชน์มากมายที่แบ่งปันความรู้ให้คุณเสพได้ฟรี ไม่ต้องเสียเงินสักบาท และสามารถนำไปปฏิบัติตามได้ทันที ขอแค่คุณรู้จักเสาะแสวงหา และอาจจะต้องเก่งภาษาอังกฤษบ้างนิดหน่อย

หลักคิดที่ 6 – ควรคิดบวกจริงหรือ

สิ่งหนึ่งที่มีการพูดถึงมากในระยะหลายปีที่ผ่านมา คือการคิดบวก แต่คุณเคยสงสัยบ้างไหมครับว่าทำไมต้องคิดบวก แล้วเจ้าคิดบวกนั้นมันคืออะไร การคิดบวก คือการพยายามจินตนาการ หรือหาแง่มุมดี ๆ จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ถึงแม้ว่าเหตุการณ์นั้นจะแย่เพียงไหน เช่น รถติดแบบนรก แต่คุณมองหาแง่บวก รถติดนี่ก็ดีเหมือนกันทำให้เราสามารถคิดแผนงานในวันนี้ได้

การคิดบวกมีทั้งข้อดี และข้อเสียครับ ข้อดี คือการคิดบวกทำให้คุณมองความเป็นไปได้มากขึ้น เปิดโอกาสให้กับตัวเองมากยิ่งขึ้น แต่ข้อเสียอาจทำให้คุณไม่มองความเป็นจริง

การคิดแง่ลบนั้นก็มีข้อดีเหมือนกัน เพราะการคิดแง่ลบทำให้คุณมองโลกแห่งความเป็นจริงมากขึ้น และมีความระวังมากยิ่งขึ้นเช่นกัน การจินตนาการถึงสิ่งร้าย ๆ ที่อาจเกิดขึ้น ทำให้คุณมีการเตรียมพร้อมมากกว่าคนคิดบวกแต่เพียงอย่างเดียว มาถึงตรงนี้ผมจึงอยากให้คุณคิดบวกมากขึ้น แต่ก็ใช้การคิดลบมาเป็นประโยชน์ด้วยเช่นกัน

หลักคิดที่ 7 – คิดใหญ่ มีแต่ข้อดี

สิ่งหนึ่งที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับตัวคุณในปีนี้ คือการเรียนรู้ที่จะคิดใหญ่เสียบ้าง ก่อนอื่นเลยผมอยากจะบอกอย่างนี้ครับ ถ้าคุณคิดเหมือนเดิมอย่างที่เคยทำมาแล้วชีวิตไม่ดีขึ้น หรือธุรกิจของคุณไม่ได้ประสบความสำเร็จดั่งใจต้องการ คุณอาจต้องลองเปลี่ยนวิธีการ หรือความคิด ผมมักจะเห็นคนที่ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร ทั้งที่พวกเขามีความสามารถมากมาย เป็นเพราะคนเหล่านั้นมักคิดเล็ก คิดว่าอะไรก็เป็นไปได้ยาก และไม่เปิดโอกาสให้กับตนเองได้พยายามมากขึ้น หากพวกเขาแค่คิดใหญ่มากขึ้น ทำมากขึ้น ตั้งเป้าหมายให้ใหญ่โตมากขึ้น ก็คงจะประสบความสำเร็จมากขึ้นเช่นกัน สตีฟ จ็อบส์ สร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับโลกใบนี้ เพราะเขาคิดใหญ่ คิดว่าตัวเองสามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้ สามารถสร้างความสำเร็จได้เหนือกว่าคนอื่น จึงเป็นที่มาที่ทำให้ทุกกระทำของสตีฟ จ็อบส์ แตกต่าง

มีหนังสืออยู่เล่มหนึ่งชื่อ The Magic of Thinking Big เขียนโดย David Schwartz ที่สอนให้คุณคิดใหญ่มากขึ้น เป็นหนังสือดีเล่มหนึ่งที่แนะนำให้คุณลองหามาอ่านดู ปัจจุบันมีการแปลเป็นภาษาไทย หาซื้อได้ในร้านหนังสือทั่วไปครับ


