ศิลปะวัฒนธรรม ประเพณี แห่เทียนพรรษา
วันเข้าพรรษา เป็นวันสำคัญทางพุทธศาสนา ที่พระสงฆ์อธิษฐานว่าจะพักประจำอยู่ ณ ที่ใด ที่หนึ่ง ตลอดระยะเวลาฤดูฝนที่มีกำหนดเป็นระยะเวลา 3 เดือน โดยไม่ไปค้างแรมที่อื่น หรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า จำพรรษา เริ่มนับตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 ของทุกปี และสิ้นสุดลงในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 หรือวันออกพรรษา ในช่วง วันเข้าพรรษา ถือว่าเป็นอีกวันที่พุทธศาสนิกชนส่วนใหญ่จะถือโอกาสเข้าวัดทำบุญ ฟังเทศน์ และสิ่งสำคัญที่เรามักจะเห็นพร้อมกับการไปวัดทำบุญ คือ “ถวายเทียนพรรษา” เป็นการสืบสานวัฒนธรรมประเพณี ที่ปฏิบัติกันมาแต่อดีต ตามเรื่องเล่าที่ว่า ในระหว่างวันเข้าพรรษา พระภิกษุสงฆ์จะไม่สามารถไปจำวัดที่อื่นได้ วัดในต่างจังหวัดไม่มีไฟฟ้าใช้ ต้องอาศัยแสงสว่างจากเทียน ญาติโยมจึงถวายเทียนในวันเข้าพรรษา จึงเป็นที่มาของการ “แห่เทียนเข้าพรรษา” นั่นเอง
ผู้เขียนได้มีโอกาสไปร่วมถวายเทียนต้นแรกของปี 2565 ด้วยการชักชวนของนางศิริรัตน์ กลั่นกำเนิด หัวหน้า กศน.ตำบลโนนสำราญ อำเภอเมืองชัยภูมิ ที่เป็นสะพานบุญครั้งนี้ ทราบว่า เป็นกิจกรรมของ อบต.โนนสำราญที่ทำขึ้นทุกปี โดยมีส่วนราชการและชุมชนให้ความร่วมมือด้วยดีเสมอมา ผู้เขียนถูกบอกกล่าวก่อนไปว่าให้สวมใส่เสื้อสีขาวและผ้าถุงให้สวยงาม ก็ไปค้นตู้เสื้อผ้า จนได้เสื้อลูกไม้สีขาวงาช้างตัวหนึ่ง คิดว่า จะแปลกแตกต่างกับคนอื่นรึเปล่านะ พอไปถึงขบวนแห่เทียน ที่ตั้งขบวนรอฤกษ์งามยามดี ก็พบว่า มีผู้คนมาร่วมขบวนเยอะมากๆ ใส่เสื้อโทนสีขาว ครีม ผู้เขียนก็สบายใจ แต่ไม่มีผ้าสไบเหมือนคนอื่นเขา ไม่เป็นไร มาด้วยใจ สู้ๆ รถแห่เทียนพรรษาที่ผู้เขียนไปร่วมถวาย เป็นรถสามล้อพ่วงข้าง ที่ประดับผ้าและดอกไม้ แม้จะเป็นขบวนเล็กๆ แต่งดงามยิ่งนัก ขบวนแห่เคลื่อนออกจากบ้านโสกหว้า ม.6 ไปยังวัดบ้านโสกหว้า ม.6 ต.โนนสำราญ อ.เมือง จ.ชัยภูมิ ระยะทาง จากจุดตั้งขบวน 300 เมตร ถึงวัด ก็หยุดขบวนแห่ ให้นางรำกลุ่มผู้สูงอายุ ได้ร่ายรำหน้าขบวนแห่ ก่อนขึ้นไปบนศาลา และทำพิธีสงฆ์เพื่อทำบุญและถวายเทียนต่อไป
การถวายเทียนส่งผลให้ผู้ถวายย่อมได้รับอานิสงส์ คือ
1. ทำให้เกิดปัญญา ทั้งชาตินี้และชาติหน้า เปรียบเหมือนแสงสว่างแห่งเทียน
2. ทำให้สว่างไสวรุ่งเรือง ผู้ถวายย่อมทำให้มีความรุ่งเรืองด้วย ลาภ ยศ สรรเสริญ
3. ทำให้คลี่คลายเรื่องราวต่างๆ ที่มีปัญหาให้ร้ายกลายเป็นดี
4. เจริญไปด้วยมิตรบริวาร
5. ย่อมเป็นที่รักของมนุษย์ และเทวดาทั้งหลาย
6. เมื่อจากโลกนี้ไปย่อมมีกายทิพย์อันสว่างไสว
7. เมื่อลาลับโลกนี้ไปย่อมไปสู่สุคติสวรรค์
8. หากบารมีมากพอ ย่อมทำให้เกิดดวงตาจักษุ คือปัญญารู้แจ้งเข้าสู่พระนิพพาน
หากผู้อ่านมีโอกาส ขอเชิญร่วมสืบสานประเพณีวัฒนธรรมที่งดงามนี้ ให้คงอยู่สืบไปกันนะคะ นอกจากจะเป็นการอุรักษ์ประเพณีวัฒนธรรมแล้ว ยังได้บุญได้กุศลอีกด้วยนะคะ
ผู้เขียน นางสาวกฤตยา กำลังทวี
ผู้ถ่ายภาพนางสาวกฤตยา กำลังทวี