D-Day…วันนี้แล้วซินะ...(ศุกร์ที่ผ่านมา 17-02-55) เป็นวันสำคัญที่ศิษย์คงจะจำได้ วันที่นำเสนองานวิจัย ที่บ่มเพาะประสบการณ์จากห้องปฏิบัติการพิษวิทยาสิ่งแวดล้อม ที่เรียกกันติดปากว่า “แล็บท๊อก” เป็นผลงานแห่งความภูมิใจร่วมกันของศิษย์/อาจารย์ หนุ่มน้อย... “กาเมน หมัดอะหวัง” หรือน้องๆเรียกกันว่า “พี่แมน” หรือ “แมน”เป็นคำที่พี่ๆ เรียกขาน วันนี้ “One Man show?? ” อุ๊ปส์..หรือว่า.. “one man show” ?? นำเสนองานวิจัย ให้กับคณาจารย์ เพื่อนๆ น้องๆ ..อืมม์!! การนำเสนอเป็นอย่างไร....คงคาดเดาได้!! หากแต่เส้นทางกว่าจะถึงเวลานี้ มองย้อนกลับไป ณ วันที่ “แมน” ตัดสินใจว่าจะทำ senior project…ด้วยความมุ่งมั่น ฝ่าฝัน เอาชนะความคิด ที่มักจะได้ยินสิ่งที่รุ่นพี่ๆมักจะสาธยายวิชา project เป็นสภาพที่ต้องทำงานหนัก เหนื่อย แต่นั่นไม่ได้บั่นทอนความคิด ของ “แมน”แม้แต่น้อย กลับเผชิญหน้าค้นหาความจริง นั่นคือศิษย์คนนี้ที่รู้จัก.. จริงก็ไม่ก็ต้องลองดูก่อน นั่นคือเสียงที่สะท้อนให้ได้รับทราบจากศิษย์ที่ขณะนี้กำลังเรียนชั้นปีที่ 4
บ่ายๆวันนั้น หนุ่มน้อย ที่คุ้นเคย แวะมาที่แล็บ ส่งรอยยิ้มให้พร้อมบอกว่า “ผมสนใจที่จะทำวิจัยทางด้านพิษ”... อาจารย์จะรับเป็นอาจารย์ที่ปรึกษให้ผมไหม๊ครับ ??? ..เอ!! ในเมื่อบอกกันตรงๆ ก็รับกันตรงๆเช่นกัน แต่ขอถามเพื่อความแน่ใจเล็กน้อย . “แมน”..สนใจอะไร ยังไง?? ...นั่งคุยกันก่อนดีไหม๊ ??? เผื่อว่าที่สนใจ อาจจะไม่ใช่ก็ได้นะค่ะ ??? พูดพลางก็เลือนเก้าอี้ให้นั่ง การสนทนาวันนั้น เห็นได้ถึงความแน่วแน่ และมีแนวคิดในงานที่สนใจ จึงรับเป็นศิษย์ประจำสำนัก โดยมิรีรอ อีกทั้งได้เรียนวิชา histology ที่เป็นพื้นฐานในการทำโปรเจคครั้งนี้ด้วย และได้แนะนำให้เรียนวิชา พิษวิทยาเพิ่มเติมในเทอมนี้ จึงเป็นการเรียนรู้ต่อยอดจากพื้นฐานได้ อีกทั้งมีประสบการณ์การใช้พื้นที่ในแล็บนี้มาก่อน การสนทนาก็จบลง เรียกได้ว่ามีรอยยิ้มทั้งสองฝ่าย... very productive…
