“บินหลาท่องไพรร่วมใจรักษ์ป่า” เจ้าบินหลาที่เราชาวปักษ์ใต้เรียกขานก็คือ นกกางเขน(Oriental Magpie Robin) หรือถ้าเป็นบินหลาดง-กางเขนดง (White-rumped Shama) เจ้าจากปักษ์ใต้มุ่งสู่ประตูอีสาน....จากเทือกเขาสันกาลาคีรีมุ่งสู่เทือกเขาพนมดงรัก...จากลุ่มน้ำสายบุรี-ปัตตานีมุ่งสู่ลุ่มน้ำโขง-ชี-มูน การจากบ้านมาครั้งนี้เจ้าได้เห็นแล้วว่าเป็นการจากมาเยี่ยมเยือนถิ่นที่ต่างจากบ้านเกิด หากแต่เป็นความแตกต่างเพียงภายนอกเท่านั้นจิตใจภายในไม่ต่างจึงอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุขท่ามกลางความแตกต่างที่จัดการได้ บ้านเมืองเรามีความหลากหลาย (diverse) สูงมากทั้งด้านชุมชน สังคม ภูมิวัฒนธรรม และภูมินิเวศ การเดินทางรอนแรมที่ยาวไกลจากดินแดนพหุวัฒนธรรมปลายด้ามขวานไปเยือนอีสานแหล่งอารยธรรมโบราณของมนุษยชาติ อีกทั้งมากด้วยซากดึกดำบรรพ์ (fossil) ของพันธุ์พืชและสัตว์ต่างๆมีให้ศึกษา ไดโนเสาร์นานาพันธุ์ การร่วมปลูกป่าที่เขาใหญ่ การเข้าชมฟาร์มโชคชัย การไปใช้ชีวิตในแหล่งสงวนชีวมณฑลของโลกที่สถานีวิจัยสิ่งแวดล้อมสะแกราช ทั้งการเดินป่า ส่องนก ดูไก่ฟ้าพญาลอ ศึกษาแมลงกลางคืน ชิมอาหารพื้นบ้าน ผูกเสี่ยวกับเพื่อน แลกเปลี่ยนเรียนรู้วัฒนธรรม เรียกได้ว่าเป็นเส้นทางการเรียนรู้ที่มากด้วยมิตรภาพและความประทับใจ...มิรู้ลืม.. เป็นปฐมบทสำหรับใคร ๆ อีกหลายคนที่เพิ่งได้โอกาสเปิดประตูสู่อีสาน โดยเฉพาะเหล่าผู้นำเยาวชนจากปัตตานีและยะลาภายใต้การดำเนินงานในโครงการ “ส่งเสริมเยาวชนมุ่งสู่ความมั่นคงของท้องถิ่นบนฐานทรัพยากร"เชิญร่วมสนุกกับสีสันบนเส้นทางแห่งความประทับใจ ที่นำมาแบ่งปัน.(http://youtu.be/juVxP2TrSSA)
“ อีสานแหล่งเรียนรู้... อู่อารยธรรม”ชาวบินหลาซาบซึ้งกับการต้อนรับจากทีมงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อีกทั้งมัคคุเทศก์จากหนุ่มสาวท้วร์ และพี่ๆน้องๆที่สะแกราช โดยเฉพาะที่สะแกราช ทุกคนคงไม่ปฏิเสธถึงความสนุกสนาน เป็นกันเอง รอยยิ้มที่มีให้กันและกัน เสียงหัวเราะที่เกิดขึ้นทุกวันเมื่อเข้าร่วมกิจกรรม ... จับอะไรดีหน๊า??.....จับอะไรดีหล่ะ??.. .เสียงนี้ยังก้องอยู่ในความทรงจำทุกครั้งที่คิดถึงสะแกราช ก็ไม่ใช่ใครเลย เป็นเสียงที่มอบความสุขให้ทุกคน ดูจะเป็นเอกลักษณ์ของ “พี่เดี่ยว”และทีม ที่ใช้คำถามนี้เรียกเสียงหัวเราะ กระตุ้นต่อมฮา สร้างความหรรษาให้กับน้องๆ เยาวชนที่เข้าร่วมกิจกรรม..โดยส่วนตัวแล้วอยากจะตอบดังๆ ออกไปให้ทราบทั่วกันว่า “จับใจ”ค่ะ ...จับใจจริงๆ...ที่ได้มีโอกาสมาใช้ชีวิตที่นี่ ถึงแม้จะเป็นเพียง 3 วัน 2 คืน (15-17 กค.54)
