การฟังด้วยหัวใจ เป็นส่วนหนึ่งของ “การสื่อสารอย่างสันติ” ... ทักษะที่เราได้ร่วมฝึก และร่วมเรียนรู้ในกิจกรรมครั้งนี้ นับว่ามีคุณค่าและก่อประโยชน์ทั้งส่วนตนและส่วนรวม เป็นทักษะที่เราทุกคนควรพัฒนาสำหรับการดำรงชีพในโลกยุคปัจจุบัน ที่ความขัดแย้งดูจะมีแนวโน้มเกิดขึ้นง่ายในวิถีชีวิตส่วนใหญ่อะไรๆก็จะเร่งรีบ หากชะลอเวลาสักนิดใช้ชีวิตให้ปราณีตในการสนทนาจะเห็นว่า การฟังอย่างรวดเร็วที่มักจะเต็มไปด้วยการตีความ การด่วนตัดสิน ล้วนแล้วแต่เป็นสาเหตุหนึ่งที่นำไปสู่การบรรยากาศที่ไม่เอื้อต่อสุนทรียสนทนา หรือไม่เอื้อต่อการปรองดอง อย่างที่สังคมในเวลานี้ที่เราสังเกตได้
โดยส่วนตัวแล้ว... “การฟังด้วยหัวใจ” เป็นการฟังด้วย “หัวใจที่มีธรรม” เช่นกัน หมายถึง มีพรหมวิหาร ๔ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา รวมอยู่ด้วย นั่นหมายถึงมนุษย์ทุกคนมีใจกรุณาเป็นพื้นฐาน เราไม่ควรด่วนตัดสิน...(no judgment) ในฐานะผู้ฟัง หรือแม้กระทั่งในบทบาทเป็นผู้พูดเช่นกัน หากพูดด้วยหัวใจที่มีพรหมวิหาร ๔ ความขัดแย้งก็ดูจะห่างไกล ซึ่งในบริบทของการฟังด้วยหัวใจ ไม่ใช่เราจะมีความเห็นต่างไม่ได้ เห็นต่างกันแต่ก็รับฟังเพื่อวิเคราะห์วิธีนำไปสู่ความต้องการร่วมกันได้ในที่สุด
ทักษะ "การฟังด้วยหัวใจ" ที่ได้ฝึกปฏิบัติและเรียนรู้เป็นการจุดประกาย ฟังอย่างใคร่ครวญและได้นำไปปฏิบัติในชีวิตประจำวันให้มากขึ้น ในบริบทต่างๆเมื่อมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คน ไม่ว่าจะเป็นบทบาทในการฟังในครอบครัว พ่อแม่ลูกและญาติๆที่ได้ยินบ่อยๆว่า ทำไมไม่เข้าใจเลย!! หรือในฐานะเพื่อนฝูงในสังคม ผู้เรียนในห้องเรียน การทำงานในองค์กร หรือการใช้ชีวิตคู่ที่ต้องปรับตัวเข้าหากัน หากขณะฟังใช้เวลาฟังให้ลึกซึ้ง คือ "ฟังด้วยหัวใจ"มากขึ้น ค้นหาไปถึงสิ่งที่ผู้พูดไม่ได้แสดงออก (ที่เป็นภูเขาใต้น้ำในตัวเขา/ตัวเรา) และสร้างทางเลือกในวิธีการเพื่อนำไปสู่ความต้องการเดียวกันของทั้งสองฝ่ายได้อย่างสันติ :-))
สถานที่ “สัปปายะ” ณ สำนักวิทยบริการ มอ.ปัตตานี เช้าวันเริ่มต้นของการทำงาน (จันทร์ ที่ ๒ มิย.) บริเวณชั้นสองฝั่งหอสมุดเก่า ที่เอื้อบรรยากาศแห่งการเรียนรู้ ผ่อนคลาย ขณะนั่งทำกิจกรรม บนพื้น มีเบาะนุ่มๆให้นั่ง จะอยู่อิริยาบถไหนที่สบายๆก็ย่อมได้ ฐานกายพร้อม ฐานใจและฐานคิดก็เกิดขึ้น เราร่วมเปิดใจ แลกเปลี่ยน เรียนรู้ แสดงความเห็น ในขณะที่หลายคนอาจจะตั้งคำถามว่า... เอ๊ะ.!! เราฟังด้วยหู..