ยินดีต้อนรับสู่ Aurora แห่งยุคสมัยใหม่
ยินดีต้อนรับสู่ Aurora แห่งยุคสมัยใหม่
จุดเริ่มต้นในวันแรกของร้านทองออโรร่า เริ่มจากช่างทองที่มีความเชี่ยวชาญและชำนาญการในเรื่องทอง เปิดร้านภายใต้ชื่อ “ห้างทองซุ่ยเซ่งเฮง” ที่เปิดให้บริการครั้งแรกในปี 2516 ผลิตและขายส่งทองให้กับร้านขายทองย่านเยาวราชตั้งแต่ปี พ.ศ. 2500 โดยได้เปิดสาขาแรกอยู่ที่ เลขที่ 4001 ถนนสุขุมวิท 103 เขตบางนา กรุงเทพมหานคร ต่อมากิจร้านทองได้เติบโตขึ้นเรื่อยๆ จึงได้เริ่มขยายสาขาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเปลี่ยนชื่อเป็นมาเป็น “ร้านทองแท้ออโรร่า”
หลังจากขยายสาขามาแล้วหลายสาขา บวกกับ ณ ขณะนั้นมีศูนย์การค้าเกิดขึ้นมากมาย ทางร้านทองแท้ออโรร่า จึงเริ่มมองหาร้านในห้างหรือศูนย์การค้าต่างๆ และร้านทองแท้ออโรร่าร้านแรกที่เปิดในห้าง นั่นคือศูนย์การค้าเดอะมอลล์ รามคำแหง เริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ. 2529 ซึ่งถือว่าเป็นเจ้าแรกที่ขายทองแท้ในศูนย์การค้าในประเทศไทย ต่อมาได้ขยายสาขาในศูนย์การค้าอีกมากมายจวบจนมาถึงปัจจุบัน ซึ่งมีสาขามากกว่า 260 สาขา ทั่วประเทศ
และด้วยการตลาดที่เติบโตขึ้นมาก ทางคณะผู้บริหารจึงขยายไลน์ธุรกิจให้ครบวงจรมากยิ่งขึ้น จึงได้เพิ่มสินค้าเครื่องประดับเพชร ภายใต้ชื่อ “ออโรร่า ไดมอนด์” สามารถซื้อขายแลกเปลี่ยนทองรูปพรรณและเครื่องประดับเพชรได้ในที่เดียว
ต่อมาในปี 2017 ร้านทองแท้ออโรร่า พร้อมเข้าสู่ยุคดิจิทัล จึง ยกระดับการขายทองออนไลน์อย่างเต็มตัว โดยใช้มาตรฐานเดียวกับสาขาหน้าร้านทั่วประเทศ และมีการออกบัตรรับประกันให้ถึง 3 ใบ
ใบที่ 1 รับประกันว่าเป็นทองคำแท้ 96.5%
ใบที่ 2 รับประกัน การล้าง การซ่อม และการต่อ ฟรี ตลอดอายุการใช้งาน
ใบที่ 3 รับประกัน ราคารับซื้อคืนสูงสุดตลอดชีวิต
จวบจนปัจจุบันนี้ ธุรกิจหลัก “บริษัท ออโรร่า ดีไซน์ จำกัด (มหาชน) ” มีอยู่ 5 ประเภท
ออโรร่า โมเดิร์น โกลด์ (ทองรูปพรรณ 96.5%)
ออโรร่า ดีไซน์ โกลด์ (ทองรูปพรรณ 75%)
ออโรร่า ไดมอนด์ (เครื่องประดับเพชร)
ออโรร่า ดีไลซ์ (สินค้าฝากขาย)
ออโรร่า เทรดดิ้ง (ซื้อ-ขาย ทองคำแท่ง)