หลักคิดที่ 8 – คุณควรทำสิ่งที่รัก หรือรักในสิ่งที่ทำ

หลายคนคงเคยได้ยินคำว่า ทำสิ่งที่คุณรัก แล้วจะไม่เหมือนทำงานอีกต่อไป จึงพยายามหางานที่ตัวเองรัก แต่จนแล้วจนรอดก็หาไม่เจอสักที มีแต่งานที่น่าเบื่อ รายได้น้อย และไม่มีความสุข ท้ายที่สุดต้องเปลี่ยนงานไปเรื่อย ๆ ทำโน่นนี่ไปเรื่อย ๆจนไม่มีหลักแหล่งรายได้เป็นชิ้นเป็นอัน ผมเชื่อนะครับว่าการทำสิ่งที่รักนั้น จะช่วยให้คุณมีความสุขจริง ๆ เหมือนอย่างตอนที่ผมกำลังเขียนบทความอยู่นี่ ผมมีความสุข ในการส่งต่อสิ่งดี ๆ อันเป็นประโยชน์ให้กับคนอื่น ได้แบ่งปันความรู้ หรือสอนสิ่งที่เป็นสาระดี ๆ เป็นสิ่งที่ผมรู้สึกว่ารัก แต่ในงานอื่น ๆ หรือภารกิจอื่นที่จำเป็นต้องทำถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้รักมากเท่าไหร่ ทำแล้วก็ไม่ได้มีความสุขเท่าไหร่ แต่การบังคับจิตใจตนเองให้รู้สึกดีกับงานเหล่านั้นช่วยให้ท้ายที่สุดไม่ได้แตกต่างกับการทำสิ่งที่รักแต่อย่างใด จะดีกว่ามั้ย ถ้าคุณสามารถรักในสิ่งที่ทำได้ทุกอย่าง ไม่จำกัดแต่ต้องทำในสิ่งที่รัก ถึงจะทำได้ดีแต่เพียงอย่างเดียว มีหนังสืออยู่เล่มหนึ่งที่ช่วยส่งเสริมความคิดที่ผมบอกกล่าวไปข้างต้น ชื่อ So Good They Can’t Ignore You เขียนโดย Carl Newport ระบุว่าการวิ่งตามหาสิ่งที่คุณรักแต่เพียงอย่างเดียวจะทำให้ท้ายที่สุดไม่สามารถประสบความสำเร็จในระยะยาวได้ เพราะสิ่งที่คุณรักอาจไม่สร้างประโยชน์กับคนอื่น เช่น คุณชอบนอน หรือชอบกินจุเป็นต้น แต่สิ่งสำคัญที่จะทำให้คุณรู้สึกดีกับงานที่มากยิ่งขึ้น คือความสามารถที่ได้พัฒนามากขึ้นต่างหาก การที่คุณเก่งขึ้นในงานที่ทำ หรือสิ่งที่กำลังมุ่งบรรลุอยู่นั้น จะทำให้คุณมีความสุขมากขึ้น และยิ่งคุณเก่งมากถึงระดับที่คนอื่นไม่อาจมองข้ามได้ คุณจะยิ่งประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานมากยิ่งขึ้นเช่นกัน เป็นที่มาของรายได้มากมายในท้ายที่สุดครับ

หลักคิดที่ 9 – ทำอย่างไรถึงจะมีรายได้มากขึ้น

เมื่อคุณอยากมีรายได้มากขึ้น คุณก็มีทางเลือกอยู่ไม่กี่ทางครับ

ทางแรก คุณอาจต้องทำงานอื่น หรือทำอย่างที่แทนที่สิ่งที่เคยทำ เช่นงานประจำที่คุณทำอยู่อาจสร้างรายได้ไม่พอใช้ คุณอาจพัฒนาทักษะอะไรบางอย่างแล้วนำไปหางานอื่นแทน โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานที่เป็นธุรกิจของตนเอง ไม่ต้องเป็นลูกจ้างของคนอื่น (ถ้ารายได้น้อยเกิน)

ทางที่สอง คุณอาจต้องทำเพิ่ม คือทำสิ่งเดิมให้ดียิ่งขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น หรือแม้การกระทั่งทำอาชีพเสริมในขณะที่คงอาชีพเดิม หรืองานเดิมอยู่ เพิ่มแหล่งที่มาของรายได้ให้มากขึ้น ก็จะช่วยทำให้คุณมีรายได้มากขึ้นแล้ว

วิธีเหล่านี้เป็นคอนเซปต์ง่าย ๆ แต่หลายคนอาจลืมไป มัวแต่พร่ำบ่นว่าเงินไม่พอใช้ ไม่มีเงินบ้าง ยากจนบ้าง เมื่อไหร่จะรวยสักที แทนที่จะเอาเวลาไปบ่น ผมว่าคุณลองทำตามแนวทางข้างต้นน่าจะพอช่วยให้คุณสร้างรายได้มากขึ้นได้

