อาทิตย์ก่อนโน้น “ครอบครัวบูรงตานี”ใช้ชีวิตร่วมกันแบบใกล้ชิดธรรมชาติ ณ. ป่าเขา ลำเนาไพร ที่ไม่ไกลนักจากมอ.ปัตตานี เส้นทางที่ใช้ช่างร่มรื่น เรียกกันทั่วไปว่า "ทางสายเ่ก่า" ปัตตานี-หาดใหญ่ เป็นถนนสองช่องการจราจร ซึ่งครั้งหนึ่งเป็นถนนสายหลักสำคัญมุ่งสู่ภาคใต้ตอนล่าง… ถนนหมายเลข 4.. เชียวนะ!! ..เสียงใครสักคนในรถกล่าวสนับสนุนขณะได้รับฟังไกด์กิตติมศักดิ์ทำหน้าที่ทั้งขับรถ &เล่าเรื่องราว (two in one:-) ..จนกระทั่งเมื่อมีเส้นทางสายใหม่ ทำให้ปัจจุบันนิยมใช้ถนนที่เลียบชายทะเลฝั่งอ่าวไทยซึ่งปรับเป็น 4 ช่องการจราจร เช้านั้นเจ้า CRV ถูกกำหนดที่หมาย นำพาพวกเราออกจากม.อ.ปัตตานี ลัดเลาะขึ้นไปทาง อ.โคกโพธิ์ ผ่านไปยังรอยต่อจ. สงขลาบริเวณ อ. เทพา สองข้างทางยังเขียวขจีด้วยไม้ริมทางกลุ่มตะแบก อินทนินและคูน ต่างอวดดอกสวยในช่วงแล้งนี้ หากแต่มองทะลุไปแนวไม้ด้านหลังถัดเข้าไปก็จะเป็นสวนยางพารา หนึ่งในพืชเศรษฐกิจสำคัญมาช้านานของปักษ์ใต้บ้านเรา...รถเลี้ยวซ้ายบริเวณแยก อ.นาทวี ไปทางบ้านประกอบ
ประเมินด้วยสายตาขณะนั่งบังคับพวงมาลัยไป เห็นได้ว่าถนนสายนี้มีเปลี่ยนแปลงมากในช่วงไม่นานนัก เนื่องจากรองรับการเปิดด่านชายแดนใต้-เพื่อนบ้านมาเลย์ ที่“ด่านประกอบ อ. นาทวี” ซึ่งเป็นด่านน้องใหม่ล่าสุดในชายแดนใต้ถิ่นนี้ รถป้ายทะเบียนมาเลย์ หรือทั้งสองสัญชาติ ไทย/มาเลย์วิ่งกันขวักไขว่ บ่งบอกอะไร?? เงินตราบ้านเขา (เหรียญมาเลย์) แพงกว่าเราประมาณ 9-10 เท่า ก็อาจทำให้นึกได้ว่า ฤา....จะเป็นช่องการกระจายรายได้ หรืออย่างอื่น?. เพิ่มช่องทางการเปิดประตูสู่อาเซียน !!