กลยุทธ์ที่ใช้กับศิษย์ เป็นแนวคิดบูรณาการ นำมาปรับใช้ โดยอาศัยการจัดการเรียนรู้ที่มีลักษณะเป็น “บล็อกของเนื้อหา/ทักษะกลุ่มเดียวกัน” ทั้งนี้เพราะ เวลา เวลา และเวลา!! เป็นปัจจัยสำคัญ คำถามที่ท้าทาย ทำอย่างไร?? ที่ทำให้เรียนรู้ มีการกระบวนทำวิจัยเป็นไปอย่างไม่เร่งรัด และ สนุกที่จะค้นหาคำตอบในสิ่งที่สนใจ ภายในระยะเวลาที่มีอยู่อย่างจำกัด จึงวางแผนให้บูรณาการในหลายๆวิชาไปพร้อมกัน โด้ยมีจุดเน้นทางพิษวิทยา โดยบูรณาการวิชาสัมมนาและ โปรเจคไปด้วยกัน รวมทั้งเสริมพื้นฐานแนวคิดด้านพิษให้ในรายวิชา พิษวิทยา การจัดการแนะแนวทางให้ โดยเวลาส่วนที่เตรียมสัมมนาจึงเป็นส่วนหนึ่งของการค้นคว้า ตรวจเอกสาร (review)งานที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อวิจัย ..สิ่งที่ประทับใจ เริ่มด้วยเรื่องเล็กๆน้อยๆในตัวศิษย์ และเพิ่มมากขึ้นทุกวัน เป็นเพราะมีความเอาใจใส่ หนักเอาเบาสู้ มีความพยายามอย่างต่อเนื่อง สิ่งที่แนะนำ ไม่ว่าเรื่องใดๆ ก็จะมีผลงานมาพูดคุย แลกเปลี่ยนกันเสมอ การพบปะพูดคุยทุกครั้งจะบันทึกไว้ในสุมดกันลืม และรายงานความคืบหน้าในครั้งถัดๆไป จึงไม่หลงทางกันมากนัก มีบ้างพอกระเซ็นกระสาย ลดความเคร่งเครียด การจัดเรียนรู้ทั้งหมดมีส่วน หล่อหลอมให้หนุ่มน้อยคนนี้ พกพาความมั่นคงทางจิตใจ มั่นใจที่จะฝ่าฟันอุปสรรคไปด้วยกันแบบทำงานเป็นทีม โดยมักพูดให้ฟังเสมอว่า งานชิ้นนี้เราทำงานกันเป็นทีม จึงควรให้ความสำคัญของการสื่อสาร พูดคุยในทุกๆเรื่อง เพื่อการรับรู้ พร้อมที่จะแก้ปัญหา ให้งานแล้วเสร็จ เราจึงพัฒนาไปอีกขั้นหนึ่งโดยตั้งเป็น “research student”group ใน gmail เป็นที่ซึ่งเรา share เรื่องราวในแล็บ พร้อมๆกับพี่ ป โท.และอาจารย์ .ซึ่งพยายามฝึกให้แลกเปลี่ยน เรียนรู้ และยอมรับการวิพากย์ ซึ่งกันและกัน โดยใช้ประเด็นจาการทำวิจัย และจะได้รับรู้ไปพร้อมๆกัน
ทักษะการเรียนรู้ ดำเนินไปพร้อมกับทักษะการแก้ปัญหาอย่างมีสติ เมื่อสถานการณ์ผลิกผัน เพราะงานวิจัยที่ทดสอบในสิ่งมีชีวิตนั้น เป็นสิ่งที่ละเอียดอ่อน จึงมีเรื่องราว เรียนรู้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ทดลอง สารเคมีที่ใช้ หรือการระบุความเป็นพิษต่างๆ ลองนึกย้อนไปว่าเราเปลี่ยนอะไรไปบ้าง??