เสียงลิงโลด..ดีใจ ถึงแล้ว..ที่นี่.สถานี...สะแกราช อุ๊บ!! ไม่ใช่สถานีอื่นใด โปรดอย่าสงสัย??เป็นสถานีวิจัยสิ่งแวดล้อมสะแกราช นอกจากจะมีความหลากหลาย เต็มไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ (Natural resources) ที่น่าเรียนรู้ มีชื่อเสียงด้านงานวิจัยไทย/เทศ และเป็นแหล่งสงวนชีวมณฑลของโลกแล้ว ยังมีทรัพยากรบุคคล (human resources) ที่เปี่ยมล้นไปด้วยความสามารถ (all in one) เป็นนักสื่อความหมายอารมณ์ดี มีลูกเล่นแพรวพราว เรียกเสียงหัวเราะได้ทุกเมื่อ เข้ากันได้กับทุกวัย ทำหน้าที่ได้หลายบทบาท “พี่เดี่ยว” เป็นตัวอย่างที่ดีของคนรุ่นใหม่ พิสูจน์ทราบได้ว่า “หากได้การทำงานที่ตนเองรัก และมีความสุขในสิ่งที่ทำ ผลงานที่เกิดขึ้นก็สร้างสรรค์ เป็นที่พอใจของตัวเอง และทำให้คนรอบข้างสุขใจไปด้วยเสมอ”.. find & follow your passion.. คืนแรกในการทำกิจกรรม “พี่เดียว”และทีมต้อนรับเพื่อนที่มาเยือนด้วยการทำ “บายศรีสู่ขวัญ” ทุกคนใจจดจ่อ ต่างรอเฝ้าดู หูฟัง ละเมียดละไมไปกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า เสียงเงียบจากราวป่า ทำให้ดนตรีที่ขับขานโดดเด่น คล้ายจะเป็นการบอกว่าสรรพสิ่งที่นี่ต่างร่วมยินดี ต้อนรับพวกเราชาวบินหลา ภาพดอกไม้สีหวานสวยชื่อ “กันภัยสะแกราช” ถูกนำเสนอเป็นภาพ background ได้เหมาะเจาะ จัดเรียงคล้าย “กรวยบายศรี” ซึ่งนอกจากสื่อความหมายที่ดีแล้ว บรรรยากาศยังอบอุ่นไปด้วยวัฒนธรรมการต้อนรับแขกของชาวอีสาน “พี่เดี่ยว” จึงเป็นขวัญใจของทุกคนตั้งแต่บัดนั้น ช่วงที่มีโอกาสพูดคุยกันถามไถ่ชื่อเสียงและการทำงานที่นี่ จบด้วยการล้อเล่นไปว่า เป็นเพราะ “มงคลชัย” และ “กันภัยสะแกราช” หรือปล่าว อะไรๆ ก็ดูจะลงตัว แคล้วคลาดและปรารถนาดี.... อ้อ !! ใครมาที่สะแกราชและเข้าร่วมกิจกรรมคงได้พบกับ “พี่เดี่ยว” และหากได้รู้จักเสียงจริง ตัวจริง แต่ยังไม่รู้จักชื่อจริง “พี่เดี่ยว” ที่ทุกคนรักมีชื่อว่า มงคลชัย โง่นชาลี... .ok??
