การปลูกกล้วยหอมทอง

1. ชื่อพืช/ชื่อสามัญ : กล้วยหอมทอง

2. ชื่อวิทยาศาสตร์: Musa acuminata

3. ชื่อเรียกในท้องถิ่น : กล้วยหอมทอง

4. ชนิดพืช : ใบเลี้ยงเดี่ยว

5. ลักษณะประจำพันธุ์: กล้วยหอมทอง เป็นสายพันธุ์ที่มาจากกล้วยป่า ความสูงของลำต้นมีประมาณ 2.5-3.5 เมตร ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของลำต้นจะมีมากกว่า 15 ซม. ขึ้นไป ลำต้นภายนอกจะมีกาบเป็นรอยประสีดำ เล็กน้อย ส่วนภายในจะเป็นสีเขียว ลักษณะใบยาว มีเส้นกลางใบเป็นสีเขียว มีร่องก้านใบกว้าง มีก้านช่อดอกที่ยาว และมีขนอ่อนๆ ปกคลุมอยู่ มีใบประดับรูปไข่ค่อนข้างยาว ด้านบนเป็นสีม่วงอมเทา บริเวณโคนมีสีซีดลง ส่วน ปลายเป็นสีแดงอมส้ม ใบประดับส่วนปลายจะมีลักษณะแหลมและม้วนขึ้น มีลักษณะเป็นเครือยาวแยกออกเป็น หวีๆ ในเครือหนึ่งจะมีอยู่ประมาณ 4-6 หวี และในหวีหนึ่งๆ จะมีผลอยู่ประมาณ 12-16 ผล เปลือกผลหนา เมื่อ ยังอ่อนอยู่จะมีเปลือกสีเขียว และจะกลายเป็นสีเหลืองทองเมื่อสุก ภายในผลจะมีเนื้อที่ละเอียดเป็นสีครีม สีเหลือง หรือสีส้มอ่อนๆ มีกลิ่นหอม รสหวาน ไม่มีเมล็ด ความกว้างของผลมีประมาณ 3-4 ซม. ยาวประมาณ 18-25 ซม.

6. ถิ่นกำเนิด : เอเชียตะวันออกเฉียงใต้

7. แหล่งพันธุ์: ภาคกลางและภาคใต้ ได้แก่ จังหวัดปทุมธานี นนทบุรี กรุงเทพฯ เพชรบุรี และสุราษฎร์ธานี

8. การปลูก/การขยายพันธุ์/การดูแลรักษา : การขยายพันธุ์สามารถทำได้ด้วยวิธีการแยกหน่อ ควรเลือกหน่อ พันธุ์ที่อ่อน ใบแคบหรือหน่อดาบ มีใบติดอยู่ประมาณ 3-4 ใบ หน่อมักเกิดขึ้นที่โคนต้นเดิมและมีความสมบูรณ์ จากนั้นให้ตัดรากหน่อพันธุ์กล้วยที่ได้ให้เหลือแค่ 1 นิ้ว การเตรียมดินให้ขุดไถพรวนดินให้ละเอียดแล้วตากทิ้งไว้ ประมาณ 7-10 วัน เพื่อกำจัดวัชพืชและศัตรูพืช ปรับพื้นที่ปลูกให้เสมอกัน หากมีวัชพืชขึ้นมาอีกก็ให้ไถพรวนซ้ำ อีกครั้ง ควรปลูกกล้วยหอมทองในช่วงเดือนกันยายน-พฤศจิกายน หรือถ้ามีแหล่งน้ำเพียงพอก็สามารถปลูกได้ ตลอดทั้งปี การปลูก - ขุดหลุมปลูกให้มีความกว้างประมาณ 30 ซม. ยาวประมาณ 30 ซม. ลึกประมาณ 30 ซม. โดยเว้นระยะห่าง ของการปลูกในแต่ละต้นประมาณ 3 เมตร - วางหน่อลงปลูกกลางหลุม ใส่ดินลงไปประมาณครึ่งหลุมแล้วกลบให้แน่น เพื่อป้องกันการโยกของต้นกล้วย ส่วน ดินที่เหลือให้ใส่จนเต็มหลุมโดยไม่ต้องกดให้แน่นมากนัก แล้วคลุมบริเวณโคนต้นเพื่อรักษาความชื้นด้วยเศษพืช - ในช่วงที่ปลูกใหม่ๆ ควรให้น้ำแค่พอชุ่ม เมื่อตั้งตัวและติดปลีแล้วก็ไม่จำเป็นต้องให้น้ำทุกวัน - ใส่ปุ๋ยคอกและปุ๋ยหมักควบคู่กันไปตามสภาพความสมบูรณ์ของดิน ถ้าเป็นปุ๋ยเคมีก็ให้ใช้สูตร 21-0-0 สูตร 15- 15-15 หรือสูตร 13-13-21 ในอัตราไร่ละ 50 กก. โดยแบ่งใส่เป็น 2 ครั้ง