และภายใต้การดำเนินงานที่มุ่งเน้นการพัฒนามาตรฐาน ร้านทองแท้ออโรร่า จึงได้รับการการันตีความสำเร็จด้วยรางวัลระดับโลกถึง 4 ปี ซ้อน “World Branding Awards สาขา Brand Of The Year” จัดขึ้นโดย World Branding Forum โดยมีเกณฑ์พิจารณาตัดสินผ่านการให้คะแนนจาก 3 ด้านประกอบกัน ได้แก่ การประเมินแบรนด์ (Brand Evaluation) การวิจัยตลาดผู้บริโภค (Consumer Market Research) และการโหวตออนไลน์ที่เปิดให้ประชาชนทั่วไปได้ร่วมลงคะแนน (Public Online) ซึ่งร้านทองแท้ออโรร่า เป็นร้านทองแห่งแรกของประเทศไทยที่ได้รับรางวัลระดับโลกนี้
ออโรร่า ทำความรู้จักร้านขายปลีกทองรูปพรรณรายแรกในตลาดหลักทรัพย์ฯ
บมจ. ออโรร่า ดีไซน์ จำกัด หรือ AURORA (ออโรร่า) ร้านทองชื่อ “ฝรั่ง” ที่มีคนไทยสัญชาติจีนเป็นเจ้าของ
เป็นร้านขายปลีกทองรูปพรรณรายแรกที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ คาดว่าจะซื้อขายในวันที่ 29 พ.ย. 2565 นี้
การสร้างความแตกต่างหรือการเป็น First Mover ในธุรกิจที่มีการแข่งขันกันดุเดือด เป็นหนึ่งใน DNA ของการทำการตลาดและการสร้างแบรนด์ที่สำคัญของออโรร่ามาตลอดระยะทาง 49 ปี
เริ่มจาก
1. ปี 2516 ก้าวแรกของออโรร่าไม่ได้ออกมาจากร้านทองชื่อดังบนถนนเยาวราช แต่เป็นร้านขายทองที่ไปเปิดร้านแรกบนถนนสุขุมวิท 103 (อุดมสุข) ในยุคนั้นยังใช้ชื่อว่า “ห้างทองซุ่ยเซ่งเฮง” เป็นการฝ่าด่าน Generic Name อย่างคำว่าทองเยาวราช ที่ได้รับการยอมรับจากความสามารถของฝีมือรุ่นอากง ที่เคยเป็นช่างทองทำส่งให้กับร้านขายทองทั่วไป ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2500
2. ปี 2529 เป็นร้านทองร้านแรกที่ไปเปิดในศูนย์การค้า โดยเริ่มที่เดอะมอลล์ รามคำแหง ก่อนที่จะไปขยายสาขาในโมเดิร์นเทรดอื่น ๆ อย่างต่อเนื่อง
3. ปี 2533 เปลี่ยนชื่อร้านขายทองในเครือทั้งหมด เป็น “ห้างเพชรทองออโรร่า” กลายเป็นร้านทองแบรนด์แรก ๆ ที่ใช้ชื่อเป็นภาษาอังกฤษ
4. ปี 2543 เป็นแบรนด์แรกที่ไปเปิดขายบนสถานีรถไฟฟ้า BTS (ปิดสาขาในเวลาต่อมา)
5. ปี 2560 เป็นแบรนด์แรกที่ลุยตลาดออนไลน์ขายผ่านช่องทาง E-commerce เกือบทุกแพลตฟอร์ม รวมถึงเว็บไซต์ออนไลน์ของตัวเอง
6. ออโรร่าเปิดตัว Aurora Metaverse ร้านทองโลกเสมือนรายแรกของตลาด
7. 29 พ.ย. 2565 เป็นร้านขายปลีกทองรูปพรรณรายแรกที่เข้าซื้อ-ขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ
แล้วรายได้ของออโรร่าเป็นอย่างไร
สำหรับรายได้ปี 2564 มีรายได้รวม 22,255.55 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 591.03 ล้านบาท ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2565 มีรายได้รวม 14,412.5 กำไรสุทธิ 383.0 ล้านบาท