นี่นา แล้ว “ฟังด้วยหัวใจ” เป็นอย่างไร?? . องค์ประกอบของการฟัง..แน่นอนในการฝึกทักษะครั้งนี้ต้องใช้อวัยวะ “หู”และ “หัวใจ”ในการฟังและรับรู้เพื่อสื่อสารอย่างสันติวิธี (ขอขอบคุณองค์กร "สำนักวิทยบริการ มอ. ปัตตานี" ที่เห็นประโยชน์ในการจัดกิจกรรมที่มีคุณค่าเช่นนี้ )
จริงๆแล้วกิจกรรม "การฟังด้วยหัวใจ" ที่ทีมวิทยากร (น้องเจน น้องน้อง และน้องโย; สามโค๊ช จากเสมสิกขาลัย) ช่วยให้เราได้ “เข้าใกล้" และฝึกใช้ "ทักษะการฟังด้วยหัวใจ” ในบริบทต่างๆ ผ่านกระบวนการที่เตรียมพร้อมมาอย่างดี โดยใช้เรื่องเล่า (case) ทั้งจากประสบการณ์ที่วิทยากรนำเสนอ และผู้เข้าร่วมกิจกรรม เปิดใจแบ่งปัน....ตลอดทั้งวัน จึงเป็นบรรยากาศที่เป็นกันเอง การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ การพูดคุยเกิดขึ้นทั้งในวงขณะทำกิจกรรม ต่อยอดมาจนถึงนอกวงขณะรับประทานอาหารว่าง อาหารกลางวัน ซึ่งทักษะการฟังด้วยหัวใจ ถูกนำมาใช้ทันทีในขณะนั้น ทำให้เกิดสัมพันธภาพที่ดี กระชับมิตรสำหรับผู้เข้าร่วมกิจกรรมที่อยู่ต่างคณะฯ ต่างหน่วยงาน ถึงแม้จะมาจากภายในมอ. ด้วยกันก็ใช่ว่าจะรู้จักกัน... พลังแห่งการสื่อสารอย่างสันติวิธี ...จึงสำคัญยิ่ง
ความเชื่อมโยงและฝึกทักษะ “การฟังดัวยหัวใจ” เกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ (spontaneous) ด้วยการเอาใจใส่ ใช้การสังเกต ขณะถามไถ่สาระทุกข์สุข ต่อยอดสิ่งที่ได้เรียนรู้ แลกเปลี่ยนในมุมมองต่างๆ เป็นการฝึกปฏิบัติจริงตามกระบวนการ ทำให้เข้าใจและเห็นความสำคัญของทักษะส่วนนี้มากขึ้น
ก่อนสิ้นสุดกิจกรรมในช่วงบ่าย วิทยากรชวนคุยและให้นึกย้อน "ความคาดหวัง " ที่มีก่อนเริ่มกิจกรรม มีความแตกต่างกันอย่างไร เมื่อเทียบกับ ณ เวลานี้ก่อนสิ้นสุดเริ่มกิจกรรม และขอความเห็น (feedback) การร่วมกิจกรรมครั้งนี้ ซึ่งมีความเห็นหลากหลายที่เราช่วยกันแสดงออกไป ส่วนตนเองนั้นได้ขอบคุณสำนักวิทยบริการ ทีมวิทยากรจากเสมสิกขาลัย และกัลยาณมิตรผู้ร่วมสร้างสีสันให้กับกิจกรรมกลุ่มครั้งนี้ (ทราบว่าเป็นกลุ่มที่มีสมาชิกน้อยที่สุดตั้งแต่จัดมา ด้วยข้อจำกัดต่างๆในวันนั้น) ..ดีใจที่ได้ร่วมกิจกรรมที่มีประโยชน์มาก การฝึกทักษะทำให้เห็นความสำคัญต่อการสื่อสารแบบสันติ ทั้งในบทบาทของผู้พูดและผู้ฟัง
...ถอดบทเรียน..สิ่งที่ได้เรียนรู้ กระบวนการและเครื่องมือที่นำมาใช้.. ..