สัตว์ทดลอง (Test organism): เปลี่ยนไปหลายครั้ง เริ่มแรกจากปลากัดไทย ต่อมาปลาม้าลาย และสุดท้าย ปลาดุกรัสเซีย ในเบื้องต้นเราเห็นด้วยที่จะ เลือกปลาที่รู้ประวัติ อย่างน้อย รู้ “อายุ” ที่ชัดเจน จึงเป็นที่มาในการผสมพันธุ์ปลา เพื่อให้ได้ลูกปลาที่ต้องการ แต่เช่นเดียวกัน เวลาก็ไม่อำนวยสำหรับปลากัด แต่เมื่อเปลี่ยนไปผสมปลาม้าลาย ก็เช่นกัน เราผสมได้ แต่การได้มาซึ่งจำนวนและขนาดที่ต้องการใช้สำหรับทดสอบ ยังไม่เป็นผล ในที่สุดจึงเลือกใช้ปลาเศรษฐกิจที่มีการเพาะพันธุ์ขาย
สารเคมีที่นำมาทดสอบ (Test chemical) เปลี่ยนแปลงเช่นกัน จากสารไซเปอร์เมทริน ซึ่งเป็นไพรีทรอยด์สังเคราะห์ที่มีขายในท้องตลาด เป็นชนิดที่เกษตรสามารถซื้อหามาใช้ได้ สุดท้ายไม่เป็นผลเพราะสูตรที่มีจำหน่ายมีการเติมสาร additive ที่ทำให้ไม่ใช่เป็นสารเคมีเพียงชนิดเดียวที่มีผลต่อสัตว์ทดลอง เราจึงเปลี่ยนเป็นการใช้สารไซเปอร์เมทรินที่มีความบริสุทธ์สูง ..AR grade
ระยะเวลาในการได้รับสารพิษ (Exposure time)ปรับแผนให้เหมาะสม หลังจากทำ pilot study..เดิมทีวางแผนการทดสอบพิษเฉียบพลัน (acute toxicity test) แล้วจึงจะเริ่มพิษกึ่งเรื้อรัง (subchronic toxicity test) เป็นระยะเวลา 1 เดือน แต่สุดท้ายสัตว์ทดลองที่นำมาทดสอบในตู้กระจก (aquarium) ไม่เหมาะสมสำหรับการทดสอบในระยะยาวสำหรับปลาดุก ขนาดที่มีอายุประมาณ 35 วัน ในที่สุดก็เป็น การทดสอบพิษระยะสั้น (short time exposure) เพียง 2 อาทิตย์ เพื่อให้อย่างน้อย หากมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงพยาธิสภาพของเนื้อเยื่อ (histopathological changes) ก็จะพอสังเกตได้
ผลพิษเกิดขึ้นในที่สุด (End point) เบื้องต้นใช้ การเปลี่ยนแปลงของเนื้อเยื่อ (histological changes) และการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้าง (malformation) ซึ่งเป็น end point ที่อาจได้รับกระทบ หากได้รับสารพิษตั้งแต่วัยอ่อน แต่เนื่องจากเราเปลี่ยนชนิดและช่วงอายุของปลา ทำให้ endpoint ที่เลือกในส่วน malformationอาจไม่เหมาะนัก แต่เราก็ยังต้องการทำเพื่อยืนยัน ถึงแม้ว่าการเปลี่ยนแปลงยากที่จะสังเกตเห็น
At last..ในที่สุดผลการศึกษาที่มาจากความรับผิดชอบ ความอดทน ทำงานหนัก ถึงเหนื่อยก็ไม่ท้อ พ่อแม่ที่บ้านส่งกำลังใจมาให้ ด้วยการปรุงอาหารอร่อยๆ ส่งมาให้ทาน พี่ๆ น้องๆ และอาจารย์ให้กำลังใจ เราร่วมกันทำงานอย่างที่เรียกว่า work hard & play hard!! ...ที่เห็นได้ชัดเจนคือ ..การจัดการเวลาศิษย์เป็นอะไรที่ยากยิ่ง แม้กระทั่งเวลาเรียน ที่กว่าจะเลิกเรียน บางวัน..โน่นหล่ะเข้าไป 3 ทุ่ม จะได้เริ่มงานวิจัยก็พลันเหนื่อยอ่อน อาจารย์รอตรวจงานก็อ่อนใจ แต่ก็เข้าใจว่า ภาระมากมายยังจัดการชีวิตได้ งานในแล็บก็ไม่น้อยเลย ไม่ว่าจะเป็นการล้างเครื่องแก้ว (acid wash) การเตรียมเนื้อเยื่อ ตัดเนื้อเยื่อ ย้อมสีเนื้อเยื่อ ซึ่งล้วนแล้วแต่มีกระบวนการและใช้เวลา ไหนจะต้องเตรียมสี เตรียมสารเคมีมากมาย อีกทั้งมีหลายเทคนิค ทั้งเหนื่อยและเครียดประดังเข้ามา เมื่อเจอกัน ถามไถ่ บอกว่ายังไหวอยู่คำสารภาพน้อยๆ บอกผ่านมาว่า การทำวิจัย นอกจากทำให้เรียนรู้ด้านวิชาการแล้ว ยังเรียนรู้ทักษะในการจัดการความเครียดได้ดีขึ้น เรียกว่า ต่อไปรับมือกับความเครียด ได้ ทุกรูปแบบ