ผ่านการดำเนินงาน 2 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ 1. ธุรกิจค้าปลีกทองรูปพรรณและเครื่องประดับและของขวัญที่ทำมาจากทองคำ และ 2. ธุรกิจขายฝากทองรูปพรรณและเครื่องประดับที่มีทองคำและเพชรเป็นส่วนประกอบ
ความหลากหลายด้านผลิตภัณฑ์จะอยู่ภายใต้แบรนด์ AURORA, เซ่งเฮง, ทองมาเงินไป, ของขวัญ by AURORA และ AURORA Diamond
ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2565 มีสาขารวม 265 แห่ง โดยตั้งเป้าเปิดสาขาครบ 409 แห่งภายในปี 2567
เมื่อทองคำแท้ไม่จำเป็นต้องเป็นทองเยาวราช หรือร้านทองที่น่าเชื่อถือต้องเป็นร้านสีแดง
และภาระการตามหาลูกค้ากลุ่มใหม่ ๆ ผ่านการขยายสาขา พร้อม ๆ กับการลงทุนในเรื่องนวัตกรรมของสินค้าและบริการเป็นสิ่งที่จำเป็นในการเติบโต
เหตุผลที่ AURA อยากเข้าตลาดหุ้น
กลับมาที่การเข้าตลาดหุ้น บริษัทฯ มองว่า หลังจากที่เก่งในการเปิดสาขาแล้ว แถมยังเห็นโอกาสในตลาดที่มีขนาดใหญ่ แต่ก็ยังมีข้อจำกัดอยู่ข้อหนึ่ง คือ ธุรกิจทองคำเป็นธุรกิจที่ต้องใช้เงินทุนหมุนเวียน (Working Cap) ค่อนข้างสูง
แม้ว่า Working Cap ของร้านทองส่วนใหญ่จะเป็นทองคำ ซึ่งมีความเสี่ยงต่ำก็ตาม แต่การระดมทุนในครั้งนี้ AURA คาดหวังว่าจะช่วยให้บริษัทฯ สามารถขยายตลาดได้เร็ว และสามารถกินส่วนแบ่งตลาดจากคู่แข่งไปได้เรื่อยๆ
‘การเข้าระดมทุนจะช่วยเร่งความเร็วของออโรร่าฯ ในการเติบโต เพราะก่อนหน้านี้เราทุนไม่พอ Working Cap ตอนนี้เมื่อมีทุนเข้ามา แถมหนี้สินต่อทุน (D/E) ก็ลดน้อยลงหลังการระดมทุน ก็มีโอกาสจะสเกลอัพธุรกิจขึ้นไปอีก‘
แผนของ ‘ออโรร่า’ อยากทำอะไรต่อ
สำหรับแผนธุรกิจหลังเข้าตลาดหุ้น AURA ตั้งเป้าหมายว่า ในอีก 3 ปีต่อจากนี้ (2568) จะยึดหัวหาดในธุรกิจค้าปลีกทองคำให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ โดยคาดว่าจะเติบโตอีกประมาณ 100 สาขา ไปอยู่ที่ 409 สาขา จากตอนนี้ที่ 260 สาขา
เมื่อมีสาขามากขึ้น ก็คาดหวังยอดธุรกิจ Financing จะเติบโตขึ้นแตะระดับ 3,800 ล้านบาท หรือเติบโตประมาณ 2 เท่าภายใน 25 เดือนต่อจากนี้ และเมื่อสัดส่วนรายได้ของธุรกิจขายฝากเพิ่มขึ้น ก็คาดว่าจะช่วยให้อัตราการทำกำไร (Net Profit Margin) ของบริษัทฯ ดีขึ้น
อย่างไรก็ตาม กำไรจากการขายฝากยังอยู่ที่ 15% ตามกฎหมาย แต่จุดเด่นของธุรกิจนี้คือต้นทุนที่ต่ำ
ขณะตัวเลขหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) หลังจากทำธุรกิจ Financing ทองคำมาประมาณ 10 ปี ยังไม่ค่อยพบหนี้เสีย เพราะที่ผ่านมาทองคำที่ออโรร่าฯ รับขายฝาก ยังสามารถเอาชนะราคาทองคำในตลาดได้ ส่งผลให้บริษัทฯ ไม่ต้องตั้งสำรองหนี้สูญ
นอกจากนี้ คาดว่าเป็นเพราะธุรกิจขายฝากทองคำมีสภาพคล่องที่สูง แตกต่างจากธุรกิจขายฝากประเภทอื่นๆ ด้วย
ในส่วนของเป้าหมาย Market Share ของบริษัทฯ ยอมรับว่าธุรกิจค้าปลีกทองคำ ส่วนแบ่งตลาดอาจจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนัก แต่เชื่อว่าในธุรกิจขายฝาก จะเห็นการเติบโตเพิ่มขึ้นเป็น 4% จากตอนนี้ที่ 2%
เคยสงสัยกันมั้ยคะ ว่าการลงทุนทองคำกับการลงทุนบิทคอยน์ ลงทุนแบบไหนได้รับผลตอบแทนที่มีค่ากว่ากัน วันนี้แอดมินจะพามาดูความแตกต่างของการลงทุนทั้ง 2 แบบนี้ เพื่อให้นักลงทุนได้ประกอบการตัดสินใจ วางแผนและมีกลยุทธ์ในการลงทุนที่ดียิ่งขึ้น อีกทั้งได้เข้าใจถึงการเคลื่อนไหวของราคาทองคำและราคาบิทคอยน์อีกด้วย การทำความเข้าใจก่อนการลงทุน
การลงทุนทุกอย่างย่อมมีความเสี่ยง ไม่ว่าเราจะเลือกลงทุนแบบไหน เราก็ควรที่จะศึกษาให้ดีก่อนลงทุนนั้นๆ โดยเฉพาะในมุมมองของปัจจัย Fundamental Factors เนื่องจากปัจจัยนี้เป็นตัวกำหนดราคาของสินทรัพย์ในอนาคต
และการวิเคราะห์ข้อมูลหรือปัจจัย Technical Analysis เพื่อการทำความเข้าใจในจังหวะเวลาการเข้าซื้อ ถือครองหรือขายทำกำไรให้สอดคล้องกับแนวโน้มของราคา เพื่อให้มีโอกาสได้ทำกำไรอย่างมีกลยุทธ์ที่มากขึ้นและเพื่อลดความเสี่ยงในเรื่องความผันผวนของราคา
ความแตกต่างของการลงทุน ทองคำ และ บิทคอยน์
หากพูดถึงการลงทุนในระยะยาว เราคงจะทราบกันดีอยู่แล้วว่าการลงทุนในบิทคอยน์นั้น จะได้รับผลตอบแทนที่สูงกว่าทองคำเป็นอย่างมาก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ขึ้นอยู่กับความผันผวนของราคาบิทคอยน์ที่มีการปรับเปลี่ยนมากกว่าราคาทองคำ
ราคาและผลตอบแทน
ถ้าเราลงทุนในทองคำและบิทคอยน์ ด้วยเงินลงทุนจำนวน 1,000,000 บาท ในช่วงเวลาหนึ่ง โดยใช้กลยุทธ์การลงทุนแบบระยะยาว (Buy and hold) และไม่มีการซื้อหรือขายสินทรัพย์ตลอดระยะเวลานั้น
ผลตอบแทนในทองคำ
หากเราลงทุนในทองคำด้วยเงิน 1,000,000 บาท เราจะได้รับผลตอบแทนโดยประมาณ 33% ซึ่งเงินลงทุนจะมีการเติบโตเป็น 1,330,000 บาท ในระยะเวลา 1 ปี 4 เดือน