เดี่ยว -มงคลชัย
ดอกกันภัยสะแกราช
Amazing ecotone…สัมผัสแรกขณะเดินทางเข้ามายังแหล่งสงวนชีวมณฑลของโลก (Biosphere reserve) สภาพป่าที่แปลกตาต่างไปจากถิ่นที่เราเติบโตมา ปักษ์ใต้บ้านเรามีภูมินิเวศที่เรียกแบบสั้นๆคงเอกลักษณ์ภาษาใต้บ้านเราว่า “เขา-นา-เล” เรามีป่าดิบชื้น (Tropical rain forest) (เป็นป่าต้นน้ำ) บนภูเขา ป่าพรุ (Peat swamp forest) (นา), เป็นแหล่งรองรับน้ำจากเขา ป่าสันทราย (Sandune forest) และป่าชายเลน (Mangrove forest) ตามลำดับจากเขาถึงเล...จากภูผาสู่มหานที การเดินทางขึ้นมาอีสานแถบที่ราบสูงโคราช (Korat plateau)สภาพป่าค่อยๆเปลี่ยนไป พร้อมๆกับโทนการปรับเปลี่ยนอารมณ์และความรู้สึกของคน เริ่มต้นด้วยความสดใสจากออกการเดินทาง เบิกบานใจด้วยการไปร่วมปลูกป่าที่ใกล้อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ จากนั้นปรับเปลี่ยนเป็นความเศร้าใจกับพื้นที่ป่าบริเวณ อ. วังน้ำเขียวที่หายนะด้วยฝีมือมนุษย์ ปรุงแต่งให้เป็นสวิสเซอร์แลนด์แห่งอีสาน แต่แล้วใจกลับมาชื่นบานอีกครั้งเมื่อเข้ามายังผืนป่าสะแกราช (ซึ่งช่วงเวลาหนึ่ง ป่าที่นี่ก็ถูกทำร้ายเช่นกัน) ครั้นได้มีโอกาสสัมผัสเต็มที่เมื่อเดินป่าในเส้นทางธรรมชาติ และใช้เวลาส่วนหนึ่งในการดูนกที่นั่น บอกได้ว่าเป็นประสบการณ์ที่ล้ำค่า อีกทั้งมีนักสื่อความหมายและปราชญ์ชาวบ้าน เล่าเรื่องเกี่ยวกับต้นไม้ ใบหญ้า สมุนไพรในป่าเป็นระยะๆ ขณะที่เดินท่องป่าก็ประมวลในใจ ใช่เลย
...ภาพที่เห็นบอกถึง Ecotone ที่เด่นมาก สภาพป่าสัมพันธ์กับภูมินิเวศเห็นได้ชัดเจนของป่าดิบแล้ง (Evergreen dry forest) และป่าผลัดใบ เต็งรัง (Deciduous dipterocarp forest)
ป่าผลัดใบ...ป่าเต็งรัง ทางเข้าสถานีสะแกราช
เรือนยอดของไม้ในป่าดิบแล้ง
พืชและสัตว์สามารถใช้บ่งชี้ ทำหน้าที่เป็น bioindicatorที่ดีของป่าแต่ละชนิดโดยเฉพาะพืชเห็นได้ชัดว่า เมื่อเดินในที่มีความสูงขึ้นไปจะพบป่าดิบแล้ง ต้นไม้มีลำต้นเปลาสูงใหญ่ ลำต้นใหญ่ เรือนยอดแผ่ปกคลุม บดบังแสงอาทิตย์ที่ส่องลงมายังพื้น ทำให้สังคมพืชชั้นล่างเจริญเติบโตได้ไม่ดี จึงไม่มีหญ้าปกคลุมพื้นล่างในป่าชนิดนี้ ครั้นเมื่อเดินลงไป บริเวณที่เป็นไหล่เขาเนินลาดลดระดับความสูง สังเกตเห็นหินน้อยใหญ่กระจายปนไปบนพื้นในเส้นทาง มีช่วงรอยต่อจากป่าดิบแล้งก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นป่าผลัดใบ โดยบริเวณป่าผลัดใบ เห็นเป็นป่าโปร่งๆ มีต้น เต็ง รัง พะยอม และอื่นๆ มากมายกระจายห่าง ๆ เห็นความแตกต่างได้ชัดเจนว่า ต้นไม้บริเวณนี้มีเรือนยอดไม่แน่นทึบทำให้มีแสงส่องลงมาที่พื้นได้มาก หญ้าเพ็ก (Vietnamosasa pusilla (Chevlier a.Camus) มีข้อ ปล้องยาวกว่าต้นหญ้าทั่วไป คล้ายไผ่กอเล็กๆ บางทีเรียกว่าไผ่เพ็ด ขึ้นงอกงามเป็นทุ่งหญ้าเขียวระบัดใบ หน้าแล้งก็ไหม้ไฟง่ายและมีหญ้าอื่นๆแซมบ้างพองาม เช่นหญ้าขน หญ้าหางสุนัขจิ้งจอก มีดอกสวยลักษณะเป็นพวง สีเขียวของทุ่งหญ้าสบายตา หญ้าอวดใบไสวล้อลม สลับไปในช่องระหว่างรอยต่อเรือนยอดของต้นไม้ใหญ่ เชิญชวนให้หยุดพักเป็นระยะๆเพื่อซึมซับภาพที่เห็นให้อิ่มตาอิ่มใจ
ชอบมาก amazing transition zone..... ช่วงรอยต่อของแนวชายป่าทั้งสอง มีการรุกรานล้ำแดนเกิดขึ้นเป็นเรื่องปกติ หากปีใดผ่านช่วงแล้งจัด สภาพป่าเหมาะสมต่อพืชทนแล้งเช่น เต็ง รัง ก็จะเจริญได้ดี ขยายพื้นที่เข้าไปเช่นเดียวกับพืชชั้นล่างพวกหญ้า หากแต่ถ้าเป็นช่วงที่มีความชื้นในดินสูง หญ้าก็จะตาย พืชทนแล้งก็ไม่ชอบ ทั้งนี้มีปัจจัยจำกัด (limiting factors) ทำให้การเจริญเติบโตของของสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดเกิดขึ้นได้มากน้อยต่างกัน เราเดินป่าในช่วงที่ใบไม้เขียวชอุ่ม ใบเพสลาด สีเขียวอ่อนสวย ตัดกับสีเปลือกลำต้น เนื่องจากไม้เหล่านี้ได้ผ่านระยะผลัดใบและเป็นเพราะอยู่ในช่วงฤดูฝนของผืนป่าแถบนี้..บอกกับตัวเองว่า คงต้องหาโอกาสมาชื่นชมในช่วงก่อนป่าผลัดใบ.. สีสันของใบก่อนที่จะร่วง คงจะสวยไม่น้อยเช่นกัน.....Thanks to the mother nature
เส้นทางเิดินศึกษาธรรมชาติที่มี ecotone ทั้งสองระบบนิเวศป่า
Siamensis ชื่อนี้ต้องตา... ต้องใจ...เมื่อแรกเห็น เป็นที่สังเกตว่า ชื่อสิ่งมีชีวิตที่นี่หลายชนิดลงท้ายด้วย “สยามเอ็นซิส”ทำให้ไพล่คิดไปไกล โน่นหน่ะ แต่ก่อนประเทศเราใช้ชื่อว่า “สยาม” ที่สะแกราชมีชื่อต้นไม้ที่ปรากฏเป็นชื่อวิทยาศาสตร์ลงท้ายด้วยถิ่นที่พบว่า “สยาม”หลายต้น เช่น Shorea siamensis (ต้นรัง), Cycas siamensis (ต้นปรง) แม้กระทั่งไก่ฟ้าพญาลอ ชื่อทั่วไปใช้ “สยามมิส” Siamese Fireback (Lophura diardi) และมีอีกหลายๆต้น (ขออภัย...จำไม่ค่อยได้แล้วหล่ะ) เป็นสิ่งที่น่าภูมิใจไม่น้อยกับการศึกษาวิจัยสิ่งมีชีวิตเช่นพืชและสัตว์ป่าในอดีต การค้นพบสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ในแหล่งอาศัย (habitat) ที่บ้านเมืองเรา ทำให้เห็นภาพว่าแต่ก่อนเมืองสยาม อุดมไปด้วทรัพยากรธรรมชาตินานา และมีการศึกษามาช้านาน เดี่ยวนี้ร่อยหรอไปมาก เราจึงต้องผนึกกำลังร่วมใจกันทำหน้าที่ช่วยปกป้อง รักษาส่วนที่เหลือไว้ เพื่อให้คนรุ่นหลังได้มีโอกาสได้เรียนรู้เช่นกัน