ขณะที่มุ่งหน้าไปยังอุทยานแห่งชาติเขาน้ำค้าง ได้แวะพักทักทายสรรพสิ่ง ตั้งกล้องดูนก เดินดูต้นไม้ ฟังเรื่องเล่าจากพงไพร ไม่ว่าจะเป็นชนิดไม้ป่าที่นับวันจะไม่รู้จัก หรือประโยชน์ใช้สอยที่กำลังจะลืมเลือนไป ครั้นเดินเรื่อยๆไปยังฝายน้ำล้น เจ้าแมลงปอ (Dragon fly) แมลงชีปะขาว (May fly) และแมลงปอเข็ม (Damsel fly) หลากสีสวย บินว่อนไปมาประหนึ่งว่าทักทาย ด้วยเพราะมีวงชีวิต ช่วงหนึ่ง..ระยะตัวอ่อนอาศัยในน้ำ แมลงน้ำ (aquatic insect) เหล่านี้จึงใช้บ่งชี้คุณภาพน้ำในแหล่งน้ำได้เป็นอย่างดี ความเย็นฉ่ำที่สัมผัสได้ น้ำใสมองเห็นหินเกลี้ยงสวยที่ท้องน้ำ ก้มลงหยิบขึ้นมาพิจารณา ไพล่นึกถึงสำนวนที่ว่า “A rolling stone gathers no moss” มีนัยว่าอะไร...น่าคิดเตือนตนได้ดีเชียว?? ฝายดังกล่าวกั้นสายน้ำที่ไหลรินมาจากคลองที่เชื่อมต่อจากน้ำตกใกล้ๆกัน เป็นสถานที่เหมาะสำหรับกิจกรรม outdoor สำหรับใครที่หลงใหลในกลิ่นไอของธรรมชาติ เพื่อนสรรพสัตว์น้อยใหญ่ที่นี่ดูจะคุ้นเคย ไม่ตื่นกลัว นอกจากนกหลากชนิด (ปรอดทอง, จับแมลง, กินปลี, หัวขวาน ฯลฯ) ที่โผบินไปมาในมุมสูงแล้ว ที่พื้นล่างเจ้านกเด้าลมดง ก็เดินเป็นเจ้าบ้าน อวดลายสวยโชว์ตัวบนท้องถนน ขณะที่กระรอกน้อยพวงหางแดงก็กระโดดเกาะกิ่ง ก้านไม้ริมทางเดิน ดูแล้วเพลินตา สุขใจ ...
การเดินทางที่ไม่มีข้อจำกัดใดๆ ปล่อยใจสัมผัสธรรมชาติสองข้างทาง ไม่ว่าการเลือกใช้ทางแยก เลี้ยวไปตามแต่ใจที่รถจะนำพา เป็นที่น่าสังเกตว่า ป่าใหญ่รอยต่อชายแดนไทย-มาเลเซียยังคงความเขียวชอุ่ม ไม่ว่าจะเป็นผืนป่าบาลา-ฮาลา หรือ ป่าบริเวณ อ. เบตง หรือแม้แต่ที่นี่ ไม้ใหญ่ทรงสล้างสวยมีให้เห็นตลอดทาง ธรรมชาตินั้นช่างรังสรรค์ จะไปดูถึงถิ่นกันก็ต้องผ่านเส้นทางคดเคี้ยว เลี้ยวลดไป ฟังเสียงผ่อนเกียร์หนักเบาของเครื่องยนต์ขณะรถไต่ขี้นที่สูง-ต่ำ สลับไปมา มองมุมไหนก็พบกับวิวสบายตา ผืนป่าบริเวณนี้เรียกว่า "ป่า" ได้อย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ บางต้นมีหลากสีสันของใบหรือดอก ขณะที่เราเผลอแว่บแยกไป ป้ายบ่งบอกว่ามุ่งสู่ อ.สะเดา
...เราตั้งใจเก็บเกี่ยวความสุขระหว่างทางโดยละเลยเป้าหมายไปบ้าง.. แถมมีเพื่อนร่วมทางที่รู้ใจ ...ไถลไปเรื่อยๆหน่ะ!! สุขใจไม่น้อยเลย.. ขับไปสักพักก็แตะเบรคชะลอรถ...ก่อนที่จะเลยไปไกล ก็วกกลับเข้ามาเพื่อตรงไปยังอุโมงค์ใต้ดินที่มนุษย์สร้างขึ้นมา ครั้งหนึ่งเมื่อที่นี่เป็นขุมกำลังในสมรภูมิรบเมื่อไม่สามารถบริหารความเห็นต่างกันได้