อย่างไรก็ดีหากคุณลองมองอันดับมหาเศรษฐีบนโลกใบนี้ จะเห็นได้ว่าส่วนใหญ่แล้วนั้นเป็นนักธุรกิจ หรือเจ้าของกิจการอะไรบางอย่างที่มีสเกลค่อนข้างใหญ่ คือตลาดใหญ่ ส่งผลกระทบต่อคนในวงกว้าง แต่น้อยนักที่จะเป็นลูกจ้าง หรือแม้กระทั่ง CEO ของบริษัท เมื่อรู้อย่างนี้แล้วอย่างน้อย ๆ การเพิ่มโอกาสในการสร้างความมั่งคั่ง หรือสร้างความร่ำรวยในชีวิตสักครั้งหนึ่ง ก็ควรมีกิจการเป็นของตัวเองบ้าง การสร้างธุรกิจของตนเองควบคู่ไปกับการทำงานประจำเป็นสิ่งที่ควรทำในช่วงแรกเพื่อลดความเสี่ยง เพราะเราไม่มีทางมั่นใจได้เลยว่าธุรกิจส่วนตัวนั้นจะไปรอดหรือไม่

อย่างก็ดีหากคุณไร้ซึ่งประสบการณ์ หรือเพิ่งเรียนจบใหม่ๆ การเข้าไปเรียนรู้งานจากองค์กรที่มีความเป็นมืออาชีพเป็นสิ่งที่จำเป็นในระยะแรก เมื่อเรียนรู้งานได้ในระดับหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเรียนรู้การบริหารจัดการคน หรือการขาย จึงค่อยออกมาทำธุรกิจของตนเองก็ไม่สายครับ

หลักคิดที่ 10 – หนังสือแห่งการสร้างความสำเร็จที่คุณควรอ่านสักครั้ง

Think and Grow Rich หนังสือเล่มดังที่คุณควรอ่านสักครั้งครับ เขียนโดย Napoleon Hill สอนให้บรรดานักธุรกิจ หรือเศรษฐีทั้งหลายร่ำรวยได้จนถึงทุกวันนี้ หนังสือเล่มนี้ระบุถึงวิธีการสร้างความสำเร็จที่รวบรวมจากบรรดาคนที่ประสบความสำเร็จมากแล้วมากมาย เป็นหนังสือที่ผมอ่าน แล้วรู้สึกดีจริง ๆ ที่ได้อ่านครับ

Success Principles เขียนโดย Jack Canfield ที่รวบรวมวิธีการสร้างความสำเร็จมากมายมาบรรจุอยู่ภายในเล่มเดียว เวอร์ชั่นแปลเป็นภาษาไทยมีความยาวที่ถูกตัดตอนออกจากหนังสือเล่มที่ขายในต่างประเทศ อย่างไรก็ดีกฎในหนังสือที่เล่าไว้ในเล่มล้วนมีแต่สิ่งดี ๆ ที่สามารถนำไปสร้างความสำเร็จได้อย่างแน่อน

7 Habits of Highly Effective People เขียนโดย Stephen R. Covey ที่ระบุถึงอุปนิสัยทั้ง 7 ประการของคนที่มีประสิทธิผลสูง มีการแปลเป็นไทย และมีการเรียนการสอนอย่างเป็นเรื่องเป็นราว แต่ราคาคอร์สค่อนข้างแพงพอสมควร คุณลองหาหนังสือมาอ่านก่อนตัดสินใจว่าดีจริง น่าจะเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุดครับ

สรุป ในหลายขั้นตอนที่ผมได้ระบุไปนั้น เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้คุณประสบความสำเร็จได้ ขอเพียงคุณนำสิ่งที่เรียนรู้ไปปฎิบัติตามอย่างจริงจัง ไม่ยอมแพ้เอากลางคัน และพยายามเป็นอย่างยิ่งที่จะทำให้ชีวิตนี้ประสบความสำเร็จ ผมเชื่อว่าคนทุกคนมีความเก่งกาจอยู่ภายใน แตกต่างที่ความทรหดอดทน และทัศนคติที่มีอยู่ จึงทำให้ความสำเร็จเป็นสิ่งที่บางคนทำได้ บางคนทำไม่ได้ หากคุณรู้แล้วอย่ามัวรีรอ รีบออกไปสร้างความสำเร็จในชีวิต อย่าให้ชีวิตที่เกิดมาต้องเสียเปล่า