ป่าผลัดใบที่มีต้นเต็ง ต้นรัง เป็นไม้เด่น และทุ่งหญ้าเพ็กที่พื้นล่างของป่า
Cycas siamensis โอ้โฮ!! เจอกันจนได้นะเรา ไม่คิดว่าจะได้เจอนะ..แปลกใจระคนดีใจเลยหล่ะ... คงเป็นเพราะรู้ว่าชอบก็ส่งพลังมาถึงกันเพื่อทักทาย อย่างน้อยเบื้องต้นก็ทักทายด้วยสายตา ก่อนที่จะสัมผัสใกล้ชิด และเราก็จูนคลื่นรับกันได้เสมอ ...เจ้าปรงต้นน้อย (Cycas siamensis) ป่าผลัดใบที่นีมีต้น “ปรงป่า” ขึ้นกระจายเป็นพืชพื้นล่าง แต่ไฉนเจ้ามีต้นขนาดเล็กอย่างงั้น?? เห็นปรงที่ไหนก็จะคิดถึง ยุคจูแรสสิก (Jurassic period) ยุคดังของไดโนเสาร์ หรือ นึกถึงหนัง The land before time สัตว์น้อยใหญ่ออกมาเริงร่า จินตนาการว่าจากยุคจูแรสสิคมาถึงยุคที่มีเริ่มมีมนุษย์คือ ควอเทอร์นารี (Quaternary period) ห่างกันนานมากตามเวลาทางธรณีวิทยา (geological timescale) และนี่ยุคปัจจุบัน ยังคงพบปรงป่าอยู่รอดมาได้ถึงทุกวันนี้...ข้าน้อยขอคารวะยีน (gene) ของเจ้า ช่างรักษาเผ่าพันธุ์ได้ดีจริงๆ วิวัฒนาการของปรงต้องมีอะไรที่เป็นพิเศษ?? เป็นปริศนา.. น่าค้นหา
บริเวณป่าผลัดใบที่สะแกราช สังเกตเห็นปรงชนิดต้นเล็กกระจาย พบไม่มากนัก อยู่เป็นบริเวณๆในเส้นทางเดินป่า ลำต้นไม่สูงจำนวนใบก็ไม่มาก ลองนับดูบางต้นนับได้ 13 ก้านใบสั้นๆ (ต่างจากปรงที่ปลูกที่บ้าน ก้านใบยาวออกใบพร้อมกันอร้าอร่ามสวยงามนับได้ 17 ก้าน) ปรงที่ขึ้นในป่าผลัดใบ จะปรับตัวให้อยู่รอดได้เมื่อเกิดไฟป่า ซึ่งมักจะเกิดขึ้นเป็นช่วงแล้ง หากลองสังเกตดูใกล้ๆที่ผิวด้านนอกลำด้นจะค่อนข้างดำไหม้ บ่งชี้ร่องรอยของการผ่านสงครามชีวิตจากไฟป่า เอาเป็นว่าถึงแม้ใบสีเขียวจะยืนหยัดอยู่ได้ไม่ทั้งปี แต่ขอเพียงทำหน้าที่ให้สมบูรณ์แบบ ก่อนที่ไฟป่าจะลามเลียก้านใบเสียหาย และพร้อมที่จะผลิใบใหม่เมื่อได้รับฝนในช่วงถัดมา..เรียนรู้สัจจธรรมชีวิต ..จากปรง.. ก็เป็นปลง.... คิดว่าไม่มีอะไรที่สมบูรณ์แบบ และคงอยู่ชั่วนิรันดร์ เพียงแต่ทำหน้าที่ส่วนนั้นให้เต็มที่ ก่อนที่จะไม่มีโอกาสได้ทำอีกต่อไป..จะได้ไม่มีคำว่าเสียใจ.....no regret..
ปรงป่า..ในเส้นทางธรรมชาติ พบกระจายเป็นพื้นพื้นล่างขึ้นแซมไปกับหญ้า
