ขุนเขาตระหง่าน สายหมอกขาวพริ้วผ่านทำให้ฉากหลังดูสวยแปลกตา ตาลต้นใหญ่ถูกบดบังด้วยไม้ริมนาที่ยืนอวดทรวดทรงตะคุ่มๆ รอรับตะวันฉายแสงยามเช้า น้ำในนานิ่งราบเรียบช่วยสะท้อนแสงเงา ซึมซับภาพทุกมิติทั้ง foreground & background เป็นรางวัลให้ชื่นชมและหยุดเก็บภาพเป็นระยะๆขณะขับรถคู่ใจไปบนเส้นทางมุ่งสู่ภูมินิเวศ “เขา-นา”เพื่อค้นหา “มีอะไรในสายธาร..ที่บ้านทรายขาว??”อ.โคกโพธิ์ จ ปัตตานี ระยะทางประมาณ 30 กม.เศษ ๆ เมื่อเราออกจากริม “เล”ที่รูสะมิแล หมู่ 6 นิวาสสถาน ม.อ.ปัตตานีมาตั้งแต่ 6 โมงเช้า ตามประสาสองชีวิตครู-ศิษย์ เพื่อไปสมทบกับทีมที่นั่น
บริเวณป่าต้นน้ำ (watershed) ก่อกำเนิดน้ำตกทรายขาว สายนทีนำพาความเย็นชื่นใจให้ทุกครา แม้เพียงเข้าใกล้ก็จะได้รับการทักทายด้วยละอองไอ จากน้ำที่ตกมาซัดสาดชะง่อนหิน ครั้นเมื่อได้ลงเล่นน้ำในแอ่งธาราก็ชื่นฉ่ำสมใจ มองไปไม่ใกล้ไม่ไกลก็พบกับกลุ่ม “จิงโจ้น้ำ water skaters” ร่วมกันใช้ชีวีในวารีแห่งนี้ น่าพิศวงยิ่งนักกับการเคลื่อนที่อย่างกับนักเล่นเสก็ตสมชื่อ water skaterด้วยเทคนิคทำตัวให้เบา กางขาออกเพื่อกระจายน้ำหนัก โหย่งตัวด้วยขายาวๆ เลื่อนตัวพริ้วไหวไปบนผิวน้ำที่มีแรงตึงผิวสูง เป็นลีลาที่ชวนมองของแมลงน้ำชนิดนี้ ครั้นลองหยิบจับก้อนกรวดขนาดต่างๆขี้นมาส่องดู ก็พบเพื่อนแมลงมากมาย สายน้ำจากน้ำตกทรายขาวจึงมีความหมายมากกว่าการให้ความเย็นชื่นฉ่ำใจ หากแต่สายสัมพันธ์แห่งนทีนี้ ผูกชีวีของผองสรรพสิ่งมากมายให้ค้นหา ร่วมติดตามค้นหาไปกับเรา...
Theme ครั้งนี้อฺธิบายด้วยคำสั้นๆ “Watershed wet & wild”ตามไปดูพร้อมกันว่าทำอะไร?? Wet & wild ยังไง?? สมาชิกทั้ง 7 คน (ครู-ศิษย์ ป โท 2 คนและเพื่อนๆน้องเยาวชนจากบ้านทรายขาว) ออกตระเวณเข้า/ออกภูมินิเวศเขา-นา ตั้งแต่เช้าจนกว่าจะเลิกก็เมื่อหนุ่มๆ ได้เวลาเตรียมตัวไปละหมาดใหญ่ในวันศุกร์ (07/10/54) เราต่างพร้อมใจกันเข้าถึงพื้นที่ด้วยรถจักรยานยนต์ และมินิคันสวย ที่ช่วยขนสัมภาระข้าวของ อุปกรณ์เก็บตัวอย่างที่จัดเตรียมจากห้องปฏิบัติการ เราเลือกใช้เส้นทางธรรมชาติแรลลี่ขึ้นเขาทรายขาว (mountain hike) ซึ่งเป็นกิจกรรม (outdoor) ที่สนุกและเป็นที่รู้จักของที่นี่ แต่วันนี้เราขอใช้เส้นทางร่วมเพื่อมาหาความหมายในสายนที.....คิดถึงเส้นทางที่ไปก็ wild ได้ที่แล้วหล่ะค่ะ ??
การร่วมพูดคุยขณะเตรียมงานและทำงาน ทำให้ทุกคนเห็นตรงกันว่า การดูแลรักษาป่าต้นน้ำ คุณภาพของน้ำตลอดสาย มีความหมายและความสำคัญไม่น้อยต่อชีวิตอีกมากมายที่เกื้อกูลกัน รวมถึงวิถีของผู้คนทีเกี่ยวข้องกับน้ำ ถึงเวลาที่เราต้องหันเข้ามาร่วมมือกันรักษ์สายนทีแห่งนี้ ตราบใดที่ยังรินไหล... ผลกระทบอันเนื่องมาจากกิจกรรมของมนุษย์ทุกรูปแบบ (anthropogenic activities) มีผลต่อแหล่งน้ำทั้งสิ้น ซึ่งเป็นทั้งแหล่งอาศัย/ แหล่งอาหาร คุณภาพของน้ำและแหล่งน้ำจึงเป็นสิ่งทีควรตระหนัก ควรสร้างความเข้าใจและอยู่ร่วมกับธรรมชาติได้อย่างวิถีผู้รักษ์สายน้ำ สิ่งมีชีวิตชนิดต่างๆในแหล่งน้ำซึ่งมีความไวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมอาจใช้เป็นตัวบ่งชี้สภาพแหล่งอาศัยเปลี่ยนไปเรียกันว่า “ตัวบ่งชี้ทางชีวภาพ Bioindicator)” หัวใจที่เราออกค้นหาในครั้งนี้ การสำรวจพื้นที่ได้เริ่มทำในเบื้องต้นก่อนการเข้าเก็บตัวอย่างครั้งนี้ ด้วยเล็งเห็นสภาพการเปลี่ยนแปลงของสายน้ำและการใช้ประโยชน์ของพื้นที่จากกิจกรรมของคนเรา สายน้ำที่ไหลรินจากน้ำตกทรายขาว ตามระยะทางต่อเนื่องไปเรื่อยๆจึงถูกแบ่งออกเป็นสามบริเวณด้วยกันเรียกว่าต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ เพื่อนำมาใช้เปรียบเทียบในประเด็นต่างๆ ต่อไป
ขณะเก็บตัวอย่างบริเวณต้นน้ำ ห่างจากที่ทำการอุทยานทรายขาวเป็นระยะทาง 500 เมตร ตามสายน้ำ สมาชิกแต่ละคนต่างมีหน้าที่ “หนุ่มหมาน” ฝ่ายเก็บตัวอย่างดินไม่รอช้า หาที่ทางลองซ้อมอุปกรณ์ ขณะยังไม่ค่อยได้ที่ หันมาบอกว่า “กดท่อพีวีซีลงไปที่ระดับความลึกที่ทำเครื่องหมายไว้ก็เจอแต่กรวดและหินครับ”และในที่สุดหลังจากเปลี่ยนไปหลายตำแหน่งก็เป็นที่พอใจ บริเวณพื้นท้องน้ำได้ถูกเก็บตัวอย่างไปเพื่อตรวจหาองค์ประกอบของชั้นดิน (soil profile) ขณะที่“รานี” (หญิงงามผู้ทรงศักดิ์.... ตามความหมายแห่งชื่อ??.. เมื่อได้ยินใครสักคนถามก็เลยช่วยแปลให้) ช่วยกดจีพีเอส กำหนดตำแหน่งพิกัด (lat/long) และทำหน้าที่ตรวจหาทั้งความเป็นกรด-เบส (pH) และอุณหภูมิ ส่วน “ตาล ซาน รุซดี และวาน้องเล็กสุด”ช่วยกันเก็บตัวอย่างแมลงน้ำและสัตว์น้ำในบริเวณนั้นโดยใช้สวิงบ้าง ใช้พู่กันปาดจากการพลิกก้อนหินและก้อนกรวด (คงมีข้อมูลมานำเสนอต่อไป…หรือเขียนมาถาม ถ้าอยากรู้ว่ามีอะไรบ้าง !!) ส่วนตากล้องจำเป็นวันนี้หลังจากดูแลให้ทุกอย่างดำเนินการได้แล้ว ก็ทำหน้าที่บันทึกสภาพทั่วไป
บริเวณที่เรากำหนดว่าเป็นต้นน้ำ มีสวนยางพาราในระยะที่กรีดยางได้แล้ว สวนเหล่านี้ปลูกตามไหล่เขาสลับกับสวนผลไม้ ต้นไม้ใหญ่น้อยริมน้ำให้ความร่มรื่น ปกคลุมท้องน้ำพื้นที่แสงส่องถึงประมาณ 50% พืชพรรณที่มีวิวัฒนการไม่ซับซ้อนเช่นไม่มีดอก มีเพียงสปอร์และโครงสร้างท่อลำเลียงภายในยังไม่พัฒนามาก ใช้เป็นดรรชนีบ่งชี้ความชื้นของที่นี่ได้ดี เช่นเพิร์นต่างๆ และ ต้นตีนตุ๊กแก (Selaginella sp.) ที่อวดใบบอบบางน่าทะนุถนอมยามจับต้อง สีใบเขียวอ่อน เขียวเข้ม เขียวเหลือบฟ้าล้อแสงชวนมองและยากที่จะละสายตา แต่ก็ต้องหันกลับมาตรวจดูแมลงน้ำที่สมาชิกเก็บรวบรวมได้ เราใช้ทั้งเทคนิค kick sampling ร่วมกับการพลิกหินและวัสดุ (substrate) ในท้องน้ำ จึงได้ตัวอย่างแมลงน้ำหลายชนิดทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ออกมาโชว์ตัว “หนอนปลอกน้ำ (Caddis fly)” สร้าง “บ้าน” ด้วยเม็ดกรวดเล็กๆ ปราณีตบรรจงนำแต่ละก้อนมาเชื่อมต่อกันเป็นท่อยาว ยื่นออกมาจากซอกก้อนหิน หรือท่อนไม้ผุเพื่อเป็นเกราะห่อหุ้มตัวได้อย่างน่าพิศวง
ขณะเก็บตัวแมลงจากถาดใส่ภาชนะที่บรรจุแอลกฮอล์เพื่อคงสภาพและนำกลับมาศึกษาเพิ่มเติมที่ห้องปฏิบัติการ ได้ใช้โอกาสนี้ชี้ชวนให้เยาวชนทีมงานร่วมสังเกต ด้วยคำถามชวนคิด “โครงสร้างของแมลงน้ำในระยะตัวอ่อนที่เก็บตัวอย่างได้ มีลักษณะเด่นอย่างไร??” สักครู่หลังจากให้ดูตัวอย่างแมลง ได้ข้อสังเกตว่า “แมลงเหล่านี้มีพู่เหงือกที่ระยางค์ยื่นออกมาจากตัวคล้ายกับขา หรือพบได้ที่หาง โครงสร้างดังกล่าวช่วยในการรับออกซิเจนในน้ำซึ่งมีน้อยกว่าปริมาณที่พบได้ในอากาศ การพบเห็นตัวอ่อนแมลงเหล่านี้อยู่ในน้ำบ่งชี้ได้ว่า สภาพน้ำบริเวณนั้นมีปริมาณออกซิเจนสูง น้ำจึงมีคุณภาพสูง ซึ่งถ้ามีการปนเปื้อนของสารเคมี หรือสารอินทรีย์ต่างๆ สัตว์น้ำวัยอ่อนเหล่านี้ก็จะอยู่ไม่ได้ จึงใช้แมลงบ่งชี้คุณภาพน้ำได้นั่นเอง (Bioindicator) ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นแมลงกลุ่ม (orders) Ephemeroptera, Plecoptera และ Trichoptera ..สำหรับชาวป.โทบอกได้ไหม๊ว่ามีแต่ละ order มีชนิดใดบ้าง ?? และหากเราเก็บตัวอย่างแมลงในแหล่งน้ำไปเป็นระยะเวลานาน ต่อเนื่องกันหลายปีอาจทำให้เห็นความแตกต่างของชนิดและจำนวนของแต่ละชนิด หรือรูปแบบการกระจายตัว (distribution & abundance) ซึ่งสามารถใช้บ่งบอกการเปลี่ยนแปลงในระบบนิเวศได้..... เป็นกิจกรรมที่น่าสนใจไม่น้อยทีเดียวเชียวหล่ะ??
สายน้ำที่ไหลลงไปห่างจากจุดแรก ประมาณ 1 กม. เราเรียกว่า “กลางน้ำ” การเข้าถึงจุดเก็บตัวอย่างขับรถไปเป็นระยะทาง 4 กม. แต่ด้วยระยะทางไม่เคยเป็นอุปสรรคสำหรับทีมเราในที่สุดก็ถึงจุดหมาย ขณะที่เดินทางก็ได้ใกล้ชิดพื้นที่ สังเกตไปตามถนนแคบ ๆ ระหว่างพื้นที่สวน สภาพการเปลี่ยนแปลงและการเข้าใช้ประโยชน์ ส่วนใหญ่จะเป็นพื้นที่ราบ สลับกับเนินเขาบ้าง มีสวนผลไม้ ลองกอง ทุเรียน ปลูกผสมๆกันทั้งสวนเก่าและใหม่ ส่วนสวนยางพาราก็ปลูกแซม และเริ่มมีแปลงหว่านกล้าข้าวเพื่อใช้ดำนาในช่วงเวลาใกล้ๆนี้ แปลงกล้าข้าวอายุไม่มากกว่า 1 เดือนแทรกเป็นหย่อมๆ ประมาณ 10 แปลงเห็นจะได้ในเส้นทางที่ผ่าน ไม้ใหญ่ที่เป็นพืชพื้นถิ่น (native species)มองไปจะเจอเอกลักษณ์ของพืชใบกว้าง หนา อวดช่อใบอ่อนสีแดง “ส้มแขก (Garcenia cambogia)” ใช้ปรุงอาหาร และมีสรรพคุณมากมาย ที่ได้ยินชื่อบ่อยก็เรื่องการมีสารสกัดที่กินแล้วช่วยลดน้ำหนัก ลำต้นสูงใหญ่ ทรงพุ่มสวย เรียวสู่ปลายยอด ที่นี่“กลางน้ำ” มี “ทากน้อย”คอยต้อนรับ และดูดดื่มเลือด ยังไงก็เสียสละให้ได้บ้างเพื่อเพื่อนน้อยจะได้ประทังชีวิตต่อไป พื้นที่ในส่วนนี้จะมีสัตว์เลือดอุ่นเช่นวัวที่ปล่อยให้เล็มหญ้าและผู้คนผ่านไปมา พอที่ทากน้อยจะประทังขีวี ทากบ่งชี้ความอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่ นอกจากนี้ยังมีพืชต่างถิ่นที่รุกรานเข้ามา (invasive species) ซึ่งเป็นที่สังเกตได้ว่าแพร่พันธุ์มากับสายน้ำจากต้นน้ำลงมาในช่วงน้ำหลาก ถึงแม้ว่า “กระดุมทอง Wedelia trilobata L.”จะให้ความสวยงาม จากดอกขนาดเล็กดูจุ่มจิ๋มน่ารักสีเหลืองทอง เมื่อถูกถาม“รุซดี” เปรยให้ฟังว่าเพิ่งจะพบเห็นในเขตกลางน้ำสัก 5 ปีที่ผ่านมา เป็นสิ่งที่สะท้อนว่า พืชต่างๆ ก็ต้องการขยายสายพันธุ์เช่นกัน หากเป็นวัชชพืชที่โตเร็วก็อาจจะก่อให้เกิดปัญหาต่อไปได้ซึ่งตัวอย่างมีให้เห็นเช่น หญ้าขจรจบ และผักตบชวา..ที่กำจัดได้ยากยิ่ง
สายน้ำบริเวณกลางน้ำแคบลง โดยมีความกว้างประมาณครึ่งเมตร น้ำไหลไม่แรงเมื่อเทียบกับต้นน้ำ ท้องน้ำเป็นทรายและกรวดก้อนเกลี้ยงๆ ขนาดเล็ก หินก้อนใหญ่ไม่มีเลย เดินนวดฝ่าเท้าได้ขณะทำ kick sampling เมื่อถามถึงระดับน้ำในปัจจุบันและเมื่อครั้งวัยเด็กที่มาเล่นน้ำในคลอง “รุซดี” บอกว่า ระดับน้ำในปัจจุบันลดลงประมาณครึ่งหนึ่งของระดับเดิมในช่วงเวลานี้ของปี เป็นสิ่งที่ชวนคิดว่า เป็นเพราะเหตุใด มนุษย์เราอีกหรือไม่ ?? ที่ทำร้ายป่า หรือเป็นภัยจากธรรมชาติ ?? เช่นกันบริเวณนี้ตัวอย่างดินและแมลงน้ำก็ถูกเก็บด้วยเทคนิคเดิม ทันใด “รานี”หันมาบอกว่า “แมลงปอสีเขียวเมทัลลิค ไม่เห็นที่อื่นเลยนะค่ะ” ด้วยน้ำเสียงที่ยืนยัน ตากล้องก็เลยใช้ความพยายามเข้าใกล้ แต่เจ้าไม่อยู่นิ่งเฉย?? เลยไม่มีภาพความสวยงามระยะประชิดมายืนยัน แต่บอกได้ว่าวันนั้นแมลงปอที่นี่สีสวยจริงๆ นี่คือแมลงปอระยะตัวเต็มวัย จริงๆแล้วตัวอ่อนของแมลงปอในแหล่งน้ำมีหลายชนิดเช่น แมลงปอเข็ม (Damsel fly) มักพบบ่อย และเมื่อดูแล้วก็แทบจะไม่น่าเชื่อเลยว่า ตัวเต็มวัยและตัวอ่อน โครงสร้างต่างกันลิบลับ (ใครอยากรู้ว่า ตัวอ่อนของแมลงปอเป็นอย่างไร ..อย่าลืมเขียนมาถาม??). บริเวณนี้มีแสงส่องถึง 80 % ส่วนพืชพรรณริมน้ำเปลี่ยนไป เช่นพบพืชตระกูลบอนเจริญงอกงามเรียงต่อเป็นแถว แนวขนานไปกับริมน้ำราวกับจะเป็นเครื่องหมายบอกให้รู้ว่าริมขอบคลองอยู่ตรงไหน ต้นมะเดื่อ และต้นสาคูกอใหญ่มีให้เห็น บอกความเป็นพืชชอบน้ำเช่นกัน รากไม้แตกแขนงออกมารับน้ำเป็นที่อาศัยของสัตว์น้ำเช่นปลาชนิดต่างๆ สภาพ pH เปลี่ยนไปจาก 5.5 (บริเวณต้นน้ำ) เป็น 5 บ่งบอกความเป็นกรดมากขึ้นเล็กน้อย เพราะอะไร??
ก่อนตะวันจะเพิ่มความร้อนแรงกล้า เราขับรถฝ่าแดด ฝ่าพื้นที่ ที่ค่อยๆเปลี่ยนไป เป็นพื้นราบมากขึ้นแล เป็นแหล่งรองรับน้ำ หันหลังมองกลับไปก็พบว่าห่างจากเขามาพอดู บ้างเรียกว่าพรุ บ้างเรียกว่า นา ในขณะที่สวนผลไม้มีน้อยลง พืชตระกูลปาล์มน้ำมันถูกปลูกแทรกในแปลงนา พื้นที่เป็นแหล่งทำนาผืนใหญ่ สายน้ำที่เรียกขานว่า คลอง มีน้ำไหลผ่านมายังบริเวณปลายน้ำตลอดปี ไม่พบเห็นการขุดคลองซอยนำน้ำเข้านา ด้วยความแปลกใจจึงถามไถ่ก็ได้ความว่า ที่นี่ทำนาปี จึงอาศัยทำนาในฤดูที่มีน้ำฝนน้ำฟ้า ตกลงมาให้มีน้ำขังในนา สภาพท้องนาขณะนี้กำลังไถพลิกฟื้นหน้าดิน ไถแปร?? ไถดะ?? ด้วยพลังรถไถนา ตั้งแต่เข้ามาในภูมินิเวศแห่งนี้ ยังไม่เห็นเจ้าทุยเพื่อนยาก ควายหายไปมีแต่วัว เท่านั้น ฤาเจ้าทุยจะไม่เหมาะกับวิถีที่นี่ ต่อไปจะต้องส่งทุยน้อยไปเข้าโรงเรียนสอนควาย อย่างในภาคกลางที่ริเริ่มโครงการนี้เนื่องด้วยเห็นความสำคัญของควายไทยและทักษะการทำนา ที่นับวันจะเสื่อมถอยไปทั้งคนและควาย??
บริเวณปลายน้ำ ระยะทางห่างจากจุดที่สองมากกว่า 1 กม (ที่ได้วางแผนไว้ต้องเปลี่ยน) เพราะช่วงนี้ฝนตก ทำให้ระดับน้ำสูงขึ้นมาก เราจึงต้องตระเวณหาบริเวณที่มีน้ำพอที่จะทำ kick sampling ได้ และแล้วก็มาถึงรอยต่อระหว่างต.ช้างไห้ตกกับ ต. ทรายขาว พื้นท้องน้ำมีความแตกต่าง จากตัวอย่างดินที่เก็บเห็นได้ชัดเจน โดยเนื้อดินเป็นสภาพปนดินเหนียว เมื่อเอาตัวอย่างดินออกมาจากอุปกรณ์เก็บดิน จะได้แท่งดินทรงกระบอกตามขนาดของท่อพีวีซี อนุภาคดินยึดจับกันได้ดี มีใครบอกว่า "คล้ายๆกับข้าวหลามจากกระบอก" ซึ่งเป็นเช่นนั้นจริงๆ สภาพพืชพรรณไม่มีไม้ใหญ่ปกคลุม มีเพียงไม้ล้มลุกเช่นบอนและวัชชพืชน้ำ แสงแดดส่องได้ 100 % ตัวอย่างแมลงน้ำยังมีตัวอ่อนของแมลงน้ำหลายชนิด หนึ่งในนั้นที่เห็นชัดเจนคือ หนอนแดง (Chironomous sp.)สีแดงสังเกตเห็นได้ง่าย เป็นตัวอ่อนของแมลงริ้นน้ำจืด ซึ่งระยะตัวอ่อนเป็นอาหารของสัตว์น้ำเช่นกัน
ขณะที่เก็บตัวอย่างบริเวณปลายน้ำที่เป็นทุ่งนาผืนใหญ่ รอการทำนาในฤดูนี้ มีฝูงเป็ดเดินไปมาหากินในที่แฉะๆริมน้ำที่เป็ดชอบ เสียงนกจาบคาที่คุ้นเคยทำให้เหลียวมองหา อ๋อ!!เจ้าจาบคาหัวเขียวนี่เอง (Blue- tailed Bee Eater) บินโฉบจับแมลงกลางอากาศด้วยท่าที aerobatic maneuver ที่น่าสนใจ จึงชี้เชิญชวนให้เยาวชนที่นี่สังเกต และเล่าเกี่ยวกับพฤติกรรมการกินแมลงของนกชนิดนี้ ชอบจับกินแมลงที่บิน และเมื่อใช้ปากจับแมลงได้ก็จะทำให้แมลงตายก่อนจะกิน ด้วยการฟาดบนสายไฟฟ้า เพราะบางทีแมลงเช่นพวกผึ้งมีสารพิษที่เหล็กไน นกชนิดนี้เป็นนกอพยพจะเข้ามายังพื้นที่เป็นช่วงๆ "รุซดี" บอกว่าไม่เคยเห็นนกชนิดนี้มาก่อน และหนุ่มที่ช่างสังเกตเล่าเพิ่มเติมว่า เดี๋ยวนี้นกยางมีเพิ่มขึ้นในนาข้าว ส่วนนกเอี้ยงน้อยลง ขณะที่กาแทบจะไม่ได้ยินเสียงเลย.และไม่เห็นตัวด้วย จึงเป็นสิ่งที่ต้องเฝ้าติดตามต่อไปว่านกบ่งชี้อะไรบ้างที่นี่??
การค้นหาความหมาย มีอะไร??ในสายนที ที่บ้านทรายขาว ตาม theme ที่วางไว้ก็แล้วเสร็จด้วยความมุ่งมั่นของทีม ทั้งสนุก ตื่นเต้น เร้าใจ "wild" ในทุกมิติ ทั้งสิ่งมีชีวิต (wild life) และสภาพพื้นที่ (wilderness)และเปียกชุ่ม (wet)ในการเก็บตัวอย่างสิ่งมีชีวิตในน้ำ สภาพแหล่งอาศัย รวมถึงการใช้ประโยชน์ในพื้นที่ ยังมีสิ่งที่น่าค้นหา เรียนรู้ต่อไปอีกมากมาย ทั้งการจำแนกชนิดของแมลงที่ต้องศึกษาภายใต้กล้องในห้องปฏิบัติการ การเชื่อมโยงการใช้ประโยชน์จากพื้นที่จากกิจกรรมของมนุษย์ ซึ่งคงมีอะไรที่น่าสนใจ จะหาโอกาสมาแบ่งปันกันต่อไป การเรียนรู้ครั้งนี้ขอขอบคุณธรรมชาติที่แสนยิ่งใหญ่ และให้โอกาสได้เรียนรู้อยู่เสมอ (Nature is our great teacher) ทีมงานเยาวชนจากบ้านทรายขาวช่วยนำทาง และช่วยเก็บตัวอย่าง ร่วมฝึกเป็นนักวิจัยน้อยในพื้นที่ นักศึกษา ป.โทที่ร่วมเรียนรู้ไปพร้อมๆกัน และกัลยาณมิตรในชุมชนที่แวะถามไถ่เมื่อเห็นทีมเราง่วนทำงานที่ริมน้ำ...สนุก..ศุกร์หรรษา..อีกหนึ่งวัน