“Where there is a will…there’s a way.” เมื่อไม่นานมานี้ ข่าวใหญ่ในวงการช่วยชีวิตชาวเหมืองถ่านหิน ทำให้โลกเห็นความดี ความงามในจิตใจคน ที่มวลมนุษยชาติได้ร่วมใจกันแก้ปัญหาเพื่อชีวิตที่รอความหวังใต้พื้นพิภพ จนช่วยชีวิตชาวเหมืองถ่านหินที่เมืองซานโฮเซ่ (San Jose) ประเทศชิลีออกมาได้ (http://www.nytimes.com/2010/10/13/world/americas/13chile.html?pagewanted=all&_r=0) และมีโอกาสมาเล่าเรื่องที่ระคนด้วยความสุข (ที่ได้รอดพ้นภาวะอันอึดอัด และได้กลับมาอยู่ท่ามกลางคนที่รักและรอคอย) ความศรัทธา (ที่มีต่อหัวหน้างานที่มีทั้งการกระตุ้น ให้กำลังใจ และเสริมแรง ในภาวะที่สติกำลังจะควบคุมไม่อยู่) สุดท้าย หวาดผวา (กับภาวะน่าสะพรึงกลัว เกือบ 68 วันใต้พื้นพิภพที่รอการช่วยเหลือ ) น่าชื่นชมมากในด้านหนึ่ง แต่อีกด้านหนึ่งก็พึงระวัง คิดทบทวนในด้านความปลอดภัยของผู้ที่ทำงานในเหมืองถ่านหินอีกต่อไปๆๆ ....ย้อนกลับไปดูเรื่องราวของชีวิตทั้งนกและคน..กับเหมืองถ่านหิน
“Glory of industrial revolutionary era” การทำเหมืองถ่านหินเป็นวิถีดั้งเดิมที่มนุษย์ใช้พลังงานมาจากซากพืชซากสัตว์ที่ทับถมและถูกเปลี่ยนแปลงตามสภาพการเปลี่ยนแปลงของโลกในระยะเวลายาวนาน แถบประเทศทางตะวันตกเช่น ยุโรป (อังกฤษ ไอร์แลนด์) อเมริกากลาง (ชีลี เปรู) แถบเอเซีย (จีน) และ ทวีปออสเตรเลีย (นิวเซีเลนด์) มีลักษณะพื้นที่ ที่มี seam ของถ่านหิน เป็นบริเวณกว้าง มีปริมาณมากพอ และเหมาะที่จะทำเหมือง วิถีการขุดถ่านหินมาใช้มีมากขึ้นตั้งแต่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมที่เริ่มต้นในสหราชอาณาจักรอังกฤษ ในช่วง คศ. 18-19 ตั้งแต่การเริ่มประดิษฐ์เครื่องจักรไอน้ำ ซึ่งเป็นผลงานของ ยอร์ช สตีเฟนสัน และ เจมส์ วัตต์ ต่างสร้างและพัฒนาต่อเนื่องกันมา และในครั้งกระโน้น ก็ต้องใช้พลังถ่านหิน มาใช้ในเครื่องจักรไอน้ำนั่นเอง ถ้าใครยังนึกถึงภาพ ปักษ์ใต้บ้านเรา ก็คือสมัยที่หัวรถจักรไอน้ำ ซึ่งเป็นผลงานเลื่องชื่อของ สตีเฟนสัน ใช้สำหรับลากขบวนรถไฟอันยาวเหยียด ให้เคลื่อนไปตามรางรถไฟจากกรุงเทพฯ สุดสายปลายทางหาดใหญ่ ยะลา หรือ นราธิวาส