ถนนสายนี้เป็นเส้นทางที่น่าประทับใจไม่น้อย สวนยางพาราที่ช่างจะโน้มเอนเข้าหากันสานเป็นอุโมงค์ตามธรรมชาติ ยามรถวิ่งผ่านลอดอุโมงค์แมกไม้.. นำเราไปสู่สถานที่ท่องเที่ยวสำัคัญ “อุโมงค์ประวัติศาสตร์” ปัจจุบันถ้าเอ่ยถึง จคม. หรือ พคม. อาจจะมีใครที่ทำหน้าฉงน?? ไม่เคยได้ยิน (เชิญชวนให้ไปเยี่ยมที่นั่น... ค้นหาความหมายด้วยตัวเอง..) เป็นเพราะความแตกต่างทางอุดมการณ์ การเมือง การปกครองสมัยนั้นจนเกิดเป็นการต่อสู้ที่ยาวนาน ยังคงมีอุโมงค์เช่นนี้ (อุโมงค์ปิยะมิตร) ในแนวตะเข็บชายแดนไทย-มาเลย์ที่ อ. เบตง จ. ยะลา ปัจจุบันสหายทั้งหลายได้ยุติบทบาทเปลี่ยนไปเป็นผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย รวมกลุ่มกันทำมาหากินใน “หมู่บ้านจุฬาภรณ์พัฒนา”
วันนั้นที่เขาน้ำค้างมีนักท่องเที่ยวประปราย ค่าเข้าชมผู้ใหญ่ 30 เด็ก 20 บาท ก็ยินดีเสียสละเพื่อที่จะได้เอามาบูรณะซ่อมแซม สถานที่เพื่อให้คนรุ่นต่อไปได้มาเรียนรู้ เรื่องราว... “ใช้เวลาใคร่ครวญ...ให้เห็นถึง...สันติภาพอันพึงมีให้มากขึ้นในโลกใบนี้....โหยหาสันติภาพ...เพื่อความสงบสุข ร่มเย็น เอื้ออาทรของมวลมนุษยชาติ ที่ดูเหมือนปัจจุบันจะสวนกระแส ก่อความเดือดร้อนไปทั่วทุกทวีป..”...การมาครั้งนี้ถึงแม้จะไม่ใช่เป็นครั้งแรก (แ่ต่ก็มีบางคนที่มาที่นี่เป็นครั้งแรก) เราต่างสนุกสนานที่จะเดินลอดไปในอุโมงค์ที่เชื่อมต่อกับช่องทางภายนอก/ภายใน ไม่ว่าจะเป็นห้องผู้นำ ห้องปฐมพยาบาล ห้องประชุม ห้องครัว ห้องสื่อสารที่อยู่ใกล้ๆกัน และห้องอื่นๆวกวนกลับไปมา เรียกได้ว่า “ลับ ลวง พราง” น่าจะใช้ได้ดี ที่นี่..สมัยนั้น ทำให้นึกถึงวันที่ไปเยี่ยมชม War Museumบริเวณ Whitehall ที่มหานครลอนดอน..เพื่อดูห้องประวัติศาสตร์ “Cabinet War Room” เป็นห้องใต้ดิน ซึ่งวีรบุรุษ/ผู้นำของอังกฤษ เซอร์วิลสต้น เซอร์ซิล (Sir Winston Churchill) ใช้สมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ..ทุกห้องอยู่ในบริเวณใกล้ๆกัน..ที่นั่นการจัดแสดงยังคงรักษาสภาพเดิมไว้มาก ทำให้เห็นภาพว่าท่านเดินเข้าออกประชุม ประมวลข้อเท็จจริง ประกอบการตัดสินใจ สั่งการ และท่านใช้ชีวิตส่วนใหญ่ที่นั่นในภาวะสงคราม....ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนๆก็มี concept เดียวกัน..
ช่วงบ่ายเดินทางจากพื้นที่ป่าเขา..ย้อนกลับเข้ามายังชายทะเล แวะพักค้างคืนที่ริมหาดสะกอม สถานีวิจัยของคณะฯ ฟังเสียงคลื่นซัดสาดขับกล่อม และก่อนนอนคืนนั้น รองท้องด้วยมื้อเย็นเป็นอาหารทะเลปิ้งย่าง
ตื่นนอน..ตอนเช้าทำท่า "สุริยะนมัสการ " เมื่ออุษาสาง ตะวันกลมโตโผล่ขึ้นมาทีละน้อยจากแนวเส้นขอบฟ้า แล้วค่อยๆไต่เรี่ยๆจากผิวน้ำ สวยจนยากที่จะละสายตา มองจนกระทั่งลับเข้าไปอยู่ในหมู่เมฆา สาดแสงส่องลงมาเหนือน้ำ ระยิบระยับสลับกับคลื่นที่ม้วนตัวทักทายหาดทรายสีขาว ...เติมพลังเต็มอิ่มจากภาพเบื้องหน้า..
