นำคุย...ปฐมบทของการเปิดเทอมให้สอดรับกับนโยบายAEC โดยปกติวันจันทร์ที่ ๑๑ สค. ๒๕๕๗ เป็นวันเปิดเทอม สำหรับปีการศึกษาใหม่ ไฉไลด้วยการปรับเปลี่ยนเวลาเปิดเทอมให้ตรงกันกับระบบการจัดการศึกษาในกลุ่ม AEC และถึงแม้ว่าจะเป็นวันหยุดยาวต่อเนื่องกันกับวันเฉลิมพระชนม์พรรษา สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ แต่ผู้เรียนที่มีความตั้งใจ หลังจากที่นัดให้มาพบกันก่อน จากที่ได้เกริ่นนำไปเรื่องการกิจกรรมสำคัญ ที่จะสร้างโอกาสในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ นั่นคือเตรียมจัดกิจกรรมวันวิทยาศาสตร์ ซึ่งจะจัดในว้นที่ ๑๘-๑๙ สค. ทุกปี
ปกติเราใช้โอกาสวันวิทยาศาสตร์ในการพัฒนาการจัดการเรียนการสอนของ ซึ่งมองภาพรวมถึงองค์ประกอบที่สำคัญทั้ง ผู้เรียน ผู้สอน หลักสูตร และการจัดการเรียนรู้
รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง เป็นคำกล่าวของขุนศึกซุนวูที่เราได้ยิน การเปิดใจรู้จักกันในบริบทของวิชาเทคนิคทางชีววิทยา จึงเป็นประเด็นแรกที่ร่วมพูดคุย ประเมินสถานการณ์ในวันที่พบกัน นักศึกษาก็น่ารัก เพิ่งกลับกันมาที่มอ. หลังจากหยุดยาวถึงหกเดือน เมื่อนัดมากันพร้อมเพรียง สักยิบสิบกว่าคน (ส่วนหนึ่งที่มาไม่ได้ก็เพราะติดภาระกิจอย่างอื่น ) นั่นสร้างความประท้บใจ บ่งชี้ถึงความตั้งใจในเบื้องต้น ในฐานะที่เป็นผู้เรียนทางด้านวิทยาศาสตร์ ดังนั้นวันวิทยาศาสตร์ เป็นการพัฒนาตนเอง ด้วยการเป็นผู้ให้ความรู้กลับคืนสู่สังคม ขณะเดียวกันก็เป็นผู้รับด้วย โดยแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ผ่านการจัดแสดงผลงานจากประสบการณ์ตรงที่ตนเองได้ฝึกปฏิบัติจริง ทุกปีก็เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นในตัวผู้เรียนที่ทำหน้าที่เป็นผู้ให้ ผู้ร่วมจัดกิจกรรม ฯลฯ
ก่อนที่จะลงไปในรายละเอียด แนวทางในการจัดการเรียนรู้ในวิชา เทคนิคทางชีววิทยา และ เป้าหมายที่จะพัฒนาร่วมกัน ได้นำเอา แนวทางการทรงงานขององค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวชองเรา ๙ ประการ ที่ควรจะนำมาแลกเปลี่ยนในชั่วโมงแรกที่เจอกัน โดยแนวทางทั้ง ๙ ได้แก่อะไรบ้าง ขอยกมาเพื่อเตือนสติกัน รวมถึง การสร้างแรงจูงใจ ก็มีความสำคัญไม่น้อยไปว่ากระบวนการเรียนรู้ จึงเอาหลักการทรงงานขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หลักเศรษฐกิจพอเพียงมานำคุย แลกเปลี่ยนความเห็นกัน
http://www.oknation.net/blog/print.php?id=264571
หลักการทรงงาน 9 ประการ ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงใช้ในการดำเนินโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ตลอดระยะเวลา 60 ปี ที่พสกนิกรควรจะได้น้อมมาเป็นหลักการในการปฏิบัติตน เป็นกรอบความคิด สำหรับใช้ในการบริหารจัดการองค์การ และเป็นหลักในการพัฒนาประเทศ เพื่อความอยู่ดีมีสุขโดยถ้วนหน้า ได้แก่
