จากปักษ์ใต้: หกโมงเศษ ก่อนค่ำวันที่ 27 กพ. เสร็จจากงานริงนกสำหรับเดือนกพ. เราเดินทางไปหาดใหญ่ เพื่อขึ้นรถไฟ สุไหงโกลค-กรุงเทพ มุ่งหน้าสู่เมืองอมรฯ ระยะทางนับเป็น กม. ก็หนึ่งพันเศษๆ นั่งชมบรรยากาศ และวิถีชีวิตข้างทาง ก่อนปีนขึ้นไปนอนเตียงบนของรถไฟ รุ่งขึ้นถึงกรุงเทพฯ ก็เข้าไปเที่ยงวัน (28 กพ.) ซึ่งก็เป็นธรรมชาติของ รฟท.
เข้ากรุงครั้งนี้ดูจะเป็นภาระกิจที่ตั้งใจไว้นานแล้ว และเพิ่งจะสมควรแก่เวลา ด้วยหลาย ๆองค์ประกอบ (it’s the beginning of the end…) ครั้งนี้เป็นการไปจัดหา/จัดซื้ออุปกรณ์ดูนก เพื่อเสริมประสิทธิภาพในการสร้างงานและดำเนินงานของทีม “บูรงตานี”อุปกรณ์ดังกล่าวได้แก่ Spotting scope, DSLR, Adaptor & Tripod โดยได้รับความอนุเคราะห์ในการจัดหาไว้เบื้องต้นจากน้อง ทีมเราขึ้นไปประกอบการตัดสินใจอีกเล็กน้อย เพื่อให้ได้สิ่งที่เหมาะกับการใช้งาน และรับของลงมาใช้ในการทำงาน ซึ่งก็เรียบร้อยตามแผน
ประสบการณ์เรียนรู้ : ทดสอบการใช้งานของอุปกรณ์ เราเดินทางจากบ้านบางกรวยมุ่งสู่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ใช้ชีวิต 3 วัน 2 คืน (1-3 มีค.) บนยอดเขาพะเนินทุ่ง เป็นสิ่งซึ่งเขียนไว้ในลิสต์มานาน สักวันหนึ่งจะไปที่นั่น (เกือบจะตกลิสต์..long list??) และการได้อยู่ท่ามกลางคนรักๆ กัน รายล้อมด้วยธรรมชาติเป็นอะไรที่สุดแสนจะวิเศษ
เพื่อนผู้ร่วมทาง: มี 2 ครอบครัวที่รักและผูกพันมาก หนึ่งในนั้นก็คือน้องรัก จ๋า และสุธน ผู้ซึ่งให้การสนับสนุน ช่วยเหลือแทบจะทุกเรื่องเสมอมา ส่วนอีกครอบครัวหนึ่งก็คือ โก้และกาญจน์ ที่มีหลายบทบาทเป็นทั้งศิษย์รัก เพื่อนร่วมงาน และผู้ที่ทำงานอย่างแข็งขันเคียงข้างกันมาในเรื่องของนก โดยเป็นฝ่ายเทคนิคงานเก็บข้อมูลภาคสนามของทีม “บูรงตานี” อีกคนที่มาไม่ได้ แต่ทำงานเคียงข้างกัน ร่วมหัวจมท้ายในภาวะที่ไม่มีใคร เพื่อสร้าง “เว็บไซต์บูรงตานี” ก็คือ admin และเสียดายที่น้องบอยก็มาไม่ได้ครั้งนี้ แต่ก็ได้มาก่อนหน้านี้แล้ว ส่วนทีมงานทั้งหมดคงได้มีโอกาสมาที่นี่ด้วยกันสักครั้ง ...สักวันหนึ่ง..คราวนี้มีเพียงภาพมาฝาก... ถึงอยู่ห่างไกล..ก็ยังคิดถึงกันนะ