(ทั้งนี้ได้รับแจ้งว่า กิจกรรมได้ถูกปรับไปบ้าง เป็นเพราะข้อจำกัดของเวลาจากผู้เข้าร่วมกิจกรรม)
..ประเด็น "หัวใจของการสื่อสารอย่างสันติ” ทั้ง ๔ ข้อ..(ดังภาพ) ถูกยกขึ้นมาทำความเข้าใจ เราร่วมพูดคุย แสดงความเห็น โดยทักษะ..การฟังด้วยหัวใจ.. เป็นเพียง หนึ่งในทักษะสำหรับการสื่อสารอย่างสันติ
การเข้าถึงหัวใจการสื่อสารอย่างสันติแต่ละข้อ ใช้ประเด็นตัวอย่าง ประสบการณ์ จากทีมวิทยากร และประสบการณ์จากผู้เข้าร่วมกิจกรรม เห็นได้ชัดเจนว่า การสื่อสารสองทางที่มีพื้นฐานจากความรักเมตตา ปรารถนาดี ของทุกคน และโดยเฉพาะหากมีสัมพันธภาพที่ดี วางใจมาก และเห็นคุณค่าของการแบ่งปัน ก็ได้รับความร่วมมือ เปิดใจ แบ่งปันประสบการณ์เพื่อนำมาแลกเปลี่ยนมากขึ้น .. เราในฐานะผู้เข้าร่วมกิจกรรมจึงเป็นทั้งผู้พูด และรับฟัง ฝึกฟังด้วยหัวใจไปทันที ซึ่งเป็นประสบการณ์ตรงและตรวจสอ ย้อนกลับได้... ทั้งความรู้สึกและความคิด ในสถานการณ์ที่ยกตัวอย่างนั้นๆ
ใช้เทคนิค แสดงบทบาทสมมุติ โดยวิทยากรจับคู่ มีผู้ที่ทำหน้าที่เป็นผู้เล่าเรื่อง และอีกท่านทำหน้าที่เป็นผู้ฟัง ส่วนผู้ร่วมกิจกรรมทั้งหมดก็สังเกตการณ์สื่อสารของคู่กรณี
....สิ่งที่ชวนคิดต่อยอด คือการฟังและตีความ “…แม้กระทั่งตัวเราเองในฐานะผู้สื่อสาร ก็ยังบอกไม่ได้ว่ารุ้สึกอย่างไร ..นี่น่าคิด แล้วผู้ฟังก็จะงง ไปอีกกี่มากน้อยกับการตึความ ทำให้ได้ข้อคิดว่าทุกวันนี้ที่เราเถียงกันก็เพราะ เห็นต่างกันตรงการตีความ“ความคิด” ที่อยุ่ในประโยคที่สื่อนี่ล่ะ...ความขัดแย้ง..จึงเกิดขึ้นอยู่เนืองๆๆ... การสื่อสารอย่างสันติวิธี จึงควรฝึกปฏิบัติ ..ในขณะนี้คือ การฟังด้วยหัวใจ....
(พักเบรคกิจกรรม ด้วยการรับประทานอาหารกลางวัน ที่ได้จัดเตรียมไว้ให้)......เรียกได้ว่า ช่วงเช้าเป็นการทำความเข้าใจ แนวคิด หลักการ องค์ประกอบของการสื่อสารอย่า่งสันติ โดยเน้น...การฟังด้วยใจ...
กิจกรรม ให้ผู้เข้าร่วม เขียนข้อความที่ตนเองมักจะใช้ ลงในกระดาษ พร้อมทั้งเฉลยว่า ข้อความดังกล่าว ตนเองอยู่ใน “ความรู้สึกใด” จากนั้นจับคู่ แล้วนำคำถามนั้นมาถาม เพื่อให้คู่บอกความรู้สึกต่อ ประโยคนั้น หากไม่ตรงกับเฉลย ก็ให้ฝึกเดา ความรู้สึก โดยให้นับดูด้วยว่ากี่ครั้งของการเดา จึงจะตรงกับ คำเฉลยที่ระบุไว้
กิจกรรมนี้ ผู้เข้าร่วม ได้ยกตัวอย่างประโยคเช่น
“มีอะไรไหม๊คะ”..
