วัน-คืนสดชื่นในเต็นท์: ณ. ลานกางเต็นท์เขาพะเนินทุ่ง วันแรกที่เรานอนมีเต็นท์หลายประเภท รวมทั้งของกลุ่มเรา (2 หลัง) เต็นท์ของอุทยานที่ถูกจองมาเป็นกลุ่ม อีกทั้งเต็นท์ของนักท่่องเที่ยวทั้งของคนไทยและต่างชาติ
มองเห็นเต็นท์ขนาดเล็ก ใหญ่ สีสันสดใส หลากหลายดีไซน์ แต่หัวใจของการกางเต็นท์นอนก็คือ ได้ความรู้สึกเปลือยใจ สัมผัสธรรมชาติขณะพักนอน และจะรู้สึกเช่นนั้นทุกครั้งที่ได้นอนเต็นท์ท่ามกลางธรรมชาติ..
ที่พะเนินทุ่งก็เช่นกัน หลังจากไฟฟ้าดับสนิทช่วง 4 ทุ่ม ปล่อยให้เราสัมผัสความมืดยามค่ำคืน แหงนดูดาวแจ่มจรัสฟ้า สนทนาหยอกล้อกัน เรื่องเล่าที่เหมาะกับการสร้างจินตนาการประกอบความมืด ก็จะถูกนำขึ้นมาสร้างความบันเทิง หรือเพิ่มความประหวั่นพรั่นพรึง (หนูกาญจน์..ไม่ชอบเลย..เสียงอ่อย ๆบอกว่า พอนะ..น่ากลัวค่ะ....นั่งระยะประชิดกับหวานใจ..ไม่ห่างโก้เลย...) เรามองหาดาวจระเข้ ช่วงนี้ยังไม่ขึ้นมาเลย นึกถึงบทสักวาสมัยเด็ก ๆ “สักวาดาวจระเข้ก็เหหก ศรีษะตกหันหางขึ้นกลางหาว....”(ในที่สุดก็เห็นตอนใกล้รุ่ง) ทุกชีวิตต่างเข้าสู่ mode ของการพักผ่อนนอนหลับ คืนนี้กล่อมตัวเองด้วยเพลง dream a little dream of me…
เสียงเพรียกจากพงไพร: ก่อนนอนได้ยินเสียงร้องของช้างป่าไกล ๆ (นักท่องเที่ยวบางคนเล่าว่า ไม่คุ้นเคยกับการได้ยินเสียงช้างป่าก็กลัว ๆ เช่นกัน)กลุ่มเรานอกจากตัวเองก็มิมีใครกล่าวถึง ฮืม!! เคยชินกับการอยู่ป่าหรือว่า นอนหลับสบาย??ตื่นเช้าก่อนสาง นอนฟังเสียงนกเงือก (นกกก) ส่งเสียงร้องต่อเนื่อง นอนนับได้ 50 ครั้ง นับว่าเป็นการให้พร (Blessing) ในการเริ่มวันใหม่ที่ยิ่งใหญ่ ..ก็พรจาก Great Hornbill เชียวนะ great …great great!! วันนี้จะไปหาดูตัวให้ได้ ครั้นโผล่หน้าออกมาจากเต็นท์ ก็รับไอเย็นของหมอก และน้ำค้างที่ชุ่มหลังคาเต็นท์ที่ปูผ้ากันน้ำค้างไว้อีก 1 ชั้น เพ่งมองฝ่าหมอกที่ลงหนามาก ไปยังทิศตรงข้ามเพื่อนบ้านข้างเต็นท์ บ้างก็ต้มน้ำกับชุดสนาม คงเตรียมกาแฟมื้อเช้า ที่สุดแสนส่งกลิ่นยั่วยวนมายังเต็นท์เรา หลับตาแล้วฝันได้ยินว่า..breakfast’s served in bed…..