ที่หมาย..แก่งกระจาน.:ตื่นอาบน้ำ ออกเดินทางตี 4 เพื่อให้ขี้นพะเนินทุ่งทันในช่วงแรก เนื่องจากกำหนดการเดินรถที่นี่จะให้รถขี้น-ลงจากแต่ละจุดเป็นช่วงเวลา และรถเดินทางเดียว เพื่อความปลอดภัย จากสภาพถนนที่ต้องขับขี่ด้วยความระมัดระวัง เอ๊ะ !!! พะเนินทุ่งอยู่ที่ไหน ก็ไหนว่า ...มาแก่งกระจาน...จริง ๆ แล้ว อุทยานแห่งชาติแก่งกระจานซึ่งตั้งอยู่ที่จังหวัดเพรชรบุรีและ ติดพื้นที่ส่วนหนึ่งของประจวบคีรีขันธ์ด้วย มีเนื้อที่ครอบคลุมผืนป่ากว้างใหญ่ที่สุด อยู่ติดรอยต่อชายแดนพม่าและไทย สภาพป่าเป็นป่าเขตร้อนชื้น มีความสมบูรณ์ที่จัดอยู่ในระดับ primary forest ที่ไม่ถูกรบกวนโดยกิจกรรมของมนุษย์ และ secondary forest ซึ่งถูกรบกวนไปบ้างโดยกระบวนการธรรมชาติ หรือมนุษย์เข้าไปแทรกแซง จึงไม่ต้องสงสัยว่าทริปนี้ เป็นการไปดูนกและธรรมชาติที่ป่าต้นน้ำ ซึ่งมีอ่างเก็บน้ำเขื่อนแก่งกระจานและเขื่อนเพชร รายล้อมด้านล่างก่อนขึ้นพะเนินทุ่ง
เส้นทางสัญจร:ออกจากเมืองกรุง มุ่งเข้า จ. เพชรบุรี ใช้เส้น อ. ท่ายาง ระหว่างนั่งรถหันไปดูครอบครัวศิษย์รัก ขี้นรถก็หลับต่อได้ทันที พอเข้าเขตท่ายาง ฟ้าก็เริ่มสาง ชมบรรยากาศอ่างเก็บน้ำเหนือเขื่อน จากขุนเขาที่โอบล้อม ป่าต้นน้ำ บนเส้นทางเข้าไปยังอุทยานแก่งกระจาน สองข้างทางสะพรั่งไปด้วยดอกกัลปพฤกษ์ สีสวยหวาน น่ามองยิ่งนักในยามเช้า ทุกคนตื่นก็เมื่อรถเข้าไปยังที่ทำการอุทยานฯ เพราะมีป้ายขนาดใหญ่และสัญญลักษณ์นกตัวโต ๆ 2 ตัว ที่ป้าย ด้วยคำถามว่านกอะไรเอ่ย ??ถ้าไม่ใช่นกเงือกและนกกะลิงเขียดหางหนามก็ผิดไปหล่ะ โดยเฉพาะเจ้ากะลิงเขียดหางหนาม เจอได้ที่นี่ แก่งกระจานที่เดียวเท่านั้น !!! ขับรถขึ้นไปมองเห็นเขื่อน ผืนน้ำเวิ้งว้าง จากนั้นเส้นทางก็เริ่มจะเปลี่ยไปบ่งชี้ว่า นี่...เข้าป่าแล้วนะ ขับต่อไปก็ถึงด่านสามยอด (ตามแผนที่ระบุว่า กม. 0) จากด่านสามยอดถึงจุดชมวิวพะเนินทุ่งเป็นระยะทาง 30 กม. ซึ่งเป็นเส้นทางการเรียนรู้ ดูนก ชนิดของนกที่เจอได้ ในแต่ละระยะหลักกม.ต่าง ๆ ..
ลองทายดู...อะไร??รออยู่:
กม. 0: จากด่านสามยอด รายงานตัวการเข้าพัก เลือกว่าจะพักที่พะเนินทุ่ง หรือบ้านกร่าง จ่ายเงินทั้งค่ารถและค่ากางเต็นท์ (หากเอาเต็นท์มาเอง แต่ที่นี่ก็มีให้เช่า) ซึ่งทางอุทยานจะกำหนดจำนวนผู้เข้าพักที่พะเนินทุ่งเช่นกัน หากจำนวนมากเกินไปก็จะให้พักที่บ้านกร่าง ตอนแรกว่าจะพักที่ละ 1 คืนจะได้ทั้งสองบรรยากาศ แต่สุดท้ายชอบที่สูงค่ะ เลยพักที่พะเนินทุ่งทั้ง 2 คืน เก็บบ้านกร่างไว้ในฝัน...... รอวันมาเยือนใหม่.... คงไม่นานเกินรอ...