ภูมิปัญญาท้องถิ่น ศิลปะ และองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ถูกนำมาใช้อรรถาธิบายเป็นองค์รวมเกี่ยวกับ ไม้ทนแล้ง ทนไฟ อีกทั้งเปลือกไม้ก็น่าสนใจ ขณะเดินอยู่ในป่า ทักษะการชิม ดม สัมผัส ฟัง ดูจะได้ทดสอบกันถ้วนทั่ว ชมไปชิมไป พืชพื้นถิ่นหลายชนิดเช่น ยอดใบไม้ (ติ้ว)นำความเปรี้ยวมาใช้ปรุงอาหาร รสหวานชื่นคอจากพืชสมุนไพรอ้อยสามสวน ภาพไม้มะค่าโมงที่ถูกตัดตาเพียงเพราะลายไม้สวย ฝากร่องรอยแผลเป็นไว้ที่ต้น เอาไว้เตือนใจคน อย่าได้ทำร้ายกันอีกต่อไปเลย หรือความมันอร่อยของเมล็ดกระบก ที่สรรพคุณมากมาย รสชาติเปรียบเทียบไว้ใกล้เคียง เรียกว่า อัลมอนด์แห่งอีสาน เปลือกไม้ของพืชในป่าดิบแล้งและป่าผลัดใบมีสารเคมีประเภทต่างๆเป็นองค์ประกอบ มีรสชาติต่างๆกัน เปลือกเคี่ยมมีสารแทนนิน ฝาดๆ สารต่างๆนอกจากจะช่วยป้องกันเนื้อเยื่อชั้นในจากการถูกทำลายจากไฟป่า
บางชนิดมีความเป็นพิษสูงจากสารเคมี (toxic substances) ในเซลล์พืช สรรพคุณทางยาที่บ่งชี้ว่า แก้โรค รักษาอาการต่างๆ ก็ต้องใช้อย่างระมัดระวัง บ้างก็ต้องเปลือกเอาไปย่างไฟ ไล่สารพิษออกก่อน บ้างก็ต้องใช้ปริมาณน้อยในช่วงเดือนต่างๆ กันไป เปลือกไม้ของพืชแต่ละชนิดมีสารป้องกันอันตรายจากแมลงและศัตรูพืช เหล่านี้ล้วนบ่งชี้การปรับตัว (animal & plant adaptations) ที่น่าสนใจของพืชและสัตว์ ความสวยงามของ เปลือกไม้ ร่องลายแตก ดูจะเป็นเอกลักษณ์ เป็นศิลปะที่ยากจะเลียนแบบได้จากธรรมชาติ เช่น เปลือกตะโก มีความสวยงาม ดำสนิทจริงๆ เปลือกมีรอยแตกเป็นทางยาว สีดำ ดังที่กล่าวเปรียบเทียบว่า “ดำเป็นตอตะโก”…ทั้งหมดเป็นการเรียนรู้แบบองค์รวม Holistic local wisdoms, art and science
ร่องรอยแตกของเปลือกไม้ตะโก
ร่องรอยแตกของเปลือกไม้มะกอกเกลื้อน
Siamese Fireback ไก่ฟ้าพญาลอ เป็นหนึ่งในของดีสะแกราชที่ทุกคนคงไม่พลาด (it’s a must ..) ไม่ใกล้ไม่ไกลจากสำนักงาน ช่วงเช้าเราเดินขึ้นไปในป่าดิบแล้ง บริเวณที่ต้นไม้มีเรือนยอดเปิด แสงส่องถึงพื้น ไก่ฟ้าพญาลอ พระเอกตัวจริงก็เดินไปมา อวดความสวยงาม ยามเยื้องย่างเดินคุ้ยเขี่ยบนพื้น หนังคุลมหน้าและหน้าแข้งสีแดงตัดกับหงอนสีดำที่ยาวแกว่งไกว บ่งชี้ความเป็นเพศผู้ บางครั้งก็ป้อปีก ตีปีก เพื่อเรียกความสนใจจากนกเพศเมีย ซึ่งมีขนาดตัวย่อมกว่าไม่มีหงอน และมีลวดลาย สีสันกลืนกับธรรมชาติ ในขณะที่เพศผู้สีขนสดใส ขนาดตัวใหญ่สะโอดสะองสง่างาม นกเพศเมียตัวที่เห็น สังเกตมีห่วงใส่ที่ขา (ring) และมีวิทยุติดที่ใต้คอ คงเป็นนกที่กำลังอยู่ในการติดตาม สำหรับงานวิจัย ไก่ฟ้าคู่นี้ไม่ตื่นคนมากนัก แต่ขณะที่ดูก็ต้องเงียบและเดินย่องๆ เข้าไปนั่ง เสมือนนั่งรอการแสดงของคู่พระคู่นาง เดินอ้อมไปมา ข้ามฝากถนนซ้าย-ขวา จากด้านหน้าของรถ อ้อมไปด้านหลัง