การลงทุนในทองคำมีสภาพคล่อง เนื่องจากทองคำถือเป็นสินทรัพย์ที่มีการยอมรับในระดับสากล และทองคำสามารถซื้อ-ขายแลกเปลี่ยนได้ทุกประเทศทั่วโลก หากต้องการลงทุนหรือนำออกมาขายเพื่อเปลี่ยนเป็นเงินสด ก็สามารถทำได้ทันทีทุกเวลา ซึ่งการลงทุนในระยะยาว ทองคำจะให้ความปลอดภัยที่มากกว่า เนื่องจากทองคำ เราสามารถถือครองสินทรัพย์ และราคาทองคำยังให้ความผันผวนที่น้อยกว่า
อย่างฝั่งตะวันตกเช่น รัฐแห่งสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ นั่นก็คือเมืองดูไบ ซึ่งเป็นเมืองที่สำคัญระดับโลกและมีการเจริญเติบโตของเมืองสูงมาก อย่างที่ทราบกันดีว่าเป็นดินแดนของคนรวย จะเห็นได้ชัดว่ามีการซื้อขายทองคำอย่างง่ายดายคือมีตู้กดทอง ซึ่งนักท่องเที่ยวที่กดทองมากที่สุด คือ ชาวแคนาดา ชาวออสเตรเลีย และชาวแอฟริกาใต้นั่นเองค่ะ
นอกจากทองคำจะสร้างมูลค่าเพิ่มได้แล้ว เรายังนำทองคำรูปพรรณมาสวมใส่เป็นเครื่องประดับเพื่อความสวยงามในโอกาสต่างๆ และสามารถสร้างความสุขทางใจอีกด้วยค่ะ
ผลตอบแทนในบิทคอยน์
หากเราลงทุนในบิทคอยน์ด้วยเงิน 1,000,000 บาท ในระยะเวลาเดียวกันกับการลงทุนทองคำ เราจะได้รับผลตอบแทนโดยประมาณ 108% ซึ่งเงินลงทุนจะมีการเติบโตถึง 2,080,000 บาท
ถึงแม้ผลตอบแทนในรูปแบบการลงทุนในบิทคอยน์นี้จะได้รับผลตอบแทนที่สูงกว่าการลงทุนในทองคำ แต่ความเสี่ยงของการลงทุนในบิทคอยน์นั้นก็มีมากด้วยเช่นกัน ซึ่งความผันผวนของบิทคอยน์นั้นก็ขึ้นอยู่กับกระแสเศรษฐกิจโลก ดังนั้นการเทรดบิทคอยน์ถือว่าเป็นสินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูง เพราะภายใน 1 วัน สามารถขึ้นลงได้ถึง 30% เลยทีเดียว และบิทคอยน์ก็ยังไม่ถือว่าเป็นสินทรัพย์ที่จับต้องได้ ณ ปัจจุบัน อีกทั้งยังไม่เป็นสกุลเงินที่ถูกการยอมรับโดยสากลอีกด้วยค่ะ รวมไปถึงการเทรดบิทคอยน์นั้น จะต้องมีความรู้ ความเชี่ยวชาญและทักษะในการจัดการบริหารพอร์ตลงทุนอยู่พอสมควร เนื่องจากการลงทุนบิทคอยน์จะต้องทำธุรกรรมทุกอย่างผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ รวมไปถึงการทำธุรกรรมทางการเงิน จึงต้องใช้ความชำนาญในการดูแลแพลตฟอร์มเป็นพิเศษ หากระหว่างที่เราทำรายการเกิดข้อผิดพลาด การทำธุรกรรมนั้นจะไม่สมบูรณ์หรืออาจทำให้เงินเราหายได้ในพริบตาเดียว และเราไม่สามารถทำธุรกรรมคืนเงินได้ หรือจะร้องเรียนกับหน่วยงานใดได้เลย ไม่เหมือนในการลงทุนทองคำที่ไม่จำเป็นต้องมีทักษะมากเท่ากับการลงทุนในบิทคอยน์
เป็นอย่างไรกันบ้างคะ พอจะเป็นประโยชน์กับทุกคนไม่น้อยเลยใช่มั้ยคะ อย่างไรก็ตามทุกการลงทุนย่อมมีความเสี่ยง
โปรดศึกษารายละเอียดให้ดีก่อนเริ่มลงทุนนะคะ