ก่อนสายก็ได้เวลาแบกกล้องส่องนกลอดเลนส์ เข้าป่าในบริเวณเขตห้ามล่าฯละแวกนั้น ชมไม้กินได้ ไม้ใช้สอย ไม้ดอกหอม เป็นพืชที่ชอบแหล่งอาศัย (ecological niche) ในพื้นที่เขาหินปูน ที่ด้านหน้ารับละอองไอเค็มจากทะเล เห็นได้ว่าเป็นการปรับตัวของชุมชนของพืช (plant community)ที่น่าสนใจทีเดียว จากหน่วยดับไฟป่าสงขลา เราปีนขึ้นเขาเล็กๆที่ล้วนแล้วแต่จะมีพืชพรรณนานา ใครที่รู้จักสายพันธุ์พืชเหล่านั้นก็ชี้เชิญชวนกันเรียนรู้ ถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น ดูต้นโน้น ต้นนี้ ต้นนั้น บอกเล่าเรื่องมากมาย หลากหลายสรรพคุณ สุดท้ายก็ยอมจำนนด้วยชนิด "อะรูมิไร้" หรือ"มู่ไร้" เป็นส่วนใหญ่ แต่เราก็สนุกสนาน อิ่มเอมใจ ดูเหมือนจะมีสมุนไพรที่น่าสนใจหลายชนิด เช่น เถาวัลย์เปรียง ก้างปลาแดง กำแพงเจ็ดชั้น โคนตายปลายเป็น อีกทั้งต้นขี้หนอนต้นใหญ่ ฯลฯ
ก่อนที่จะแวะไปเติมเต็มพลังให้อิ่มท้องด้วย “ไก่ทอดเทพา” เมนูขึ้นชื่อของที่นี่ เราจอดรถแวะที่บริเวณสถานีรถไฟเทพา พลันสายตามองเห็น “หอสูง แหล่งสำรองน้ำ ฐานทำด้วยโครงเหล็กสีดำ เป็นเอกลักษณ์คู่กับสถานีรถไฟ สมัยก่อนโน้นโตทันพอที่จะเห็นว่าสิ่งนี้มีคุณค่า มีความสำคัญ ด้วยเป็นที่เติมน้ำให้กับหัวรถจักรไอน้ำที่ลากโบกี้รถไฟ เครื่องจักรไอน้ำ (steam engine) ผลงานวิศวกรรมชั้นครูของ George Stephenson รุ่งเรืองในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม..โน่นเชียว) เพราะมีให้เห็นเลยอดไม่ได้ที่จะเล่าเรื่องเบื้องหลังเมื่อครั้งยังเพื่องฟู ทานข้าวเสร็จก็เดินทอดน่องมองไปทั่วบริเวณนี้ นึกย้อนไปถึง การเดินทางในอดีตที่ถนนหนทางยังไม่พัฒนา รถยนต์มีน้อย รถไฟไทยจึงเป็นการขนส่งที่สำคัญ นำพาความเจริญไปสู่ท้องถิ่น ด้วยเพราะพระมหากรุณาธิคุณที่พระปิยะมหาราช (ร. 5) ของปวงชนชาวไทยที่มีสายพระเนตรก้าวไกล เราจึงมีรถไฟใช้ตั้งแต่นั้น และยังเป็นที่พึ่งในการเดินทางมาจนปัจจุบัน สนนราคาค่าโดยสารชั้น 3 ฟรีตลอดสาย…ตามนโยบายของรัฐ !!!
น่าชื่นใจ...ชุมชนที่นี่..ที่ยังคงรักษาต้นฉำฉา หรือจามจุรีต้นใหญ่หลายต้น ไว้เป็นลานร่มรื่นใกล้สถานีรถไฟ เพลินตาไปกับต้นไม้ “ใส่เสื้อ”นั่นหมายถึงทั้งกล้วยไม้ป่าดอกสีขาว กาฝาก และ เถารางจืดที่ขึ้นคลุม อวดดอกสีม่วงสวยงาม เป็นที่แวะเวียนมาเยี่ยมเยือนของเหล่านกนานาชนิด ทั้งจับแมลง กินปลี นกกาฝาก ก่อนจากลา...เราพกพาพลังธรรมชาติเต็มอิ่มนำมาฝากกัลยาณมิตรทุกท่านด้วยความรักและปรารถนาดี และขอให้ช่วยกันรักษาธรรมชาติให้ดี ....มีอยู่ให้คนรุ่นหลังได้ชื่นชม สืบทอด ต่อยอดเรียนรู้กันตลอดไป:-))