ได้เห็นก็ชื่นใจถึงความงามและบอกได้ว่า ที่นี่สัตว์ป่าปลอดภัย และกล้าที่จะเข้าใกล้มนุษย์ ...คงเป็นตัวอย่างให้เห็นว่าบนโลกนี้ยังมีมนุษย์ผู้มากด้วยความการุณย์ ใจดี ไม่จับเขาไปทำร้าย หรือฆ่ากิน
คู่พระ-คู่นางไก่ฟ้าพญาลอ
...แดดส่องฟ้าเป็นสัญญานวันใหม่.. เพลง“ป่าลั่น”ถูกนำมาเป็นเพลงปลุกช่วงเช้าที่สะแกราช ฟังไปร้องฮัมคลอไป เพลงหยุดแต่เราไม่หยุด คิดถึง "Circle of life " เพลงโปรดจากในหนังวอลท์ ดิสนีย์ "The Lion King" ดูราวจะเหมาะกันมากกับภาพชีวิตที่สะแกราช เพราะสรรพสิ่งที่นีล้วนเกี่ยวพันกันไปตามบทบาทและหน้าที่ในระบบนิเวศ หมุนวนไปข้างหน้าในมิติ time & space รอบแล้วรอบเล่าไม่มีหยุด โดยมีกลไกวิวัฒนาการเกิดขึ้น หากแต่เป็นการหมุนที่ช้าๆ ด้วยเวลาของนาฬิกาชีวิต (biological clock) ของแต่ละชนิด
และเรียกได้ว่าเป็น Wheel of fortune...โชคดีที่ได้เกิดมาบนโลกใบนี้ พร้อมด้วยเพื่อนมากมายให้ใกล้ชิด ค้นหา & เรียนรู้... พืชด้านหน้าสถานีมี “พันงูเขียว”เลื้อยพันบนไม้ใหญ่ เสม็ดชุน ผักหวานป่า ถูกนำมาปลูกให้ได้รู้จัก ฯลฯ หรือผีเสื้อถุงทอง (golden birdwing) ที่นับวันจะหาดูได้ยาก เนื่องด้วยระยะวัยอ่อน ตัวหนอนอาศัยได้และมีความจำเพาะสูงต่อพืชบางชนิด หากพืชนิดนี้ถูกทำลายก็จะเป็นการทำลายแหล่งอาศัยของผีเสื้อไปด้วย ผีเสื้อกลางคืน (moth) และแมลงกลางคืน ผึ้ง มด แมงมุม กิ้งกือ กระรอกขาว กิ้งก่าบิน งู กบ สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ ตัวตะกวด นกชนิดต่างๆ มีให้เห็นเป็นเพื่อนในทุกทิศ ไลเคนส์ เห็ด พืชอิงอาศัย epiphyte ต่างๆทั้งกล้วยไม้ หรือชายผ้าสีดา ระย้าสวยงามกาบใบสมบูรณ์ แสดงถึงความร่ำรวยทาง biodiversity ของป่าที่นี่จริงๆ ทั้งๆที่ป่าที่เห็นนี้ก็มีส่วนที่เป็นป่าปลูกทนแทนพื้นที่ที่ถูกแผ้วถางทำลายในอดีต เสียงนกร้องเซ็งแซ่แต่หาตัวไม่เจอ ที่ส่องดูได้ทันเช่น นกเขาใหญ่เสียงขันคูหาคู่บินไปมา นกแซงแชวหางบ่วงใหญ่ แซงแซวหางปลา นกปรอดหลืองหัวจุก นกขี้เถ้าใหญ่ นกเขียวคราม นกโพระดกหูเขียว นกหัวขวาน นกแขกเต้าและนกอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งนกบางชนิดเป็นตัวบ่งชี้สภาพป่าได้เช่นกัน
ผีเสื้อถุงทองที่นับวันจะหาดูยาก... เพิ่งจะเปลี่ยนจากดักแด้ไม่กี่ชั่วโมงก่อนถ่ายภาพ...
