สุธีลักษณ์ ลาดปาละ
กรรมการ กระบวนกร บริษัท ขะไจ๋ จำกัด
ผู้รับผิดชอบโครงการชุมชนกรุณาลำปาง
การวางแผนดูแลล่วงหน้า (Advance Care Planning - ACP) เป็นสิทธิที่ผู้สูงอายุทุกคนควรได้รับรู้และมีโอกาสใช้ แต่การนำความรู้เรื่องนี้ไปเผยแพร่ให้กับผู้สูงอายุในชุมชนไม่ใช่เรื่องง่าย จากประสบการณ์การทำงานในพื้นที่จังหวัดลำปาง โดยเฉพาะอำเภอเสริมงามซึ่งมีประชากรผู้สูงอายุหนาแน่นที่สุด เราได้เรียนรู้บทเรียนสำคัญว่า แนวทางแบบเดียวใช้ไม่ได้ผล ความสำเร็จขึ้นอยู่กับการปรับเปลี่ยนรูปแบบให้เหมาะกับบริบทของแต่ละกลุ่ม ทำความรู้จักกลุ่มเป้าหมาย ผู้สูงอายุในชุมชนมีความหลากหลายมากกว่าที่เราคิด ตั้งแต่กลุ่ม Active Aging ที่ยังแข็งแรงและมีกิจกรรมทางสังคม เช่น สมาชิกโรงเรียนผู้สูงอายุ ข้าราชการบำนาญ ผู้สูงอายุทั่วไป ที่มีพื้นฐานการศึกษาและความสามารถในการอ่านเขียนแตกต่างกัน บุคลากรที่เกี่ยวข้องเช่น อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) และผู้ดูแล แต่ละกลุ่มมีความต้องการและข้อจำกัดที่แตกต่างกัน จึงต้องออกแบบกระบวนการเรียนรู้ให้เหมาะสม
3 เครื่องมือหลักในการจัดกระบวนการเรียนรู้
สมุดเบาใจ เครื่องมือหลักที่ใช้บ่อยที่สุด ช่วยให้ผู้สูงอายุได้บันทึกการวางแผนดูแลล่วงหน้าอย่างเป็นรูปธรรม ครอบคลุมทั้งการไตร่ตรองและการตัดสินใจในมิติต่าง ๆ ของการดูแลช่วงท้ายของชีวิต
เกมไพ่ไขชีวิต ใช้กระตุ้นให้เกิดการทบทวนทัศนคติและค่านิยมเกี่ยวกับชีวิตและความตาย เปิดพื้นที่ให้เกิดการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในกลุ่มอย่างเป็นธรรมชาติ
การ์ดแชร์กัน เหมาะสำหรับกิจกรรมที่ต้องการการพูดคุยเชิงลึกแบบหนึ่งต่อหนึ่ง แต่ต้องการเวลาในการทำความเข้าใจมากกว่า
5 รูปแบบการจัดกระบวนการเผยแพร่ความรู้เรื่องการวางแผนดูแลล่วงหน้าให้กับผู้สูงอายุในชุมชน
รูปแบบที่ 1 โรงเรียนผู้สูงอายุ
เหมาะสำหรับกลุ่มขนาดเล็ก (ประมาณ 30 คน) ที่อ่านออกเขียนได้และคุ้นเคยกันดี
วิธีการ จัดกิจกรรมต่อเนื่องหลายครั้ง
- สัปดาห์แรก ให้ความรู้เรื่องสิทธิ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการวางแผนดูแลล่วงหน้า
- สัปดาห์ถัดมา เล่นเกมไพ่ไขชีวิต
- สัปดาห์สุดท้าย ร่วมกันเขียนสมุดเบาใจ
ผลลัพธ์ ผู้เข้าร่วมได้เรียนรู้อย่างลึกซึ้งและมีโอกาสเขียนสมุดเบาใจจนเสร็จสมบูรณ์