“บอกแล้วว่าอยู่หน้า ๒๐”…
“เฮ้อ...ทำไมต้องเป็นฉันทุกที”…
“เมื่อไหรจะส่งงาน”…
ฯลฯ
หลังจากเสร็จกิจกรรมก็นำมาสรุปว่า ในฐานะผู้ฟัง หากเดาถูก จะรู้สึกอย่างไร “ดีใจ” ทั้งผู้สื่อสาร และผู้ฟัง ในขณะเดียวกัน บางครั้้งการเดาความรู้สึก มักไม่ตรงกับคำเฉลยเสียทีเดียว อาจเป็นเพราะระดับของความรู้สึกมีความใกล้เคียงกัน เรียกว่าอยู่ในโทนเดียวกัน แต่ระดับอาจต่างกัน เช่นไม่พอใจ โกรธ ฯลฯ
กิจกรรมที่สอง มีแนวเส้นยาวกลางห้อง ให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมจับคู่ยืนคนละฝากของแนวเส้น จากนั้นวิทยากรบอกโจทย์ว่า "ให้หาทาง วิธีการใดก็ได้ ที่ทำให้คู่ของตนเอง..ข้ามเส้นมาอยู่ด้านตัวเองให้ได้มากที่สุดภายในเวลา 30 วินาที"
ย้อนมองการดำรงชีพในปัจจุบัน...ในสถานการณ์เช่นนี้ จำลองภาพการเจรจา จะเห็นว่า หากการพูดคุย ฟังด้วยหัวใจ ไม่ได้กระทำในเบื้องต้น ต่างฝ่ายต่างใช้ชุดความคิดของตัวเองในการแก้ปัญา นำไปสู่การแข่งข้น เอาชนะ ไม่เกิดบรรยากาศของการถ้อยทีถ้อยอาศัย อย่างสันติวิธี...เกมนี้เราพลาดไปตามๆกัน ..คิดไม่ถึงว่า ชุดความคิดนี้ ถูกฝังลึกอยุ่ในใต้จิตสำนึก ตั้งแต่เด็กเรื่อยมา เป็นเพราะส่วนหนึ่งจากการหล่อหลอมในสังคมทีละเล็กละน้อย ที่เน้นการแข่งขัน..โดยเฉพาะเข้าสูระบบการศึกษาก็เิริ่มเลย :-((...เราควรจะต้องพัฒนาชุดความคิดนี้ใหม่ หากต้องการสังคมที่เต็มไปด้วยความเอื้ออาทร ช่วยเหลือกัน
ทักษะ “การฟังด้วยหัวใจ” ครั้งนี้จึงไม่ได้จบไปพร้อมกับการเสริ้จสิ้นกิจกรรมเท่านั้น หากแต่เป็นทักษะที่จะฝึกใช้ให้เป็นปกติในชีวิตประจำวัน ฟังให้ใคร่ครวญ ชะลอเวลาลงสักนิด จะได้ยินเสียงเล็กๆ หรือโมเมนต์นั้น ที่เราจะได้นำมาปรับตนเองต่อไป เพื่อสัมพันธภาพที่ยั่งยืน เพื่อสันติภาพที่โหยหา โดยเฉพาะพื้นที่ปักษ์ใต้บ้านเรา ผลกระทบในสังคม ที่ยังมีช่องว่างของการพัฒนา "การสื่อสารอย่างสันติ" อีกทั้งการสั่งสมหมักหมมมายาวนาน ....(วันนี้ ณ สถานที่จัดกิจกรรม ซี่งเป็นสำนักวิทยบริการ เราต่างเศร้าสร้อยกับการจากไปอย่างไม่มีวันกลับของพี่สาโรจน์ ซึ่งท่านได้กรุณาจัดเตรียมสถานที่ไว้พร้อมสรรพสำหรับคอร์ส พัฒนาพลังกลุ่มที่จะจัดขึ้นให้กับบุคลากรของสำนักฯ และมิอาจจะคาดคิดว่าจะเป็น งานชิ้นสุดท้ายที่ท่านทำให้กับองค์กรที่ท่านรัก ที่ผูกพันเสมือนบ้าน ด้วยทำงานมานาน ..โดยท่านเสียชึวิตในขณะเดินทางกลับบ้านเย็นวันนั้นด้วยสถานการณ์ความรุนแรงในภาคใต้ ..ด้วยความอาลัย และคุณความดีทั้งหลาย ขอน้อมจิตความความเคารพยิ่ง..)