ภาระกิจหลักประจำวัน: หลังตื่นนอน แวะไปแตะ้น้ำ โอ๊โอ๋......น้ำเย็นจับขั้วหัวใจอย่างงี้ เมื่อคืนก็พิสูจน์ทราบไปหนึ่งครั้งแล้ว เลยปล่อยให้น้ำทำหน้าที่อย่างซื่อสัตย์เพียงแค่แปรงฟันและล้างหน้า เข้าห้องน้า ยังคงสัมผัสความเย็นต่อไปด้วยการเดินไปจุดชมวิวก่อนรุ่งอรุณ ฝ่ากลุ่มหมอกที่หนาจัดบริเวณลานกางเต็นท์ ยังไม่มีนักท่องเที่ยวออกมา เลยสูดอากาศบริสุทธิ์สดใสเต็มปอดขณะเดินขึ้นไปยังทะเลหมอก รอสักครู่พอสางเห็นหมอก ลอยอ้อยอิ่ง ไอเย็นแทรกผิวกายมิวายต้องกระชับผ้า ด้วยหมอกเพิ่งจะเริ่มก่อตัวทำให้ช่วงนี้ทะเลหมอกดูยังไม่เวิ้งว้างมากนัก บางครั้งหมอกเต็มพื้นที่ก็จะไม่เห็นป่า โผล่ให้เห็นเพียงยอดเขา เสมือนเป็นเกาะน้อยใหญ่ในทะเล แสงแรกจากตะวันเรื่อ ๆ อวดตัวขึ้นมาจากขอบฟ้า ทำให้ภาพทะเลหมอกเปลี่ยนไป ทันใดได้ยินเสียงจากชาวคณะนักท่องเที่ยวที่มาเยือน คงเป็นกลุ่มแรกที่ขึ้นพะเนินทุ่งวันนี้ ปล่อยให้เขาชื่นชมความสวยงาม เราก็เดินกลับลงไปที่เต็นท์พร้อมกินอาหารเช้าที่มีอยู่ตามใจฉัน หลังจากนั้นก็เดินท่องไพรดูนกทั้งวัน เที่ยงก็แวะมากินอาหารหลักของโก้ คือข้าวสวย หลังจากนั้นก็ชื่นชมธรรมชาติต่อไป สุขใจจริงๆในการทำหน้าที่วันนี้..แฮ่ๆ..การเข้าป่าครั้งนี้้ถือเป็นการทำงานนะ.:-))
ชีวิตน้อยนิด-ธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่:การทำงานที่ชอบและรักเป็นสิ่งที่สนุกมากอยู่แล้ว ยิ่งได้มีโอกาสอยู่ท่ามกลางธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ ไร้ความกังวลใดๆ ก็จะเป็นโอกาสได้ใช้ใจสัมผัส และรู้สึกกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างดี ครั้งหนึ่งได้สนทนาธรรมะกับพ่อ ท่านเริ่มด้วยการถาม “ลูกชอบธรรมชาติ???” แล้วธรรมชาติหมายถึงอะไร หลังจากปุจฉาวิสัชชนาพอประมาณ ท่านให้ข้อคิดว่า ความหมายของ “ธรรมชาติ” คือการทรงไว้ซึ่งการเกิด (ธรรมะ คือการทรงไว้, ชาตะ คือการเกิด) สัจจธรรมที่ได้เรียนรู้ในทริบนี้ก็คือ ทรงไว้ซึ่งการเกิด/ดับตลอดเวลา..เกิดขึ้นที่ไหน?? ก็ที่ ตา...หู จมูก..ลิ้น..กาย..ใจ...การมาเรียนรู้ อยู่ป่าที่พะเนินทุ่ง 3 วัน 2 คืน จึงถือโอกาสฝึกให้รู้ตัว ตามรู้ สิ่งที่เกิด/ดับ ที่สัมผัส โดยทันที่ที่เข้าพะเนินทุ่ง ตาเกิดภาพ เห็นภาพของป่า เทือกเขาเรียงรายสลับเสียดฟ้า จมูกได้กลิ่นไอของความหอม ความสดชื่น หูได้ยินเสียงนกร้อง กายรับรุ้ว่านอนในเต็นท์สบาย ใจรู้ได้ว่าชอบ คิดถึงคนอื่นๆ ว่าอยากให้มาด้วยกัน สักประเดี๋ยวก็เปลี่ยนไปขึ้นอยู่กับสิ่งที่มากระทบ..ทำอย่างไรให้ตามรู้ ?? นั่นคือพลังธรรมะ-กับธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งได้เรียนรู้ ฝึกปฏิบัติและปรับใช้กับทุกๆเรื่องในชีวิตประจำวัน
(ตอนต่อไปใน species list เรามีนกอะไรมาฝากจ๊ะ??)