รูปแบบที่ 2 การประกบตัวต่อตัว
เหมาะสำหรับ ผู้สูงอายุที่เข้าใจช้า อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ หรือไม่กล้าแสดงความคิดเห็นในกลุ่มใหญ่
วิธีการ ใช้ทีมงานหรืออาสาสมัครที่มีประสบการณ์เข้าไปประกบเป็นรายบุคคล อธิบาย ทวนคำถาม และช่วยเขียนตามความต้องการที่แท้จริง
ข้อดี มั่นใจได้ว่าทุกคนได้รับการดูแลและสามารถวางแผนดูแลล่วงหน้าได้สำเร็จ เข้าใจอย่างแท้จริง
รูปแบบที่ 3 กลุ่มใหญ่ กิจกรรมรายครั้ง จบในครั้งเดียว
เหมาะสำหรับ กลุ่มขนาดใหญ่ (60-100 คนขึ้นไป) ที่มีเวลาจำกัด (2-2.5 ชั่วโมง)
เป้าหมาย ลดความคาดหวังในการเขียนสมุดเบาใจให้เสร็จ แต่เน้นสร้างความตระหนักรู้ 3 ประเด็น
1. ให้รู้ว่า "การวางแผนดูแลล่วงหน้า" มีอยู่จริง
2. ให้เข้าใจ "สิทธิ์" ในการแสดงเจตนาช่วงท้ายและสิทธิ์ในการขอการดูแลแบบประคับประคอง
3. ให้ทราบ "ช่องทางและระบบส่งต่อ" ในพื้นที่
เทคนิค ใช้เกมบิงโกที่มีคำถามจากการวางแผนดูแลล่วงหน้าเป็นตัวนำ เพื่อสร้างการมีส่วนร่วม
รูปแบบที่ 4 หลักสูตรบูรณาการ "อยู่ดีและตายดี"
เหมาะสำหรับ กลุ่มแกนนำผู้สูงอายุจากหลายพื้นที่ที่มีความพร้อมในการเรียนรู้
วิธีการ จัดอบรมเข้มข้น 3 วัน แบ่งเป็น
- 1.5 วันแรก เรียนรู้เรื่อง "การตายดี" ผ่าน Workshop วงล้อมของการดูแล เกมไพ่ไขชีวิตและการเขียนสมุดเบาใจ
- 1.5 วันหลัง เรียนรู้เรื่อง "การอยู่ดี" โดยผู้เชี่ยวชาญแพทย์แผนไทย การแพทย์แบบองค์รวมให้ความรู้เรื่องอาหาร การออกกำลังกาย และการดูแลสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุ
แนวคิด "อยากให้ใช้สมุดเบาใจให้ช้าที่สุด" ตอบโจทย์ความต้องการการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมของผู้สูงอายุ
รูปแบบที่ 5 หลักสูตร "เกษียณเขียนชีวิต"
เหมาะสำหรับ ผู้สูงอายุที่มีการศึกษาและถนัดงานเขียน
วิธีการ จัดอบรม 2 วัน ใช้กระบวนการทางศิลปะและการเขียน ให้ผู้เข้าร่วมทบทวนชีวิตในแต่ละช่วงวัยเหมือนการเขียนหนังสือ แล้วเชื่อมโยงมาถึง "บทสุดท้าย" ของชีวิต ใช้เกมไพ่ไขชีวิต สมุดเบาใจเป็นเครื่องมือทบทวนก่อนลงมือเขียนบทสุดท้าย
ลักษณะเด่น เป็นกระบวนการที่นุ่มนวลและมีความสุนทรีย์สูง
หลักการสำคัญในการทำงานเผยแพร่ความรู้ในการวางแผนดูแลล่วงหน้ากับผู้สูงอายุ
