Goooooo….d morning Vietnamเสียงทักทายที่เป็นเอกลักษณ์ประจำตัวดีเจของสถานีวิทยุแห่งนี้ ทำหน้าที่กระจายข่าวสารและเสียงเพลงไปยังหมู่ทหารที่ปฏิบัติการในสมรภูมิรบที่เวียดนาม (ดีเจซึ่งแสดงนำโดย Robin Williams) จากภาพยนต์เรื่องดัง Good Morning Vietnamทำให้หลายคนนึกถึงเวียดนามในมิติของภาพยนต์ตลกแต่เศร้า
นอกจากที่จะรู้จักเวียดนามทางภาพข่าว สื่อต่าง ๆทั่วโลก ร่วมประโคมข่าวสงครามระหว่างเวียดนามเหนือและใต้ หรือผลพวงจากสงครามจากการยกพลขึ้นบกของทหารจีไอ (G.I., Government Issued) ที่พัทยา สัตหีบ ชลบุรี สนามบินอู่ตะเภา เข้ามาอาศัยบริเวณอีสานบ้านเฮาแถบอุดรธานีและใกล้เคียง ก่อให้เกิดปัญหาทางสังคมต่อเนื่องในเมืองไทย แม้แต่ภาพพระสงฆ์ใช้น้ำมันราดตัว เผาไฟประท้วงสงคราม สร้างความสะเทือนขวัญไปทั่วโลก หรือภาพเด็กผู้หญิงทิ่วิ่งหนี ผวาสุดชีวิตจากระเบิดนาปาล์ม ทั้งเนื้อทั้งตัวปราศจากเสื้อผ้าปกปิด เป็นเพราะฉีกขาดจากแรงระเบิด และสุดท้ายในฐานะนักพิษวิทยาที่เรียนรู้ความหายนะของการใช้สารเคมีที่เรียกกันว่าฝนเหลือง (agent orange) ฉีดโปรยจากเฮลิคอบเตอร์ลงมาในป่า เพื่อทำลายที่หลบซ่อนของฝ่ายเวียดกง ก่อให้เกิดความเป็นอันตรายและความเสี่ยงมากมายต่อชีวิตและสิ่งแวดล้อม มีประจักษ์พยานความเสียหายจวบจนปัจจุบัน ความทรงจำเหล่านี้ผุดขึ้นมาเป็นระลอก ๆ เหมือนคลื่นที่ก่อตัวถาโถมในความคิด ก่อนตัดสินใจไปเที่ยวเวียดนามแบบละวางทุกอย่างไว้ข้างหลัง เปิดใจยอมรับทุกอย่างที่เข้ามา..... หัวเราะ ยิ้มรับกับสิ่งที่เจอต่อไปข้างหน้า ใฝ่หาที่จะเรียนรู้ และอยู่กับความแตกต่างอย่างลงตัว..
2010 อายุครบ1000 ปี..... เมืองฮานอยฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่เวียดนามจึงเป็นที่รู้จักมากขึ้นในมิติต่างๆนอกจากสงคราม ด้วยประชากรจำนวน 80กว่าล้านคน และมีพื้นที่น้อยกว่าประเทศไทยมาก (0.6 เท่า) แต่เป็นประเทศที่ร่ำรวยด้วยความหลากหลาย (diversity) ทางเชื้อชาติ วัฒนธรรม ความเชื่อ และสวยงามของธรรมชาติ ทว่ากว่าจะฟื้นตัวจากความหายนะยามสงครามแต่ละยุคสมัย ตลอดระยะเวลายาวนานในประวัติศาสตร์ ตั้งแต่การยึดครองโดยจีน ญีปุ่น หรือตกเป็นเมืองขึ้นสมัยล่าอาณานิคมของฝรั่งเศส คงเป็นอุทาหรณ์สำหรับบ้านเมืองเราที่กำลังระส่ำระสาย รักกันไว้เถิด ขออย่าได้มีวันแห่งความอาดูรอย่างเฉกเช่นประเทศเพื่อนบ้านเลย
จากสุวรรณภูมิสู่นอยไบ...ตี4 ออกเดินทางจากบ้านบางกรวยไปยังสนามบินสุวรรณภูมิ แหล่งนัดพบของพลพรรคบริเวณ หน้าเคาท์เตอร์เช็คอินสายการบินแอร์เอเชีย Airbus 320 เที่ยวบิน FD3700,นำพาเรา 6 สหาย พร้อมผู้โดยสารเกือบเต็มลำ บินลัดเลาะข้ามไปทางเหนือของไทย และลาว แล้วเข้าเวียดนามตอนเหนือ ก่อนเครื่องลงแตะรันเวย์สนามบินนอยไบ (Noibai) โดยใช้เวลาบินประมาณ 1:45 นาที อากาศวันนั้น (16/05/2554) ดีมาก ด้วยอุณหภูมิ 25 Cสบาย ๆ เป็นช่วงฤดูร้อนของเวียดนาม ถ้าในช่วงหนาวบริเวณตอนเหนือของฮานอย แถวๆ สาปา จะมีหิมะตกเพราะเป็นพื้นที่ชายแดนติดกับประเทศจีน โชคดีไม่ต้องปรับเปลี่ยนเวลา เนื่องจากใช้ time zoneเดียวกันกับบ้านเรา
จากสนามบินนอยไบสู่ฮานอย ลงจากเครื่องยังไม่ทันจะหายหูอื้อ ก็ต้องมีผจญกับมลภาวะทางเสียงที่ไม่คุ้นเคย จากสียงแตรที่ใช้กันฟุ่มเฟือย และวิธีการขับรถอันน่าทึ่งของชาวเวียดนาม นั่งไปก็ลุ้นไป รู้สึกว่าเท้าจะต้องแตะเบรกไปด้วย ประเทศเวียดนามใช้ระบบการจราจรสไตล์ยุโรปแถบcontinental เช่นในฝรั่งเศส คือรถใช้พวงมาลัยซ้าย เราก็เลยต้องปรับตัวกับระบบการจราจร การเดินทางเท้าในเวียดนาม ระหว่างเดินทางมุ่งสู่เมืองฮานอยซึ่งห่างจากสนามบิน 40 กม. ก็มองเห็นการเร่งก่อสร้างอาคารขนาดใหญ่ รวมถึง Warehouse ของบริษัทยักษ์ใหญ่ในค่ายต่าง ๆ ในขณะที่ตึกสูงขนาด 70 ชั้นกำลังก่อสร้าง ก็เป็นที่ชี้เชิญชวนให้ชม บ่งบอกความภูมิใจ แท๊กซี่ขนาดใหญ่ นำพาผู้โดยสาร 6 คนผ่านสะพานและลำน้ำสายใหญ่ แม่น้ำแดง(Red River)แห่งเมืองเวียดที่มีพื้นที่รายล้อมเขียวชอุ่มไปด้วยไร่ข้าวโพด ผักต่าง ๆ และกล้วย มีให้เห็นดาษดื่น สภาพถนนที่นำเราเข้าตัวเมืองฮานอยซึ่งห่างจากสนามบินนอยไบเพียง 40 กม. ด้วยมีพื้นที่น้อยแต่ประชากรมาก สังเกตว่าบ้านเรือนจึงถูกออกแบบให้สร้างขึ้นมาเป็นทรงสูง ๆ หน้าต่างก็แทบจะไม่เห็น จนผิดสังเกตว่าจะเป็นบ้านนกแอ่นกินรังในปัตตานี??หรือบ้านคนกันแน่ และได้รับคำบอกเล่าว่าราคาที่ดินในฮานอยแพงมาก แพงเป็นอันดับสองรองจากโตเกียว