นก.. ไม้.. และคน..ยลและยินเสียง
ขณะเดินทางไปยัง “ผาเก็บตะวัน”มองเห็นแนวเทือกเขาพนมดงรักไกลๆ เมื่อออกจากสะแกราช ก็เข้าวังน้ำเขียว โดยใช้เส้นทางบ้านไทยสามัคคี เดินทางไปยังส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติทับลาน ที่นั่นก่อนอาทิตย์จะลับฟ้า สาดแสงส่องไปทั่วบริเวณทำให้มองเห็นภาพข้างหน้าเป็นมุมกว้าง สวยงามเมื่อมองที่ริมผา ลิบๆอยู่ข้างหน้าเป็นเทือกเขาสลับที่มีไหล่เขาเป็นเนินเขียวขจี ความชันลดระดับลงมาเป็นเนินลาด มองเห็นภูมิทัศน์ได้ชัดเจนบริเวณ ผาเก็บตะวัน อุทยานแห่งชาติทับลาน (เห็นต้นลาน 1 ต้นเป็นสัญญลักษณ์ที่ริมผา)
ที่นี่มีกิจกรรมปลูกป่าด้วยการยิงเมล็ดมะค่าโมงด้วยหนังสติ๊ก เป็นกิจกรรมเชิงสัญญลักษณ์มากกว่าที่จะเป็นการปลูกป่าที่เอาจริง เอาจัง เทือกเขาสุดๆสายตาเป็นแหล่งกำเนิดของผืนป่าต้นน้ำชี-มูน ก่อนไหลลงสู่ลำน้ำโขง เราไม่ค่อยเห็นทิวทัศน์ลักษณะเช่นนี้ในภาคใต้ เพราะมีลักษณะภูมิประะเทศเทือกเขาสูงชัน สันปันน้ำมากมายในเทือกเขาสันกาลาคีรี ป่าต้นน้ำบริเวณ อ. สุคีริน ศรีสาครก่อกำเนิดแม่น้ำสายใหญ่ได้แก่สายบุรีและปัตตานี โดยเฉพะลุ่มน้ำสายบุรี ที่ชุมชนตลอดลุ่มน้ำได้พยายามรักษาไว้อย่างแข็งขัน ไม่ให้มีเขื่อนขนาดใหญ่มากั้นสายน้ำ ก่อให้เกิดความวิปโยคดังเช่นที่อื่นๆ
The beauty of typical Northerneast landscape & typical Southern muslim girls.
กินรี....รางวัลแห่งความภูมิใจ.. สำหรับการจัดกิจกรรมท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ที่ป่าสะแกราช เราขอเป็นส่วนหนึ่งร่วมภูมิใจกับชาวสะแกราช ขณะที่พักที่นั้่นมีโอกาสพูดคุยและชื่นชมการทำงานของทีมงานที่สะแกราชกับท่านผอ. ทักษิณ อาชวาคม หัวหน้าสถานีฯสะแกราช ร่วมกับท่านผอ. ณิตยา อ่วมพิทยา จากทททส่วนกลาง เจ้าภาพใหญ่ในการเป็นองค์กรร่วมจัดกิจกรรมครั้งนี้ ร่วมกับหน่วยพิพิธภัณฑ์ประวัติธรรมชาติและเครือข่ายเรียนรู้ท้องถิ่น คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีภายใต้โครงการ I-San Go Green บอกได้ว่าบรรยากาศ 360 องศา มิติแห่งการเรียนรู้ และท่องเที่ยวเชิงนิเวศที่สถานีวิจัยสะแกราชฯ เริ่มตั้งแต่บริเวณรายล้อม รอบที่อาคารสำนักงาน ลานกิจกรรม ในป่าใหญ่ และบริเวณใกล้เคียง ใครใคร่เรียน เรียน การรู้ด้วยตัวเองทำได้ทุกขณะ มองไปทางไหนก็มีป้ายนิเทศให้รายละเอียดของทั้งพืชและสัตว์ เป็นการให้บริการสมเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศที่ยอดเยี่ยมจริงๆ
นอกจากจะทำหน้าที่เป็นสถานีวิจัยทั้งระดับชาติและนานาชาติ และในโอกาสนี้ก็ขอขอบคุณ คุณอร ดวงจันทร์ และคณะทำงานจากททท.ส่วนกลาง/ภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่ประสานงาน/ดำเนินงาน พี่หญิง ททท นราธิวาส อีกทั้งทีมงานของมอ.ทุกคน (สมศํกดิ์ บัวทิพย์, ธนากร จันทสุบรรณ, ณรงค์ฤทธิ์ บุตรมาตา, คณิศร รักจิตร, รุ่งนภา แก้วทองราช, ราตรี เพชรสลับแก้ว และ วรรณชไม การถนัด) ร่วมนำพาฝันที่เป็นจริงของเยาวชนจากปัตตานีและยะลา เดินทางไปเรียนรู้ เยี่ยมถิ่นอีสาน บนฐานของความสุข สนุกและประทับใจมิรู้ลืม และจะนำประสบการณ์หรือข้อคิดมาปรับใช้ในการดำเนินงานในชุมชนเพื่อรักษ์บ้านเกิดต่อไป
ซ้าย..ผอ.ณิตยา อ่วมพิพยา... ขวา ผอ. ทักษิณ อาชวาคม และเพื่อน
Kindergarten Reunion....ทั้ง 3 ท่านเป็นเพื่อนกันตั้งแต่อนุบาล..หาโอกาสมาพบกันครั้งนี้ด้วย น่ารักมาก