สาระเบาๆ..ก่อนลา...ฟังด้วยหัวใจ ฟังอย่างใคร่ครวญ ...ชวนคุยด้วยเรื่องสุขภาพขณะพักเบรค..
ขณะที่ทักษะการฟังด้วยหัวใจ เป็นประเด็นในการแลกเปลี่ยน ทักษะ ."การสังเกต" ขณะปฏิสัมพันธ์.เช่นกันได้ถูกนำมาใช้ ได้สังเกตเห็นน้องอาจารย์ผู้ชายท่านหนึ่ง ทานผลไม้ (สัปปะรด/แตงโม) ก่อนทานข้าว ขณะทานข้าวก็เคี้ยวช้าๆ เมื่อทานเสร็จแล้วก็จิบน้ำนิดหน่อย..ยังไม่ดื่มทันทีทั้งขวด เลยเป็นประเด็นชวนคุยกับกัลยาณมิตรที่นั่งใกล้กัน นอกจากเราจะสนใจเรื่องการฟังอย่างใคร่ครวญ การฟังด้วยใจแล้ว การดูแลสุขภาพก็เห็นได้ชัดว่าได้รับการเอาใจใส่ด้วย จึงถามนำ และชวนคุยให้กับท่านอื่นๆ ให้เป็นข้อสังเกต ...การที่ทานผลไม้ก่อน/หลังจากทานข้าวกลางวัน ว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร?? ไม่ต้องสงสัยเลย อาจารย์ท่านที่ปฏิบัติด้วยตนเอง ด้วยความรู้...ความเข้าใจเกิดจากการฝึกปฏิบัติ จึงย่อมอธิบายแลกเปลี่ยนได้ ..กระบวนการฟังอย่างใคร่ครวญก็เกิดขึ้น..
ซึ่งท่านยืนยันว่า เมื่อก่อนไม่สนใจสุขภาพ แต่ขณะทำงานก็จะสังเกตว่าสุขภาพแย่ลง จึงนำข้อนำแนะของอาจารย์ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งมาปรับใช้ในชีวิตประจำวัน เมื่อปฏิบัติไปสักระยะก็เห็นว่าได้ผลดีต่อร่างกาย เราในฐานะผู้ฟัง (ฟังด้วยหัวใจ) และเป็นผู้ที่นำประเด็นนี้พูดคุยด้วย เลยได้โอกาสชี้ข้อเท็จจริง (เอ...เป็นความรู้สึก หรือความคิด?) เรื่องของน้ำย่อย เรื่องของสภาพการมีไฟเบอร์สูงของผัก ผลไม้ การย่อยจะยากขึ้นหากทานตามหลังอาหาร (ข้าว)มื้อหลัก จึงเป็นสิ่งใหม่สำหรับอาจารย์ที่ร่วมรับฟังด้วย และได้รับคำบอกกล่าวว่าจะนำไปปฏิบัติด้วย ส่วนการดื่มน้ำก็เช่นกันอย่าดื่มตามให้หมดขวดทันทีเมื่อทานข้าวเสร็จ ดื่มทีละน้อยก่อน และให้ดื่มปริมาณมากหลังจากทานเสร็จไปแล้วสักสิบห้านาที...เป็นเรื่องของการรักษาสุขภาพองค์รวม....ความสุขจึงเกิดขึ้นได้อย่างเห็นได้ชัด ทั้งผู้พูดและผู้ฟัง หากเราปรารถนาดีต่อกัน :-))..
...บันทึกเอาไว้อ่าน..ครั้งหนึ่งเข้าร่วมกลุ่มกัลยาณมิตร ฟังด้วยใจ...ท่านล่ะ ฝึกฟังด้วยใจรึยัง...เริ่มได้นะคะ ตั้งแต่เดี๋ยวนี้