✓ การฟังอย่างใส่ใจ (Active Listening) ทักษะพื้นฐานที่สำคัญที่สุดในการสร้างพื้นที่ปลอดภัย
✓ สร้างข้อตกลงร่วมกัน ทำความเข้าใจกระบวนการเรียนรู้และสร้างกติกาตั้งแต่เริ่มต้น
✓ ทำงานร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่ ประสานงานกับ อบต. เทศบาล หรือ รพ.สต. เพื่อเชิญชวนคนที่เหมาะสม คนที่สนใจ วางแผนการทำงานร่วมกันต่อไปหลังจากเผยแพร่ความรู้แล้ว
✓ ความยืดหยุ่น พร้อมปรับเปลี่ยนกิจกรรมให้เข้ากับสถานการณ์และความพร้อมของกลุ่ม
✓ การเตรียมตัวของผู้จัด ต้องทำการบ้านเกี่ยวกับบริบท วัฒนธรรม และระบบสุขภาพในพื้นที่
✓ การติดตามและสนับสนุน ติดตามผลหลังการอบรมเพื่อกระตุ้นให้เกิดการนำไปใช้จริง
ประเด็นที่ต้องระวัง
🔸 บริบทครอบครัว ผู้สูงอายุในชนบทจำนวนมากไม่ได้อาศัยอยู่กับลูกหลาน การยกตัวอย่างเรื่องการสื่อสารกับครอบครัวอาจเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ทำให้ผู้สูงอายุรู้สึกด้อย เปรียบเทียบกับเพื่อน
🔸 ความพร้อมทางอารมณ์ ไม่กดดันผู้ที่ยังไม่พร้อมพูดคุย และต้องเตรียมรับมืออารมณ์ความรู้สึกที่อาจเกิดขึ้น
🔸 คุณภาพของอาสาสมัคร อาสาสมัครต้องมีทักษะการฟังที่ดี ไม่ชี้นำหรือตัดสินความคิดของผู้สูงอายุ
🔸 ความเป็นส่วนตัว เคารพการตัดสินใจ ไม่บังคับให้เข้าร่วมหรือเขียนสมุดเบาใจหากยังไม่สะดวกใจ
การสื่อสารเรื่อง "สิทธิ์" ให้เข้าใจง่าย
ตั้งคำถามนำที่ใกล้ตัว เช่น "ทุกวันนี้คนส่วนใหญ่เสียชีวิตที่ไหน?" (โรงพยาบาล) "แล้วเราอยากเสียชีวิตที่ไหน?" (บ้าน) "ทำไมถึงไม่ได้เป็นอย่างที่อยาก?" แล้วค่อยนำเข้าสู่บทเรียนเรื่องสิทธิ์
เชื่อมโยงกับประสบการณ์จริง พูดถึงการรักษาที่ไม่พึงประสงค์ในช่วงท้ายชีวิต เพื่อให้เห็นความสำคัญของการแสดงเจตนา
อ้างอิงกฎหมายแบบเป็นรูปธรรม กล่าวถึงสิทธิ์ตาม พ.ร.บ. สุขภาพแห่งชาติ มาตรา 12 พร้อมข้อมูลที่ใช้ได้จริง เช่น "ถ้าต้องการการดูแลแบบประคับประคองที่บ้าน ต้องติดต่อใคร ที่ไหน"
ยกตัวอย่างกรณีศึกษา หากในพื้นที่มีตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จ จะช่วยสร้างความเข้าใจและความมั่นใจได้มาก
ความท้าทายที่พบ
📌 เรื่องสมุดเบาใจ
- เหมาะกับคนในสังคมเมืองหรือผู้มีการศึกษามากกว่า
- ผู้สูงอายุในชนบทต้องการคนประกบแบบหนึ่งต่อหนึ่ง
- ต้องใช้เวลาในการไตร่ตรอง อบรมแบบระยะสั้นไม่เพียงพอ (รูปแบบในอุดมคติอาจต้องใช้เวลาถึง 5 วัน)
📌 ช่องว่างระหว่าง "เขียนเสร็จ" กับ "สื่อสารกับครอบครัว"
ผู้สูงอายุหลายคนเขียนสมุดเบาใจเสร็จแล้ว แต่ยังไม่กล้าหรือไม่รู้จะพูดคุยกับลูกหลานอย่างไร ต้องมีคนพาคุย พาสื่อสาร
📌 ช่องว่างเชิงระบบ
- การบูรณาการระหว่าง Primary Care และ Palliative Care ยังไม่เกิดขึ้นจริง
- บุคลากร รพ.สต. มีภาระงานมาก มักมองว่า ACP เป็นหน้าที่ของทีม Palliative Care โดยตรง
- องค์กรภาคประชาสังคมต้องเข้ามา "อุดช่องว่าง" แต่เผชิญความท้าทายในการประสานงานกับระบบราชการ
แนวทางการดำเนินงานในอนาคต
มุ่งเน้นการมีส่วนร่วมของครอบครัว พัฒนากระบวนการที่เชิญชวนให้ลูกหลานหรือสมาชิกในครอบครัว คนที่ต้องมีส่วนร่วมในการตัดสินใจเข้ามารับฟังและมีส่วนร่วม เพื่อให้การสื่อสารแผนการดูแลล่วงหน้าเกิดขึ้นจริง
สร้างศักยภาพคนในพื้นที่ ลงทุนอบรม อสม. และผู้ดูแลในชุมชน เน้นการสร้างทักษะการจัดกระบวนการ การฟังเชิงลึก และการชวนคุยในประเด็นละเอียดอ่อน ซึ่งต้องเป็นกระบวนการที่ต่อเนื่อง ทำซ้ำจนเกิดความเข้าใจ มั่นใจ ทำได้จริง
ผลักดันเชิงนโยบายในระดับท้องถิ่น ทำงานร่วมกับผู้บริหารท้องถิ่นและโรงพยาบาล นำเสนอข้อมูลและผลลัพธ์ ชี้ให้เห็นว่า ACP ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายและแก้ปัญหาสุขภาพได้อย่างไร
พัฒนาระบบการประเมินผล ไม่หยุดแค่วัดความรู้หลังอบรม แต่ต้องติดตามผลระยะยาวว่าแผนถูกนำไปใช้อย่างไร และส่งผลต่อคุณภาพการตายที่ดีจริงหรือไม่
เริ่มต้นจากจุดเล็ก ๆ และสร้างต้นแบบ เลือกทำในพื้นที่ที่มีความพร้อม 1-2 แห่งให้เกิดผลสำเร็จเป็นรูปธรรม เพื่อใช้เป็น "กรณีตัวอย่าง" ในการขยายผลและสร้างอำนาจต่อรองในเชิงนโยบาย
บทสรุป
การเผยแพร่ความรู้เรื่องการวางแผนดูแลล่วงหน้าให้ผู้สูงอายุในชุมชนไม่มีสูตรสำเร็จเดียว ความสำเร็จขึ้นอยู่กับ
ความเข้าใจบริบทของกลุ่มเป้าหมายแต่ละกลุ่ม
ความยืดหยุ่นในการปรับรูปแบบ
การสร้างความไว้วางใจและทำงานร่วมกับคนในพื้นที่
การเน้นเรื่องสิทธิ์ก่อนการเรียนรู้เรื่องกระบวนการต่างๆ
การใช้เครื่องมือที่จับต้องได้และกระตุ้นการมีส่วนร่วม
และที่สำคัญที่สุด คือการมองว่าการวางแผนดูแลล่วงหน้าไม่ใช่แค่การเขียนเอกสาร แต่เป็น กระบวนการคิด ไตร่ตรอง สื่อสารที่ต้องดำเนินต่อเนื่องและต้องการการสนับสนุนจากทั้งครอบครัว ชุมชน และระบบสุขภาพ