ใจกลางเมือง (city centre) หลังจากเข้าพักในโรงแรมที่สะอาดและมีเครื่องอำนวยความสะดวกในระดับโรงแรมมาตรฐาน เรานั่งรถเข้าไปยังใจกลางเมือง บริเวณที่เรียกกันว่า ฮานเกี่ยม (Han Giam lake) ทะเลสาบคืนดาบ (restored sword) ซึ่งมากด้วยตำนาน สามารถฟื้นคืนดาบ มีทั้งวัดและสะพานที่มีชื่อภายในสวน ที่นี่ใจกลางเมืองมี KFC เด่นเป็นสง่า เป็นที่พึ่งยามยาก หากใครไม่อยากกิน ก็เชิญลิ้มลองเฝอ (Pho) มีทั้งเฝอเนื้อ (Pho bo) หรือเฝอไก่ (Pho ka) ขออย่างเดียวอย่าเป็น น้องหมา เพราะที่นี่มีชื่อเรื่องการกินเนื้อหมา เฝอเป็นอาหารหลักของเวียดนาม ซึ่งก็คล้ายกับก๋วยเตี๋ยวบ้านเรา ครั้งหนึ่งจำได้ว่าเฝอเวียดนามได้ช่วยชีวิตยามยาก เนื่องจากเพิ่งออกจากเมโทรหลังจากกลับจากไปเที่ยวชมพระราชวังแวซายน์ที่ปารีส เวลา 3 ทุ่มแล้ว ยังมีเฝอของเวียดนามขายที่นั่น ระบุว่าเป็น Vietnam noodle มีให้กินในวันนั้น ....รสชาติแห่งความอร่อยมิรู้ลืม
บ้านพักของลุงโฮ ที่ทุกคนที่ไปเยี่ยม สัมผัสได้ในความเรียบง่ายของนักคิด นักต่อสู้ของชาวเวียตนาม
ศูนย์รวมทางจิตใจ ที่ซึ่งมีร่างของลุงโฮ ให้อนุชนได้เคารพและระลึกถึงความเสียสละของท่านต่อประเทศขาติ แสดงไว้ในสถานที่แห่งนี้
คารวะลุงโฮ (Ho Chin Minh) วีรบุรุษของชาวเวียดนาม มองไปทางไหนก็จะเห็นสัญญลักษณ์ของท่าน ผู้รวบรวมกำลังประชาชนต่อต้านสงครามกับกองกำลังฝ่ายสนับสนุนเวียดนามใต้ จนในที่สุดรวมเวียดนามเหนือและใต้เข้าด้วยกัน ตั้งเมืองฮานอยเป็นเมืองหลวงของประเทศ อยู่ทางตอนเหนือ ปัจจุบันมีสุสานของท่าน (Ho Chi Minh Mausoleum) สร้างขึ้นเป็นอาคารขนาดใหญ่ เป็นที่เคารพของผู้คนที่นี่ ภายในบริเวณที่มากมายไปด้วยประวัติศาสตร์ของชาติ ควรค่าแก่การยกย่อง การเข้าไปเยี่ยมชมภายในสุสานต้องสำรวม เดินเข้าแถวมีระเบียบ เดินทางยาววกวนไปมา เพื่อให้ผู้เข้าชมได้มีโอกาสใกล้ชิดกับประวัติศาสตร์ที่สำคัญ ศูนย์รวมที่ยึดเหนี่ยวชาติ นอกจากนี้การถูกตรวจสอบเป็นไปอย่างเคร่งครัด ห้ามนำเอาอุปกรณ์ถ่ายภาพทุกชนิดเข้าไป
ณ.ใจกลางห้องมีร่างกายที่สิ้นแล้วซึ่งลมหายใจ นอนเอนไปในโลงแก้ว มีทหารกองเกียรติยศ ยืนเฝ้าระวัง โดยที่ร่างกายของท่านจะมีการขั้นตอน การนำไปอาบน้ำยาเพื่อรักษาสภาพ เป็นระยๆ ภายนอกสุสานครอบคลุมบริเวณกว้างใหญ่ มีบ้านพักของลุงโฮ ขณะท่านมีชีวิต แสดงเป็นพิพิธภัณฑ์ ถึงแม้ว่าจะเป็นวีรบุรุษกู้ชาติ ท่านใช้ชีวิตสมถะ ภายในบ้านหลังย่อม โดยปฏิเสธการเข้าพักในอาคารใหญ่โต รโหฐานที่จัดไว้ให้ ก่อนถึงทางเข้าบ้านมีนกยูงกำลังรำแพนโชว์ปีกสวย แต่น่าเสียดายมีชีวิตอยู่ภายในกรงที่จำกัดพื้นที่ นอกจากนี้บริเวณใกล้เคียง ยังมีพิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมประวัติศาสตร์หน้าสำคัญเอาไว้เตือนใจกันและสดุดีผู้กล้า แสดงการสู้รบในสงครามแต่ละยุค ...กว่าจะเป็นชาติที่มีอนาธิปไตยเป็นของตนเอง อาคารสีเหลืองสไตล์ยุโรป บ่งชี้การถูกปกครองสมัยอาณาจักร เป็นที่พำนักของประธานาธิบดี ก็ตั้งอยู่ในพื้นที่ส่วนนี้ เดินออกมาไม่ไกลก็มีวัดเจดีย์เสาเดี่ยว (one pillar pagoda) สถาปัตยกรรม ส่วนหลังคาออกแบบอ่อนช้อยสวยงาม โดยมีเสารองรับเพียงเสาเดียว ภายในมีรูปเจ้าแม่กวนอิม เป็นที่เคารพ สักการะของผู้คนจากที่นี่และแดนไกล รวมถึงคณะเรา
ยลและยินกับบรรยากาศแห่งวัฒนธรรม (Sight and sound) หลายคนอาจจะบ่นถึงความโกลาหล ถ้ามาจากบ้านเกิดเมืองนอนที่มีระบบการจราจรที่เป็นระบบ ที่นี่บนท้องถนนจะคลาคล่ำไปด้วยรถชนิดต่างๆ มากที่สุดคือ รถมอเตอร์ไซค์ ทั้งสกูตเตอร์แบบใหม่ๆ และแบบทั่วไป รถยนต์ตั้งแต่ Porche, Mecedez Benz, Lexus, etc และที่เป็นเอกกลักษณ์ประจำชาติรถจักรยาน ที่ขับขี่และสวมหมวกงอบสไตล์เวียดนาม เสียงแตรบนท้องถนนดังไม่ขาดสาย การเปลี่ยนเลนช่องการจราจรทำได้ตามใจชอบ คิดเสียว่าคันที่อยู่ข้างหลังดูเอาเอง ก็ตัดสินใจกันเอง ส่วนใหญ่ไม่มีไฟจราจรคอยกำกับให้ เรียกว่า ถนนแห่งความเอื้ออาทร และรถทุกชนิดมีสิทธิเท่าเทียมกัน ใช้พื้นที่ผิวการจราจรบนถนนไปด้วยกัน เรียกได้ว่ารถวิ่งช้า แต่ก็ไปเรื่อยๆ ไม่ติดนาน
นอกจากบนถนนแล้ว วิถีชีวิตที่ประกอบอาชีพบนทางเท้า ได้แก่ การรับฝากมอเตอร์ไซค์ จะด้วยเพราะพื้นที่แออัด ไม่มีที่จอด ก็จะพบว่ามอเตอร์ไซค์ถูกนำมาจอดเรียงกินพื้นที่ทางเท้าที่เดินถนน มีคนอำนวนความสะดวกการเข้าจอดและเฝ้าให้ นอกจากการค้าขาย หาบเร่ แผงลอยที่มีทั่วไป ร้านซ่อมจักรยาน การรับตัดผมบุรุษเพศก็มีให้เห็นบนทางเดิน ไม่ต้องมีสัญญลักษณ์ขาวแดงหมุนๆ เพียงแต่มีกระจกและเก้าอี้นั่ง ขณะที่ไม่มีลูกค้าก็ยังทำรายได้ด้วยการแขวนป้าย 1 ดอลลาร์สำหรับการถ่ายรูป ( 1 dollar for photo taken) เป็นอะไรที่เชิญชวนมาก
ตลาดมืดแลกเปลี่ยนเงิน(Money Exchange) ถึงแม้จะเป็นใจกลางเมือง ย่านการค้าขาย ที่เป็นเขตเมืองฮานอย สมัยก่อนเรียกว่า ถนน 36 สาย (old quarter) เดิมที่จะมีการขายสินค้าเฉพาะอย่าง แต่เดี่ยวนี้ก็จะดูปะปน แต่พอจะเดาได้บ้างว่า น่าจะเป็นสินค้าอะไรในถนนสายนี้ บางสายก็จะนึกถึงตลาดคลองถมบ้านเรา บ้างก็ขายสินค้าตัดเย็บเสื้อฝ้า กระดุม ด้ายสาระพัด บ้างก็เป็นศิลปะฝีมืองานละเอียดออกมาเป็นภาพจากการถักร้อย บ้างเป็นเครื่องประดับตกแต่งบ้านจากไม้ เยอะแยะไปหมด ดูไปก็ระวังรถชนไป สนุกไม่น้อย สังเกตได้ว่าไม่ว่าจะเป็นการใช้ภาษาอังกฤษหรือการมีป้ายภาษาอังกฤษให้อ่านมีน้อยมาก แต่ก็มีบ้างถนนที่ขายเสื้อผ้า ก็นึกถึงตลาดโบ๊เบ๊ ประตูน้ำ หรือแถวพาหุรัดในเมืองกรุงบ้านเรา ที่นี่จะมีตรอก ซอก ชอยแคบๆ ขณะเดินดูวิถีความเป็นเวียดนาม ก็ต้องระวังเพราะการเข้าใช้พื้นที่มีทั้งการค้าขายในร้าน ตื๊อให้ซื้อของบนท้องถนน หรือขายของกินทั้งปรุงสำเร็จ หรือพืช ผัก ผลไม้บนรถจักรยาน หรือจักรยานบรรทุกเก้งเอ๋ง (น้องหมา) ที่พร้อมขาย ก็เจอได้บนท้องถนนในเมืองฮานอย รถจักรยานยนต์และจักรยานวิ่งขวัก ไขว่มากมายทำเอาคนเดินดิน ที่มองดูของก็ต้องระวังกันเอง แต่ไม่มีใครมีสีหน้า ระอาใจ เพราะนั่นคือวิถีที่นี่
การซื้อของที่นี่สามารถใช้เงินในสกุล บาท (ไทย) $US หรือเงิน URO และแน่นอนเงินดอง (Dong)ของเวียดนาม หากจะใช้เงินไทยซึ่งมีค่าแข็งกว่า ก็ต้องยอมรับความแตกต่างในแต่ละร้านที่จะให้อัตราไม่เหมือนกัน เราจึงคิดแลกเงินบาทเป็นเงินดองที่นั่น แต่ละคนแยกกันไปทำหน้าที่ไปสืบถามในร้านทองใกล้เคียงว่าจะให้เราเท่าไหร่ บางร้านให้ต่ำมาก แต่ร้านที่เข้าไปถามด้วยตัวเอง พอถามก็จิ้มเครื่องคิดเลขให้ ทายซิค่ะว่าเท่าไหร่ 1000บาท แลกได้ 6แสนแปดหมื่นดอง ขอต่อรองเป็น 7 แสนได้ไหม๊??ก็ไม่ยอม ก็เลยบอกว่ารอก่อนไปจะบอกเพื่อน สุดท้ายพวกเราก็ตกลง เพราะที่นี่ให้อัตราที่ดีที่สุดในย่านนี้ แต่กว่าจะให้แลกจริงนะซิ เชิญชวนให้เราเดินเข้าไปข้างใน ตรอกแคบๆ วกวนไปมา เดินเข้าไปก็ค่อนข้างมืด เราเลยทยอยกันไป ทิ้งห่างไม่มาก เผื่อเกิดปัญหาจะได้มีทางออก สุดท้ายร้อง อ๋อ!!! สงสัยจะเป็นตลาดมืดจริงๆ แฮะ!!
เรามีเงินเป็นล้านในมือ คิดใช้เงินแต่ละครั้งไม่ค่อยจะถูก เงินใบที่มีค่ามากที่สุด คือ ใบละ 1 แสน ย่อมลงมาก็ 5, 2 1 หมื่น หนึ่งพัน เรื่อยไปจนถึง สองร้อย เรียกว่า...มึนงง...กับการเลือกใช้แบงค์เงินดอง ลองคิดดูสัปปะรดลูกเล็กหนึ่งลูก 2หมื่นดอง การมีแบงค์ราคาไม่สูงมากแบบบ้านเราก็ดูจะเป็นสิ่งที่ต่างกันไป หรือเทียบกับการใช้จ่ายเงินสกุลแข็ง ๆ อย่างเงินปอนด์ ของอังกฤษ ฉะนั้นในกระเป๋าเดินทางของตัวเอง จึงมีเงินสกุลแข็งติดตัวเอาไว้เสมอ และก็สะดวกดี ใครๆ ที่ไหนๆ ก็ยินดีแลก... ใช้ก็ไม่ยากด้วย ค่าครองชีพที่นี่นับว่าสูงไม่ต่างจากบ้านเรานัก แต่มีรายได้น้อยกว่าเปรียบเทียบกับค่าจ้างที่ได้รับในการทำงาน เพื่อนชาวเวียดนามบอกว่าไม่มีการกำหนดค่าแรงขั้นต่ำไว้
เจ้านกน้อยในกรงในกรุงฮานอย....ปรอดหัวโขน หรือนกกรงหัวจุก ก็พบได้ที่นี่ ในตลาดย่านขายของเก่าแก่ของฮานอย นก...ต้นไม้ ก็มิวายปรากฏกายอยู่ร่วมในเมืองร่มไม้ใหญ่น้อยมีตัวเลขระบุไว้ที่โคนต้น สงสัยมีการลงทะเบียนไว้ จะได้มีการดูแลทั่วถึง ไม้ตะแบก อินทนิน ไทรย้อยมีให้เห็นในในเมือง รวมถึงสวนสาธารณะ และถนนสายใหญ่ หรือย่านค้าขาย ในฐานะที่ชอบนกก็มิอาจรอดพ้นสายตาไปได้ ด้วยมองเห็นกรงนกแขวนไว้ ก็ปรี่เข้าไปดูก็เห็นเต็มตา เพื่อ ID เอ๋.. กรงก็สวย นกก็สวย แต่สงสารที่เจ้าต้องมาอยู่ในเมือง ซึ่งอบอวลไปด้วยมลภาวะที่เกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ รวมถึงควันเสียและเขม่ารถจากท่อไอเสีย หรือเสียงจอแจ จากการจราจรทั้งรถและคน ยังไม่วายเจ้าก็อยู่ทนได้ท่ามกลางบรรยากาศเหล่านั้น เพราะมนุษย์บอกว่า อยู่ที่นี่เจ้ากินดีอยู่ดีกว่าอยู่ในป่าซะอีก!!! ประจักษ์พยานก็เห็นว่ามีทั้งน้ำและผลไม้ในกรง แต่ก็ไม่วายแสนสงสารเจ้า
หลังจาก ID อย่างรวดเร็วเพราะด้องแหงนมอง แถมกล้อง binocular ก็ไม่ติดตัว บอกได้ว่า มีนกกรงหัวจุก (Red-whiskered Bulbul), นกแว่นตาขาว (Oriental White Eyes), นกกางเขนดง (White- rumped Shama) และอีกหลายชนิดที่ไม่มีในบ้านเรา เช่นกลู่มนกแก้ว (Parakeet) ทำให้นึกถึงตลาดค้านกในเวียดนามว่าคงมีนกป่าไม่น้อยที่วางจำหน่าย ช่วงที่มีไข้หวัดนกระบาด (H5N1) ในเวียดนาม ได้มีรายงานวิจัยการศึกษาชนิดนกที่มีการซื้อขายในตลาดค้าสัตว์เลี้ยง และโอกาสเสี่ยงในการระบาดของเชื้อดังกล่าว นกเหล่านี้อาจจะมาจากภายในประเทศที่จับมาจากป่า หรือเพาะฟัก นอกจากนี้ยังมีการนำเข้าจากต่างประเทศ จากรายงานชนิดของนกบางชนิดที่พบได้ในบ้านเราเช่นกัน
วัดสถาปัตยกรรมของเวียดนาม ... สร้างบนเสาเดี่ยว เป็นที่เคารพศรัทธาของผู้ที่มาเยือนและผู้คนที่นี่