แอร์กลายเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าชิ้นสำคัญที่แทบทุกบ้านขาดไม่ได้ โดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อนที่อากาศร้อนอบอ้าวเป็นพิเศษ หากคิดจะติดแอร์ ควรศึกษาเทคนิคการเลือกซื้อแอร์ จะได้เลือกซื้อแอร์มาใช้งานอย่างคุ้มค่า ช่วยประหยัดไฟและบ้านเย็น
BTU (British Thermal Unit) คือ ขนาดทำความเย็นของแอร์ ซึ่ง 1 ตันความเย็น จะเท่ากับ 12000 BTU ต่อชั่วโมง ดังนั้นจึงควรคำนึงถึงขนาดของแอร์กับขนาดของห้องให้พอดีกัน เพราะหากเลือกแอร์ที่มี BTU สูงหรือต่ำจนเกินไป จะทำให้สิ้นเปลืองไฟและแอร์อายุการใช้งานสั้นลงอีกด้วย
1. แอร์ติดผนัง (Wall Type) เป็นแบบยอดนิยม เพราะมีรูปลักษณ์ดี ดีไซน์ทันสมัย มีขนาดเล็กกะทัดรัด เสียงเงียบ เหมาะสำหรับห้องที่มีพื้นที่น้อย หรือไม่ต้องการวางบนพื้นให้เกะกะ แต่ไม่เหมาะกับงานหนัก หรือห้องที่ต้องการความเย็นสูงและใช้งานเป็นเวลานาน ใช้สำหรับห้องนอน ห้องรับแขก ห้องพักทั่วไป
2. แอร์แบบตั้งพื้นหรือแบบแขวนใต้ฝ้า (Speed Type) เป็นแอร์ที่กระจายความเย็นได้ดี ลมแรง ให้ความเย็นรวดเร็ว เหมาะสำหรับห้องที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่ มีคนเยอะ เช่น สำนักงาน ห้องประชุม สามารถเลือกติดตั้งกับพื้นหรือแขวนเพดานก็ได้ แต่ข้อเสียคือหน้าตาไม่ทันสมัย รวมทั้งกินไฟมากกว่าด้วย
3. แอร์แบบ 4 ทิศทาง (4 way ceiling cassette type) เป็นแอร์แบบฝังเพดาน สวยงาม ทันสมัย ติดตั้ง Built-in เข้ากับสถานที่ กระจายความเย็นได้ทั่วห้อง ราคาแพง สำหรับ สำนักงาน โรงแรม ร้านอาหาร หรือ ห้องโถงขนาดใหญ่
4. แอร์แบบท่อลม ฝังเพดาน (Duct connected type) เป็นแอร์ที่มีท่อลม กระจายไปตามจุดต่างๆ ที่เจาะช่องลมไว้ ไม่เห็นตัวเครื่อง เหมาะสำหรับห้องที่ต้องการเน้นความสวยงาม ราคาค่อนข้างสูง
ควรเลือกซื้อแอร์ ที่มีฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 โดยพิจารณาจากค่า EER และ SEER หรืออัตราส่วนประสิทธิภาพพลังงาน ซึ่งจะช่วยตัดสินใจเลือกซื้อแอร์ที่มีประสิทธิภาพในการประหยัดพลังงานเพิ่มมากขึ้น
EER คือ ค่าประสิทธิภาพการใช้พลังงานในการทำความเย็น BTU/ชั่วโมง ต่อกำลังไฟที่ใช้ไป (วัตต์) EER ยิ่งตัวเลขสูงยิ่งกินไฟน้อย
SEER คือ ค่าประสิทธิภาพการใช้พลังงานตามฤดูกาล พูดง่ายๆ ก็คืออากาศภายนอกมีผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของแอร์ ซึ่งใช้วัดกับแอร์ระบบอินเวอร์เตอร์ (Inverter) SEER ยิ่งตัวเลขสูงยิ่งกินไฟน้อยเช่นกัน
ปัจจุบัน การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้ออกฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 แบบใหม่ ที่เรียกกันว่า เบอร์ 5 ติดดาว เพื่อให้เข้าใจง่าย โดยแบ่งเกณฑ์ประสิทธิภาพเป็น 4 ระดับได้แก่ เบอร์ 5 / เบอร์ 5 1 ดาว / เบอร์ 5 2 ดาว / เบอร์ 5 3 ดาว โดยจำนวนดาวยิ่งมาก ยิ่งประหยัดไฟมาก
นอกจากนี้แล้ว แอร์ระบบอินเวอร์เตอร์ (Inverter) เป็นเทคโนโลยีที่สามารถปรับเพิ่มหรือลดความเร็วรอบของคอมเพรสเซอร์ได้ตามอุณหภูมิห้อง ก็ช่วยทำให้ประหยัดพลังงานได้มากกว่าแอร์ธรรมดา ทำงานเงียบ และให้อุณหภูมิที่คงที่มากกว่า
สำคัญที่ควรเก็บเอาไปพิจารณา โดยให้เลือกยี่ห้อแอร์ที่น่าเชื่อถือ มีการรับประกันคอมเพรสเซอร์และอะไหล่ที่ยาวนาน
ช่างติดตั้งก็ต้องเลือกที่มีประสบการณ์ มีผลงานที่ดี เอาใจใส่ในรายละเอียดในการติดตั้ง เพราะแอร์ติดตั้งแล้วไม่ได้ย้ายบ่อยๆ เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายสูง จึงจำเป็นต้องเลือกช่างติดตั้งที่มีความรู้ความเข้าใจและติดตั้งได้ตำแหน่งเหมาะสม ทำให้แอร์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยประหยัดไฟได้อีกทาง อีกทั้งการดูแลซ่อมแซมแก้ไขหลังการขาย การรับประกันการติดตั้ง จึงเป็นอีกสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม