เครดิตภาพ: doctor-feelgood
ภาพที่สื่อออกมาน่ารักๆๆ เล่นคำที่มีความหมายตรงกันข้ามกัน ตัวแทนที่ถือป้ายทางซ้ายอาจจะหมายถึงโยเกิร์ต-อาหารเพื่อสุขภาพ probiotics ส่วนทางขวาหมายถึง "ยาปฏิชีวนะ-antibiotic..( ในที่นี้ pro-ความหมายคงเป็น อะไรที่ชอบ หรือดี ส่วน anti-อ่านออกเสียง แอนไท หรือ แอนติ ก็แล้วแต่เป็นสำเนียงอเมริกัน หรือ อังกฤษ ความหมายก็คงเป็นอะไรที่ต่อต้าน ไม่เห็นด้วย) เอ...ในบริบทนี้หมายถึงอะไร??? (โปรไบโอติก: จุลินทรีย์ที่อาศัยอยู่ด้วยกัน ส่งเสริมการเจริญเติบโต สร้างสารที่มีประโยชน์ ส่วนแอนติไบโอติก: จุลินทรีย์ที่สร้างสารเพื่อต่อต้าน (antagonistic) การเจริญของจุลินทรีย์ที่อยู่ด้วยกัน)...
จะ เห็นได้ว่าไม่ว่า "โปร" หรือ "แอนติ" ... ในกรณีที่สื่อสารจากภาพข้างต้น ต่างก็มีเป้าหมาย...คือ การใช้ประโยชน์จากจุลินทรีย์ เพื่อผลดีต่อสุขภาพของคนเรา ดูจะเป็นคุณูปการที่เกิดจากการศึกษาค้นคว้า วิจัย ทำให้ สิ่งมีชีวิตเล็กๆ (จุลินทรีย์) เช่น แบคทีเรีย ที่มนุษย์เราต่างนำเอาคุณสมบัติที่ดีๆมาใช้ เช่นในการผลิตอาหารเพื่อสุขภาพ ที่แรกเริ่มคิดค้นจากที่ือื่น แต่ได้นำเอาองค์ความรู้นั้นมาผลิตในบ้านเมืองเราด้วย ได้แก่ โยเกิรต์ หรือ นมเปรี้ยว ฯลฯ Probiotics....โปรไบโอติกส์
แม้กระทั่งอาหารที่สั่งสมผ่านภูมิปัญญาท้องถิ่น เช่นการผลิตข้าวหมาก ที่นำลูกแป้งข้าวหมากที่มีส่วนผสมของยีสต์และรา มาคลุกเคล้ากับข้าวเหนียวนึ่ง ทิ้งไว้ระยะหนึ่งจนเกิดการเปลี่ยนแปลงจากแป้งเป็นน้ำตาล เมื่อเรารับประทานข้าวหมากก็เป็นการรับโปรไบโอติกด้วยเช่นกัน เพราะจุลินทรีย์ไม่ได้ถูกทำลาย เรากินกันมาเิ่นิ่นนาน..เพียงแต่ไม่เป็นที่กล่าวถึงมากนัก อาจเป็นเพราะ เมื่อเทียบกับโยเกิรต์ และนมเปรี้ยว มีแหล่งของวัตถุดิบทำมาจากนม ทำให้มีคุณค่าทางอาหารหลากหลายเช่นแคลเซี่ยม วิตามิน โปรตีนในนม นั่นเอง
ภาค ใต้ตอนล่าง มีผลิตภัณฑ์ "บูดู" นั่นก็ใช้จุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์ในการหมักผลิตภัณฑ์จากปลา จุลินทรีย์ (เชื้อ) เหล่านั้นก็เป็นโปรไบโอติกเมื่อเรารับบูดูเป็นอาหารเข้าสู่ร่างกาย มีข้อสังเกตว่า ถ้าได้รับในปริมาณเหมาะสมก็ไม่ส่งผลเสีย แต่ถ้าได้รับมากเกินไป อาจทำให้ระบบเสียสมดุลเกิดผลอันตราย เช่นทำให้ถ่ายท้อง หรืออื่นๆได้เช่นกัน ฉะนั้นโดยทั่วไปจึงเป็นเีพียงการรับในปริมาณน้อยๆ เช่นจิ้มผักลวก ทานกับข้าว..
โดยทั่วไปแบคทีเรียมีขนาดเล็กมาก มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า หากจะรู้จักให้ละเอียดจึงต้องย้อมสีและนำไปส่องภายใต้กล้องจุลทรรศน์ ถึงแม้ว่าไม่เห็นตัวแต่ว่าเรารู้ว่า มีแบคทีเรียอยู่ โดยดูจากการเจริญเติบโต การนำเอาสารอาหารเช่นน้ำตาลไปใช้ ก่อให้เกิด ก๊าซ หรือมีกรดเกิดขึ้น นั่นหมายถึงเราดูกลไกการเกิดการเปลียนแปลงทางชีวเคมีของสิ่งมีชีวิตเล็กๆเหล่านั้นนั่นเอง โดยเฉพาะแบคทีเรียถูกนำมาใช้ประโยชน์ เช่นในผลิตภัณฑ์โยเกิรต์ มีแบคทีเรียที่มีประโยชน์ โปรไบโอติก ที่ช่วยในการเปลี่ยนสารตั้งต้น เช่นน้ำตาลแลกโตส (lactose) ในน้ำนม ซึ่งปกติน้ำนมก็อุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์อยู่แล้ว ทั้งโปรตีน ทั้งแคลเซียม และวิตามินต่าง แต่เพื่อให้มีรสชาติ หรือ กลิ่น เปลี่ยนไป ด้วยการทำงานของแบคทีเรีย ที่รู้จักกันเช่น แลคโตบาซิลลัส Lactobacillus bulgaricus และ เสตรปโตคอคคัส Streptococcus thermophilus ทำให้เพิ่มความอร่อยกิดขึ้น มีกลิ่นเฉพาะ เรารับประทานผลิตภัณฑ์เหล่านี้พร้อมๆกับรับแบคทีเรียโปรไบโอติกส์เข้าสู่ร่างกายของเราด้วย เรียกว่าเรารับประทาน " โยเกิรต์สด ..(live yogert)" หรือ อาจเป็นผลิตภัณฑ์นมเปรี้ยว ที่ใช้แบคทีเรียชนิดที่เป็นประโยชน์กลุ่มอื่นๆ ในการเปลี่ยนสารตั้งต้นในนม แล้วได้สารชนิดอื่น เช่น กรดแลคติค ที่มีความเปรี้ยว และแบคทีเรียก็เพิ่มจำนวน เมื่อมีอาหารและสภาวะทีเหมาะสมในการเกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมี เช่นอุณหภูมิ (แม้กระทั่งในฉลากของนมเปรี้ยวบริษัทที่รู้จักแรกๆ ขนาดบรรจุเล็ก 80 cc. ระบุว่ามี จุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ 8000 ล้านตัว) ..ทั้งๆมองไม่เห็นด้วยตาเปล่าเลย
โปรไบโอติก ที่มีขายในท้องตลาดมีหลากหลายลักษณะ ทั้งเป็นอาหารเสริม และมักจะบรรยายสรรพคุณว่าทำให้สุขภาพดี อาหารย่อยดี มีผลต่อการดูดซึมได้ดีในส่วนทางเดินอาหาร อย่างไรก็ตามปริมาณของจุลินทรีย์โปรไบโอติก ที่ที่รับเข้าไปและที่มีอยู่แล้วในทางเดินอาหาร ก็คงต้องมีในปริมาณที่เหมาะสม สมดุลด้วย...มิฉะนั้นก็ก่อให้เกิดโทษต่อร่างกายได้
โยเกิรต์ดีต่อลำไส้ใหญ่.... แม้กระทั่งป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ อีกทั้งแคลเซี่ยมในโยเกิรต์ยังช่วยส่งเสริม มีผลต่อต่อลำไส้ใหญ่ จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่น่าจะบรรจุไว้ในอาหารประจำวัน ซึงในฐานะผู้บริโภค เราควรให้ความสำคัญกับฉลาก หรือข้อความที่ระบุไว้บนบรรจุผลิตภัณฑ์ ที่บางครั้งทำให้เข้าใจไขว้เขวไปได้ เช่น
* " ไขมันต่ำ low fat " จริงๆแล้ว ทำให้ดูราวกับว่า เป็นผลิตภัณฑ์ที่ ดีต่อสุขภาพ แต่คงไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป
* ปริมาณน้ำตาล ในปริมาณที่สูง ก็คงต้องเป็นสิ่งที่พึงระวัง แทนที่จะเป็น โยเกิรต์เพื่อสุขภาพ กลับกลายเป็นของหวานซะนี่ อย่าลืมให้เวลาอ่านฉลากให้ถี่ถ้วนก่อนซื้อ
* แม้กระทั่งผลไม้ ที่ใส่เพิ่มเข้าไปในโยเกิรต์ ทำให้คล้อยตามและเชื่อได้ว่า ได้รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ถึงสองชนิด (2 in 1) แท้จริงแล้วอาจไม่ใช่ เป็นเพียงแต่มีผลไม้ชิ้นเล็กๆแต่มีส่วนผสมของน้ำตาลฟรัคโตส (syrup) ที่ก้นภาชนะบรรจุ.... เตือนใจว่า: อาหารเพื่อสุขภาพไม่ควรจะมีน้ำตาลมากนัก
ส่วน กลุ่ม Anti (แอนติ หรืออ่านว่าแอนไท, -) แอนตี้ไบโอติกส์ หมายถึงจุลินทรีย์ที่สร้างสารออกมาและไปยั้งยั้งการเจริญของจุลินทรีย์ที่ อยู้่ใกล้ๆกัน เป็นกลไกในการดำรงชีพของจุลินทรีย์เหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นแบคทีเีรีย หรือ เชื้อรา ทั้งนี้ก็เพื่อความอยู่รอดของแบคทีเรียที่ชนิดที่ผลิตสาร และรักษาเผ่าพันธุ์ ให้เจริญเติบโตต่อไป...มนุษย์เราก็เลยเอาสารที่แบคทีเรียสร้างขึ้นมาใช้
จาก การสังเกต ศึกษาวิจัย มนุษย์เราใช้ประโยชน์จากสารที่แบคทีเรียสร้างขึ้นมา และนำไปใช้ทำให้ยับยั้ง หรือหยุดการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ชนิดอื่น หรืออาจเรียกเหมารวมกว้างๆ ในใช้ การทำลายแบคทีเรียหรือจุลินทรีย์ก่อโรค ไม่ระบุว่ากลุ่มใด ซึ่งโดยทั่วไปการจำแนกกลุ่มของแบคทีเรีย เราตรวจดูได้ที่ โครงสร้างผยังเซลล์ ซึ่งหากนำมาผ่านขั้นตอนการย้อมสีก็จะติดสีที่เรียกว่า กลุ่มแกรมบวก ( + ) หรือ แกรมลบ ( -)
จึงเป็นที่มาของ "ยาปฏิชีวนะ" Antibiotics drugs..ซึ่งแรกเริ่มมาจากสาร เพนนิซิลิน ที่เชื้อราเพนนิซิเลี่ยม สร้างขึ้นและใช้ยั้บยั้งการเจริญของจุลินทรีย์อื่นๆได้
ปัจจุบัน ยาที่ผลิตจากสารที่แบคทีเรียนสร้างขึ้นที่มีคุณสมบัติ ทำลายเชื้อในกลุ่มแบคทีเรียได้กว้างๆรวมทั้งแกรม + และ - จึงเรียกว่า broad structum antibiotics แต่ถ้ายาปฏิชีวนะมีคุณสมบัติที่ใช้ทำลาย หรือยับยั้งการเจริญเฉพาะกลุ่ม อาจะเป็นกลุ่ม + หรือ - ก็จะมีความเฉพาะเจาะจงมากกว่า specific antibiotics...
ดังที่เราเคย ได้ยิน อะม๊อกซี ฯลฯ ยาเหล่านี้หากได้รับ ก็จะต้องกินให้ครบโดส ( dose..เทียบ.หน่วยเป็น มิลลิกรัม/กิโลกรัมน้ำหนักตัว รวมทั้งพิจารณา ความถี่ อายุ ฯลฯ ) ซึ่งแพทย์ที่สั่งจ่ายยาก็มักจะให้จำนวนพอดี รับยาจนกว่าจะฆ่าเชื้่อที่ก่อโรคได้ หากกินไม่ครบโดส ก็จะทำให้เชื้อก่อโรคนั้นดื้อยาได้ ... ซึ่งเป็นปัญหาในการรักษาโรคหลายโรคในปัจจุบัน
จะ เห็นได้ว่าไม่ว่า "โปร" หรือ "แอนติ" ในกรณีนี้ ที่สื่อสารจากภาพข้างต้น ต่างก็มีเป้าหมาย...คือ การใช้ประโยชน์จากจุลินทรีย์ เพื่อประโยชน์ต่อสุขภาพของคนเรา ดูจะเป็นคุณูปการที่เกิดจากการศึกษาค้นคว้า วิจัย ทำให้ สิ่งมีชีวิตเล็กๆ (จุลินทรีย์) เช่น แบคทีเรีย ที่มนุษย์เราต่างนำเอาคุณสมบัติที่ดีๆมาใช้ เช่นในการผลิตอาหารเพื่อสุขภาพ ที่แรกเริ่มคิดค้นจากที่ือื่น แต่ได้นำเอาองค์ความรู้นั้นมาผลิตในบ้านเมืองเราด้วย ได้แก่ โยเกิรต์ หรือ นมเปรี้ยว ฯลฯ
สรรพสิ่งบนโลกเรานี้มีทั้งคุณและโทษ อยู่ที่เราใช้หลัก "กาลามสูตร" ศึกษา ทำความเข้าใจ เลือกใช้ให้เหมาะสม และเกิดดุลยภาพต่อตนเอง สังคมรอบข้างและโลกเราในที่สุด