กม 10: ผิวถนนเปลี่ยนไป จากถนนลาดยางก็เริ่มจะขรุขระเรื่อยๆ มีธารน้ำไหลข้ามถนนเป็นช่วง ๆ ทำให้นึกถึงหน้าฝนตก คงสนุกไม่น้อย แต่โชคดีที่นี่จะปิดป่าไม่ให้เข้าในช่วงฝนค่ะ เปิดอีกครั้งก็ พย. โน่นน่ะ (จากการถามที่ร้านค้า) อย่างน้อยก็ได้ให้ป่าและสัตว์ป่ามีความเป็นส่วนตัวบ้าง ไม่ใช่ถูกสอดแนม แอบมอง จากเราท่านนักนิยมธรรมชาติทั้งหลาย...
กม. 15: ถึงที่ทำการ บ้านกร่าง ซึ่งเป็นที่พักกางเต้นท์ (camp site)ได้ที่นี่เช่นกัน ที่พิเศษสุดก็คือ เป็นแหล่งรวมผีเสื้อน้อยใหญ่ หลากสีสัน เราแวะที่นี่ขากลับ พบเจ้าตัวน้อยของนกโพระดก ผลุบ ๆ โผล่ๆ อยู่ในโพรงรังที่ต้นไม้ คงอยากผจญโลกด้วยตัวเองเต็มที่ ไม่อยากถูกป้อนอาหารอีกแย้ว ....ตัวนี้เห็นเต็มตา น่ารักมาก เลยเอาภาพมาฝากหนูมด....น้องเล็ก...กว่าใครในกลุ่ม สักวันหนูจะบินไปในโลกกว้าง :-))
กม.15-27: ทางลาดชัน เป็นระยะ ๆ มีป้ายบอกให้ใช้เกียร์ต่ำ ไหน ๆ เจ้า Prado ขับเคลื่อนด้วย 4 W อยู่แล้ว สุธนเลยใช้ 4 Low ซะหน่อย สงสารรถจัง….บางช่วงของเส้นทางมีป้ายโชว์รูปสัตว์ เช่น ช้าง เสือดาว ส่วน ลิง นก และอื่นๆ เส้นทางช่วงนี้มี ลำธารใหญ่ น้ำไหลผ่าน จึงมีสะพานคอนกรีต เป็น landmark ที่ดีสำหรับบอกหรือส่งผ่านข้อมูลการพบนกชนิดต่างๆว่าพบได้บริเวณไหน
ก่อนกลับบอกโก้ไว้ว่ายังไง...หาทางถ่ายรูป นกหัวขวานไปฝากหนุ่มบอยหน่อย ก็นกตัวโปรดของบอย นี่นา ...ขณะที่นั่งรถขากลับ พลันได้ยินเสียงโก้ ร้องลั่น เสียงระรัว หลายๆ ครั้ง สไตล์โก้ที่เราคุ้นเคย บอกพี่สุธนว่า จอด จอด ๆ ๆ ด้วยอาราม...งง.. งง!!ของพี่สุธน...คงไม่คุ้นเคยอาการตื่นเต้นของคนเห็นนกตัวโปรด... โก้บอกว่า พี่สุธน..ไปอีก ไปอีก.... จอด ...เราทั้งสามคนชาวบูรงตานี่ กระโดดจากรถคว้าอุปกรณ์ลงไป ปฏิบัติการทันที แล้วเราก็ได้เห็น โก้ลั่นชัตเตอร์ซะหลายภาพ ทายซิเราได้ภาพนกอะไร?? ก็เจ้า Flameback นี่ไง....แถมเราก็ได้รับการบอกเล่าเช่นกันว่า บริเวณสะพาน 1 มี นกพญาปากกว้าง (Broadbill) เห็นว่าไม่ตื่นคนเลย ไกด์ที่โชว์รูปให้ดูบอกว่า ขนาดถ่ายรูปจากกล้องมือถือยังได้ภาพแจ่มๆ ของ Black and Red broadbill… ค่ะบอย ว่าจะเอารูปมาฝาก ซะหน่อย.... ยังจำได้ติดตาว่าบอยตื่นเต้นมากเมื่อคราวเจอ Broadbillที่ทะเลบัน.... ขออำภัย ไม่สามารถเอารูปมาฝากได้ ... ต้องมาใหม่ค่ะ. ..คราวต่อไปต้องมาด้วยกันซักครั้งดีไหม๊ค่ะ ???