(1) หลักการ "พอเพียง" และ "พออยู่-พอกิน" คือ การสร้างความ "พออยู่" "พอกิน" ให้กับคนส่วนใหญ่ของประเทศ ให้ได้ส่วนก่อนเป็นลำดับแรก ความ "พออยู่-พอกิน" เป็นรากสำคัญของชีวิตที่พอเพียงและเป็นพื้นฐานในการที่จะพัฒนาตนเอง ชุมชน และประเทศชาติในระยะต่อไป
(2) หลัก "การพึ่งตนเอง" คือ การมุ่งเน้นให้ประชาชนสามารถพึ่งพาตนเอง สามารถมีอาหาร ที่อยู่อาศัย เพียงพอแก่อัตภาพและการดำรงชีพ โดยไม่ต้องตกเป็นเบี้ยล่างหรือพึ่งพาอาศัยผู้อื่น
(3) หลักการ "ระเบิดจากข้างใน" คือ การดำเนินกิจกรรมต่างๆ โดยคำนึงถึงความพร้อม และการมีส่วนริเริ่มดำเนินการโดยประชาชนในพื้นที่ มิใช่การริเริ่มจากภายนอก เช่น การสนับสนุนการประกอบอาชีพ โดยการใช้เทคโนโลยีชาวบ้านหรือภูมิปัญญาท้องถิ่นที่เรียบง่ายและมีราคาถูก ชาวบ้านสามารถเรียนรู้ได้เร็วและมีไว้ใช้เอง การสนับสนุนให้ประชาชนอยู่รวมกลุ่มกัน หรือร่วมในกิจกรรมเพื่อสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชนของตนก่อน แล้วจึงค่อยขยายการพัฒนาออกมาสู่โลกภายนอก
(4) หลัก "ค่อยเป็นค่อยไป" ตามลำดับขั้นตอน คือ การดำเนินงานที่คำนึงถึงทุกปัจจัยและเงื่อนเวลา ให้มีความพอดี สมดุล รอบคอบ และสอดคล้องกับลักษณะของสังคมและภูมิสังคม มิใช่การดำเนินงานในลักษณะ "ก้าวกระโดด" หรือในแนวทางอนุรักษนิยมสุดโต่ง เช่น การไม่เร่งรัดนำความเจริญเข้าไปสู่ชุมชนในภูมิภาคที่ยังมิได้ทันตั้งตัว แต่ให้มีการเตรียมความพร้อมเพื่อให้มีความสามารถในการรับแรงปะทะจากสถานการณ์ของโลกภายนอกได้
(5) หลักการ "รวมที่จุดเดียว" คือ การดำเนินงาน ที่มุ่งเน้นการแก้ปัญหาในรูปแบบของ "การพัฒนาแบบผสมผสาน" ที่ให้ผลเป็นการ "บริการรวมที่จุดเดียว" เป็นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการบริหารงาน จากการที่ต่างคนต่างทำ มาสู่การประสานงานระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งปรากฏเป็นรูปธรรมชัดเจน ในโครงการศูนย์ศึกษาการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ในทุกภูมิภาคของประเทศ ที่เป็นศูนย์รวมของการศึกษาค้นคว้าทดลอง และปฏิบัติการพัฒนาในแขนงต่างๆ โดยยึดถือข้อเท็จจริง และปัญหาในแต่ละภูมิภาคที่แตกต่างกันเป็นหลัก
(6) หลัก "การไม่ติดตำรา" คือ การไม่นำเอาทฤษฎีหรือหลักวิชาการของผู้อื่นมาดำเนินการ โดยปราศจากการพิจารณาให้ถ่องแท้ ด้วยสติปัญญาว่า มีความเหมาะสมสอดคล้องกับสภาพชีวิต และความเป็นอยู่ที่แท้จริงของคนไทย และสังคมไทยหรือไม่ นักวิชาการชั้นสูงที่ได้รับการศึกษามาจากตะวันตก มักจะนำแนวคิดและทฤษฎีต่างๆ มาใช้กับประเทศไทยโดยไม่รอมชอม และพิจารณาถึงความแตกต่างในด้านต่างๆ ให้รอบคอบ ในที่สุด ก็มักจะประสบความล้มเหลวหรือไม่บังเกิดผลดีต่างๆ เต็มที่
(7) หลัก "การทำให้ง่าย" (Simplicity) คือ การวางแผน ออกแบบ ค้นหาวิธีการดำเนินงานที่มีลักษณะเรียบง่าย ไม่ยุ่งยากสลับซับซ้อน ทั้งในด้านแนวความคิดและด้านเทคนิควิชาการ มีความสมเหตุสมผล ทำได้รวดเร็ว สามารถแก้ปัญหาให้กับประชาชนได้จริง และสามารถนำไปเป็นตัวอย่างได้
(8) หลักแห่งความเป็นจริงตามธรรมชาติ คือ แนวทางการดำเนินงานเพื่อแก้ไขปัญหา และปรับปรุงเปลี่ยนแปลงสภาวะที่ไม่ปกติ ให้เข้าสู่ระบบปกติ โดยใช้ธรรมชาติเป็นตัวดำเนินการ เช่น การนำน้ำดีขับไล่น้ำเสียหรือเจือจางน้ำเสีย ให้กลับเป็นน้ำดีตามจังหวะการขึ้นลงตามธรรมชาติของน้ำ การบำบัดน้ำเสียโดยใช้ผักตบชวา ซึ่งมีอยู่ตามธรรมชาติให้ดูดซับสิ่งสกปรกปนเปื้อนในน้ำ การปลูกป่าโดยไม่ต้องปลูก ในโครงการศึกษาวิธีการฟื้นฟูที่ดินเสื่อมโทรมเขาชะงุ้ม อันเนื่องมาจากพระราชดำริ เป็นต้น
(9) หลักการ "ขาดทุน" คือ "กำไร" (Our loss is our gain) คือ การดำเนินงานที่ยึดผลสำเร็จแห่งความ "คุ้มค่า" มากกว่า "คุ้มทุน" คำนึงถึงผลประโยชน์ของคนส่วนรวมมากกว่าผลสำเร็จที่เป็นตัวเลขอันเป็นผลประโยชน์ของกลุ่มคนส่วนน้อย เล็งเห็นผลที่ได้จากการลงทุนเพื่อประโยชน์แก่คนส่วนใหญ่ อันได้แก่ ความอยู่ดีมีสุขของประชาชนซึ่งตีค่าเป็นตัวเงินไม่ได้ ซึ่งถ้าหากพิจารณาตามหลักเศรษฐศาสตร์แล้ว อาจจะถือว่าเป็นการลงทุนที่ขาดทุนหรือไม่คุ้มทุน
ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง การพอเพียง การมีภูมิต้านทาน การมีประโยชน์ สำหรับโลกเรา หรือกล่าวให้แคบลงคือ บ้านเมืองเราจะทำอย่างไรดี จริงๆแล้วเราช่วยกันคนละไม้คนละมือ เริ่มที่ตัวเราก่อน
"Earth provides enough to satisfy every man's need, but not any man's greed." ...Mahatma Gandhi ลดความเห็นแก่ตัวให้มาก ก็คงจะดีขึ้นไปเรื่อยๆ
นอกจากนี้ ชวนคิดเพิ่มเติมด้วย "No pain no gain" นำคุยค่ะ เพือการสร้างแรงจูงใจ ในการทำงาน การเรียนรู้และการดำรงชีวิต การยกตัวอย่างที่เกิดจากผู้เรียนช่วยกันคิดและมีส่วนร่วม ทำให้มีประเด็นของการพูดคุยช่วยให้ทำความเข้าใจได้ชัดเจนขึ้น
กระบวนคิด....เน้นเรื่องการทำงานร่วมมือกัน จึงต้องอาศัยการคิดบวก (positive thinking) ที่คิดตามความเป็นจริง ฝึกมองหาข้อดีในทุกๆสถานการณ์ ก็ทำให้เป็นนิสัย เป็นอัตโนมัติในที่สุด
สะท้อนคิดในมุมมองของผู้เรียนแต่ละคน .. "ครู" มีความหมายต่อเราอย่างไร?? ต่างคนต่างช่วยกันแสดงความคิด จึงประมวลได้ว่า สิ่งที่ผู้เรียนสะท้อนออกมา นำไปสู่การชวนคิดเรื่อง "mirror effect" ความเห็นของแต่ละคนแสดงถึงผุ้เรียนอยากให้ครูเป็นอย่างที่คิด และถ้าย้อนถามไปว่า หากแต่ละคนจะทำหน้าที่เป็นครู ก็คงเป็นครูตามแบบที่เรามีความคิดเกี่ยวกับความหมายของครูที่ได้แสดงออกมาก่อนนี้
จากนั้นกล่าวถึง law of attraction และเชิญชวนให้ หาอ่านเพิ่มเติม ยกตัวอย่างในบริบทที่จะนำมาปรับใช้ในการเรียนวิชานี้ ซึ่งการประเมินส่วนใหญ่จะเป็นการสร้างผลงานทั้งเดี่ยว และกลุ่ม จึงต้องเข้าใจเพื่อนๆ ผู้ร่วมงานให้มากขึ้น เราชอบหรือไม่ชอบ มีนิสัยอย่างไร ก็ต้องปรับตัว บทบาทของเพื่อนในกลุ่มที่ร่วมเรียนจึงความสำคัญในกระบวนการเรียนรู้นั่นเอง
ติดตามตอนต่อไป...จนกว่าจะมี AAR (After Action Review)