“Be prepared for the worst” การทำเหมืองถ่านหิน จึงมักจะขุดลึกลงไปจากพื้นผิวและจะต้องเปิดเหมืองที่มี seam ของถ่านหินแทรกอยู่เป็นชั้น ๆ ต้องใช้ระเบิดเปิดเหมืองต่อไปเรื่อย ๆ ต้องขุดอุโมงค์เพื่อให้ขนส่งถ่านหินที่ขุดได้ออกมา การทำงานต้องอยู่ภายใต้สภาวะที่แคบ ร้อน และมีออกซิเจนจำกัด ถึงแม้จะมีการส่งท่อออกซิเจนจากพื้นผิวผ่านลงไป อีกทั้งต้องใช้เครื่องมือในการสูบน้ำออกจากเหมือง การใช้ไม้ค้ำยันช่องอุโมงค์ไม่ให้ถล่มลงมา ขณะที่ฝ่ายเปิดหน้าเหมืองทำงาน รวมถึงการจัดการกับก๊าชพิษที่เกิดขึ้นเฉพาะบริเวณ ฉะนั้นการทำงานต้องมีการทำงานเป็นระบบ มีขั้นตอนที่ต้องปฏิบัติตนเพื่อความปลอดภัย และต่อกรณีฉุกเฉินอย่างเคร่งครัด ถึงกระนั้นก็ตามยังมีข่าวความปลอดภัยของชาวเหมืองปรากฏให้ติดตาม
That’s cool !!!!! ทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้น เป็นสิ่งที่ได้เรียนรู้จากการเข้าไปในเหมืองถ่านหินขนาดใหญ่ที่ Wales, The Big Pit National Coal Museum ซึ่งมีชื่อเสียงมานานในการผลิตถ่านหินมีคุณภาพ ในขณะที่เผาไหม้มีเถ้าเหลือน้อยจึงเหมาะสมที่จะใช้กับเครื่องจักรไอน้ำในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เป็นความภูมิใจของชาวเหมืองที่นี่ และทำให้เมือง Cardiff ซึ่งเป็นเมืองหลวงของแคว้นเวลส์และเมืองท่าที่ยิ่งใหญ่ในอดีต เรือบรรทุกระวางน้ำลึก เข้ามาขนส่งถ่านหินไปขายทั่วโลก แต่ในที่สุดก็ได้ปิดทำการไปตามวิถี ที่เปลี่ยนไป ปัจจุบัน the Big Pit เป็นพิพิธภัณฑ์เหมืองถ่านหินที่ จัดให้ผู้เข้าชมได้ลงไปสัมผัสประสบการณ์ตรงได้ที่ลึกลงไป 90 เมตร โดยผู้เข้าชมจะได้เริ่มใช้ชีวิตตั้งแต่การเข้าไปอยู่ในกระเช้า (cage) ดั้งเดิมที่ได้นำชาวเหมืองลงไปทำงานในอุโมงค์ เราต้องยืนเรียงตัวให้ได้เท่ากับที่ชาวเหมืองยืนได้จริง ๆ สวม head lamp อุปกรณ์แบบชาวเหมือง สภาวะเหมือนถูกให้อยู่ในที่แคบ ๆ อยู่ในลิฟท์และมืดนานพอที่จะนึกภาวนา หรือจินตนาการอะไรต่าง ๆ เมื่อลงไปก็จะได้ทราบขั้นตอนทุกอย่างที่ชาวเหมืองไปปฏิบัติ ทุกคนรู้สึกเหมือนได้เป็นผู้ทำงานร่วมกันในกะ (shift) นั้น และแล้วฉันกับเจ้านกคานารีก็เจอกัน
Mercy bird… at work นกคานารี (Miner’s canary bird) ดูจะเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวที่ถูกคัดสรรให้ลงไปพร้อมกับชาวเหมืองถ่านหินในแต่ละกะ (shift) ที่ทำงาน ชีวิตจริงในวันนั้น จะมีเด็กน้อย ลูกหลานชาวเหมือง ได้รับหน้าที่อันยิ่งใหญ่ ฝึกรับผิดชอบตั้งแต่วัยเด็ก ทำหน้าที่ถือกรงนกที่มี เจ้าคานารี สีเหลือง ร้องเสียงสดใสตามลงไปด้วย เด็กน้อยและนกน้อย ก็จะทำหน้าที่ นั่งประจำที่หน้าอุโมงค์ หรือในตำแหน่งที่กำหนดไว้ ห้ามหลับ มีหน้าที่คอยสังเกตดูนก ภายในกรงนก เจ้าคานาีรี่ที่เกาะคอนอยู่ก็จะร้องส่งเสียงตามประสานกคานารี ซึ่งลักษณะดังกล่าว บ่งบอกถึงความปกติ และ หากมีความผิดปกติที่จะเกิดขึ้นกับตัวนก ก็จะสังเกตการเปลี่ยนแปลงได้ง่ายด้วยตา (มองเห็น) และหู (ฟังเสียง)
Bird as bio-indicator การทำเหมืองถ่านหิน จะมีปริมาณของก๊าซพิษหลายชนิดเกิดขึ้นในขั้นตอน เช่น มีเทน เป็นก๊าซที่ไม่มีสี ทำให้สังเกตยาก มองไม่เห็น อีกทั้งมีความเป็นอันตรายสูง ซึงก๊าชมีเทนจะมีคุณสมบัติเบากว่าอากาศ นั่นหมายความว่าจะพบก๊าซดังกล่าวบริเวณพื้นที่ส่วนบนในท่ออุโมงค์ ที่ขุดลอดขนานไปกับพื้นดิน เป็นพื้นที่ทำงานของชาวเหมือง ส่วนผสมของมีเทนที่มากขึ้นรวมกับอากาศในเหมืองเป็นสาเหตุที่จะทำให้เกิดการระเบิดได้ง่าย วิธีการที่จะช่วยลดความเข้มข้นของก๊าชมีเทน ทำได้โดยการเติมอากาศจากข้างบนลงไป หากก๊าซพิษสะสมภายในอุโมงค์เกินกว่าที่มนุษย์จะรับได้ สัตว์ชนิดอื่น เช่นนกคานารีซึ่งมีความไวต่อก๊าซพิษเร็วกว่ามนุษย์ ความเป็นพิษของก๊าซดังกล่าวทำให้นกเริ่มเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ ไม่ส่งเสียงร้อง เหงาหงอย ส่ายตัวไปมา และสุดท้ายก็จะตกลงมาจากคอน ในกรณีที่ก๊าซพิษสะสมมากขึ้นนกก็จะตาย (That was sad ) นกคานารี่จึงเป็นตัวบ่งชี้คุณภาพของอากาศที่เลวร้ายลง หากเหตุการณ์เกิดขึ้นจะมีการแจ้งสัญญานเตือนเพื่อให้ชาวเหมืองหนีออกจากบริเวณนั้น
“Canary in a coal mine” ?? เมื่อได้ยินคำกล่าวข้างต้น นั่นก็เป็นอุปมาอุปมัยว่า ใครที่ได้ทำหน้าที่เตือนภัย ก่อนที่จะมีภัยอันตรายจะมาถึง ดั่งเช่นนกคานารีในเหมืองถ่านหิน จึงมีข้อสังสัยว่าสัตว์ชนิดอื่นใช้ไม่ได้หรือที่จะติดตามความผิดปกติจากการสะสมก๊าซพิษในอุโมงค์เหมือง จริง ๆ แล้วจากการทดสอบสัตว์อีกหลายชนิด ที่จะทำหน้าที่อันยิ่งใหญ่นี้ ตัวหนูแรทก็ไวต่อการตอบสนองต่อก๊าซพิษเช่นกัน แต่การสังเกตในนกคานารีเห็นได้ชัดเจนกว่าในหนูแรท ความดีจึงยกให้นก คานารี ที่ยืนหยัดทำหน้าที่อย่างซื่อสัตย์ต่อไป แต่ต่อมาไม่นานเมื่อมีการประดิษฐ์เครื่องมือที่จะดักจับก๊าซพิษได้ดี หน่วยงาน MSHA (Mine Safety Health Adminstration)จึงยกเลิกการใช้นกคานารีในการทำงาน แต่ที่ Big Pit, Wales ก็ยังเลี้ยงนกชนิดนี้เอาไว้ เพื่อเป็นสัญญลักษณ์ของวิถึชีวิตชาวเหมืองถ่านหินที่นั่น