กม. 27: เดินดูนกได้ไปตามท้องถนน ลาดชันเป็นระยะๆ แต่ทีมเราก็ให้รถติดตามมาด้วย หยุดจอดเดินเป็นช่วง ๆ นกบินไปบินมา แล้วแต่จะหาทันหรือไม่ เหลียวไปเห็น Tree fernคิดถึงหนูปิ๊กทันใด ถ่ายภาพใบอ่อนม้วนงอ บอกได้ว่าเป็นเฟิร์นจริง ๆ เฟิร์นยุคจูแรสสิค หนึ่งในต้นไม้โปรดของน้อง ก็เจอได้ที่นี่เช่นกัน เท่าที่ไปเที่ยวมา 4 ป่าดิบชื้น ได้แก่ กรุงชิง บาลาฮาลา เขาเจ็ดยอด เรียกได้ว่า tree fern เป็นต้นไม้ร่วมสมัยจริง ๆ เรียกว่า Contemporary tree fern ได้ไหม๊??..คงมีสักครั้งอยากให้น้องไปดูด้วยตนเองค่ะ...
กม. 27-30: อีก 3 กม. ถึงจุดที่พักกางเต็นท์ มี trail เส้นทางชมกล้วยไม้ (จริงๆ แล้วในแต่ละกม. มี trailแทรกเป็นช่วง ๆ แต่เรายังไม่ได้สำรวจ เลยไม่ได้นำมาเล่า) ที่นี่หล่ะ ถ้าโชคดีก็จะได้เห็นนกกะลิงเขียดหางหนาม (Ratchet-tailed Treepie) ซึ่งเราดีใจมากที่ได้เห็นนกถึงสองตัวบินไปมาอย่างมีความสุขในป่า โผจับกิ่งต้นโน้น ต้นนี้ ราวกับรู้ว่ามีใครเฝ้าชม เราก็สุขใจด้วย จริง ๆ แล้วก่อนจะเห็นนกตัวนี้ น้องกาญจน์แอบกระซิบว่า....มาแล้วอาจารย์ สงสัยว่าอะไรมา??? เพราะน้องเรียกชื่อไม่ถูกนัก เดาว่าน่าจะเป็นตัวที่เราภาวนา รีบมองหาทันที โอ๊ะโอ๋.....ไม่ผิดหวัง .ทั้งนกไต่ไม้หน้าผากกำมะหยี่ ทำงานกินแมลงกันขยันขันแข็ง และ เจ้ากะลิงเขียดหางหนาม สุขใดไหนจะปาน บริเวณนี้มีค่างแว่น พบได้ที่สตูลเช่นกัน (อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะเภตรา) ตอนไปเกาะลิดีค่ะ..น้องนก .ของดีบ้านน้อง....แต่ตอนนั้นน้องนกจะรู้ไหม๊นี่...ออกจะวุ่น ๆ หลายเรื่อง คราวนี้เอาความน่ารัก หน้าตาบ้องแบ๊ว มาฝาก สิ่งที่น่ารักก็คู่กับคนน่ารัก.:-))ตัวลูกวัยอ่อนสีส้มแดงเกาะท้องแม่ สีตัดกันเห็นชัดเจน น่ารักมาก. เห็นทุกทีก็เพิ่มความชอบทุกที. ตอนเย็นเดินเล่นชมนก ชมไม้ ก็มีนกเงือก (นกกก) หลายตัวบินไปมา ส่งเสียงร้องโต้ตอบ ชวนตื่นเต้น เพราะเห็นหลายตัว ก่อนฝนเทลงมาอย่างหนัก (แต่ไม่นาน) หลังจากอากาศอบอ้าวมาตลอดทั้งบ่าย คลายร้อนไปได้ดีทีเดียว ซักแป๊บเดียวหมอกก็ลอยมาตรึมเลย ...ในหุบเขา ..ธรรมชาตินี้แสนยิ่งใหญ่และอัศจรรย์จริงๆ
กม. 30: จุดที่เรากางเต็นท์ เป็นลานกว้าง ซึ่งมีห้องน้ำสะดวกอยู่ไม่ไกลจากลานที่พัก การมาเยี่ยมพะเนินทุ่งในช่วงนี้ ถือว่าดีมากเพราะมีคนน้อย ดีสำหรับการได้ชื่นชมธรรมชาติเต็มอิ่มไม่ถูกรบกวนมากนัก ที่ลานกางเต็นท์ หมอกลงหนักมาก น้ำค้างชุ่มหลังคาผ้าคุลมเต็นท์ ขนาดโผล่หน้าออกมาจากเต็นท์ก็เรียกได้ว่า จินตนาการเป็นทะเลหมอกได้ทันที ไม่ต้องไปจุดชมวิว ที่นี่มีร้านอาหารที่อร่อยได้รสชาติ มีโต๊ะที่นั่งรายล้อมด้วยไม้ใหญ่ มีนกให้ดูในทุกทิศทาง (360 องศา แล้วแต่จะมองมุมไหน??) ห่างไปไม่ไกลก็เป็นจุดชมวิว ทะเลหมอก 974 เมตรจากระดับน้ำทะเล ซึ่งจุดสูงสุดของพะเนินทุ่งระบุไว้ว่า 1,207 เมตร ความสูงเป็นที่สองในเทือกเขานี้
กม. 36: จุดชมวิวทะเลหมอกอีกหนึ่งจุด ซึ่งต้องขับรถลงมาทางลาดชัน เรานั่งชมธรรมชาติแบบภาพพานอรามาของเทือกเขาสูงเสียดฟ้า รอตะวันบอกลา ถัดไปไม่ไกลเป็นทางลงไปยังน้ำตกทอทิพย์ เราใช้กระบวนท่าสุริยะนมัสการ ทุกที่เมื่อมีโอกาสต้อนรับและส่งกลับตะวัน ยามเช้าและยามเย็นก็คิดถึง adminเพราะชอบแสง สี ศิลป์ การถ่ายภาพ เห็นบอกว่าให้ถ่ายภาพมาฝาก ได้เลยค่ะจัดให้ ทั้ง Nikon DSLR 90 & 7000 มีให้ ลั่นชัตเตอร์ ....แฮ่ๆ ....ถึงว่าจะมือใหม่แต่ก็มีมือโปร หลายคนในทริบนะ... ฝืมือนะมี เพียงแต่ยังไม่คุ้นกล้อง..ทั้งของส่วนตัวและส่วนรวม...ถ้าภาพไม่ถูกใจ..คงต้องมาแสดงฝีมือเอง รอการจัดทริบมาด้วยกันที่นี่อีกสักครา...ว่าแต่จะเป็นเมื่อไหร่...สำหรับหนุ่ม indoor??
สะตอต้นใหญ่: ..เกือบลืมไป ช่วงที่เดินทางลงไปน้ำตกทอทิพย์ได้ 1 กม. ก่อนมืด (เราไปไม่ถึงน้ำตก เพราะระยะทางไปน้ำตก 4 กม.) ขณะเดินเนื่องจากทางชันมาก เรียกเหงื่อได้เต็ม ๆ แถมอาการหอบอีกพองาม ขณะพักแหงนมองขึ้นไปดูนก แต่กลับเจอต้นสะตอ..มีฝักระย้าเต็มต้นเลย แต่เอ!!.... เห็นต้นเดียวนะ..ชาวปักษ์ใต้-พวกสะตอ....ถึงบางอ้อเลย เพราะมีรายงานว่า ด้วยสภาพทางภูมิศาสตร์ของแก่งกระจาน มีเทือกเขารายล้อม และแนวตะนาวศรีที่ทอดยาวเรื่อยไปทางใต้ ทำให้อุทยานแห่งชาติแก่งกระจานนี้เป็นที่รวมของนกเหนือและนกใต้ อีกทั้งสัตว์น้อยใหญ่ที่ใช้เส้นทางนี้ มีอิสระเสรีในการไปมาหาสู่ใช้ชีวิตในบ้านกว้างใหญ่จริง ๆ...เราก็ได้เห็นและพิสูจน์ทราบจากการไปใช้ชีวิตที่นั่นบอกได้ว่า Heaven is a place on Earth!!! (โปรดติดตามตอนที่ IIต่อไปเร็ว ๆ นี้ ว่าเราใช้ชีวิตทำงาน??ที่พะเนินทุ่งยังไง...เผื่อจะได้เพิ่มในลิสต์ของตนเองว่าอยากไปที่บ้าง)