Count down…เวลากระชั้่นมากขึ้น ครั้นเมื่อวันนำเสนองานถูกกำหนดขึ้น เรียกว่า เรานับถอยหลัง กันทำงานเลยทีเดียว สภาพการทำงานที่ถูกเร่งรัดด้วยเวลา อืม!! คงจำได้ ว่าแม้กระทั่งวันแห่งความหวานชื่น (Valentine’s Day) ที่คนทั้งโลกเค้าฉลองกันแบบหวานๆ เรา ครู-ศิษย์..ก็ฉลองเช่นกัน ...“แบบหน้าสิ่วหน้าขวาน” หยุดพัก คั่นงานด้วยการที่ศิษย์ และอาจารย์ สั่งพิซซ่า มากินคนละถาด ..อิ่มแล้วก็แยกย้ายกันทำงานต่อกันจนดึกดื่น
ศิษย์ : ย้อมสีสไลด์ที่ชั้น3 อาจารย์: อ่านและแปลผลสไลด์ ในชุดทดลองแต่ละ treatmentในห้องชั้น 4 และตามติดด้วยการ ถ่ายรูปสไลด์เนื้อเยื่อ เมื่อเริ่มต้นแนะนำให้ “แมน” ก็ทำต่อไปได้ แต่ละคืนแทบจะเรียกได้ว่าทำงานไม่ต่ำกว่าเที่ยงคืนจน นับไม่ถ้วนว่าวันไหน ออกจากแล็บเวลาไหน เข้าแล็บเวลาไหน เรื่องอดหลับอดนอน ดูจะหลีกเลี่ยงกันไม่ได้ทีเดียว ปฏิบัติตนอย่างเข้มข้นมาเป็นอาทิตย์ต่ออาทิตย์ คงเห็นภาพการทำวิจัย ว่าสนุกมากน้อยเพียงใด จึงบอกว่า สิ่งที่เกิดขึ้นถ้ามาจากฐานคิดที่เราสุขใจจะทำ ก็ไม่มีอะไรเป็นอุปสรรค เพื่อนๆแล็บอื่นที่ต้องเฝ้าผลการทดลอง ก็มี ทำให้เด็กๆโปรเจค..ได้พบปะพูดคุยถามไถ่ กันยามค่ำคืน ดึกดื่น ..
ทักษะการแปลผลจากการทดลองเรียกว่า ติวเข้ม ฝึก ถาม/ตอบตรง ให้จุดตรงประเด็น ขณะอ่านสไลด์เนื้อเยื่อ โดยแนะนำและให้ข้อคิดว่า การนำเสนอไม่ใช่เป็นการรายงาน เพียงเพื่อบอกว่า สารพิษทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ไหน อวัยวะใด เท่านั้น ต้องอธิบายเพิ่มเติมว่า ทำไม?? และมีกลไกอย่างไร?? เป็นคำถาม/คำตอบ ที่อาศัยทักษะการสังเคราะห์ วิเคราะห์ ซึ่งต้องใช้เวลา โดยเปรียบเทียบผลกับงานวิจัยอื่นๆ ส่วนนี้ยังต้องเรียนรู้เพิ่มเติมในโอกาสต่อไป โดยเฉพาะช่วงการเขียนเล่มรายงาน ที่เป็นอยู่ในขณะนี้ก็เยี่ยมมากแล้ว “แมน” ผลงานแห่งความภูมิใจร่วมกัน และเชื่อมั่นในตัวศิษย์เสมอ และวันที่นำเสนอก็ทำได้ดี ตอบคำถามได้ตรงจุดตรงประเด็น ด้วยความมั่นใจใน ความรู้ ที่ได้จากค้นคว้าและปฏิบัติด้วยตนเอง หายเหนื่อยไประยะหนึ่ง อ่านหนังสือเตรียมสอบ แล้วมาสานต่อให้สมบูรณ์ในส่วนที่เหลือ เราคาดว่าจะนำเสนอผลการศึกษานี้ ในที่ประชุมวิชาการต่อไป.....งานที่เป็นชิ้นเป็นอัน ถ้าเป็น ปฏิมากรรมชิ้นเอกก็คงจะปั้นแต่งขึ้นมาจากความร่วมมือของคณาจารย์และบุคคลากรที่เกี่ยวข้องและที่สำคัญไม่น้อยก็คือ อาจารย์ผู้ประสานงาน ที่กำหนดการทำวิจัยให้เป็นไปตามแผน ติดตามรายงานความก้าวหน้า ซึ่งก็เป็นทีมงานชุดใหญ่ขึ้น ทั้งหมดนี้ขอได้รับความขอบคุณ เป็นอย่างยิ่งถ้วนทั่วกัน
สาระพันน่ารู้ เรื่องพิษ..ตอบโจทย์จากงานที่ค้นพบ...
สารไซเปอร์เมทรินเป็นสารเคมีกำจัดศัตรูพืชและแมลงที่นำมาใช้ในการเกษตร มีรายงานการมูลค่าการนำเข้ามาใช้เป็นลำดับที่ 4 มูลค่าและปริมาณการใช้ บ่งชี้ความเสี่ยงต่อการปนเปื้อนของสารชนิดนี้ในสิ่งแวดล้อม การศึกษาครั้งนี้เพื่อทดสอบผลพิษของสารดังกล่าวต่อปลาดุก ที่ระดับความเข้มข้น 0.001, 0.005, 0.01 ug/L (ไมโครกรัม/ลิตร) และได้รับสารเป็นระยะเวลา 1 และ 2 อาทิตย์นั้น พบว่าการตอบสนองของปลาเป็นแบบ dose & time responseนั่นคือเมื่อได้รับปริมาณสารเพิ่มขึ้น ผลพิษมีมากขึ้นเช่นเดียวกับได้รับสารเป็นระยะเวลานานขึ้น โดยมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงเนื้อเยื่อเหงือก และตับ การเปลี่ยนแปลงพยาธิสภาพที่เกิดขึ้นในเหงือกมีทั้ง hyperplasia, epithelial lifting, edema ส่วนตับมีพยาธิสภาพ sinusoid swelling, vocuolated hepatocyte, degeneration & pycnotic nucleus
อวัยวะที่ได้รับผลกระทบ สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของเนื้อเยื่อได้แก่
เหงือก (gill) เป็นอวัยวะที่สัมผัสกับสารพิษโดยตรง และสารไซเปอร์เมทรินมีคุณสมบัติเป็น lipophilic จึงผ่านเมมเบรนได้ดี อย่างไรก็ตามเซลล์บริเวณเหงือกจึงมีกลไกการลดการดูดซึมสารพิษผ่านเซลล์บุผิว ด้วยการเพิ่มจำนวนเซลล์ให้หนาตัวมากขึ้น ป้องกันการ uptake ของสารพิษ
ตับ (liver) เป็นอวัยวะสำัคัญในการทำลาย/ลดความเป็นพิษของสารพิษ (detoxification) เพื่อกำจัดออกต่อไปฉะนั้นกลไกการเกิดเมแทบอลิซึม และสร้างสารเมแทบอไลท์จึงเกิดขึ้นที่ตับ และ เมแทบอลิซึมของสารไซเปอร์เมทรินทีเกิดขึ้นในปลาจะต่างจากในคนหรือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม โดยทั่วไปในคนกลไกการทำลายสารพิษชนิดนี้ใช้เอนไซม์ ที่ต่างจากในปลา โดยกลไกลในปลาใช้ปฏิกิริยา ออกซิเดชั่น ซึ่งทำให้การลดความเป็นพิษ หรือกำจัดสารพิษทำได้ช้ากว่าในคน แสดงออกซึ่งความเป็นพิษของไซเปอร์เมทรินต่อปลาจึงสูงกว่าในสัตว์ชนิดอื่น
(ผลงานสุดท้าย.. ในรูปโปสเตอร์ที่จัดเตรียมไว้ เราตั้งใจจะนำไปเสนอผลงานที่ที่ประชุมวิชาการ ที่ใดที่หนึ่ง เพื่อเป็นการนำเสนองานสนองานที่ได้จากการศึกษาวิจัย ให้กับผู้สนใจต่อไป)
ใครสนใจส่วนไหน.. เชิญชวนแลกเปลี่ยน ชื่นชม หรือมี ข้อแนะนำให้หนุ่มน้อยนามว่า "แมน" เมื่อก่อนเป็นเด็กในแล็บ... แต่เดี่ยวนี้เป็นผู้ใหญ่ทางความคิดเต็มตัว :-))