หลักการตลาด ที่หลายคนรู้จักกันเป็นอย่างดี ส่วนประสมทางการตลาด (Marketing Mix) คือ องค์ประกอบสำคัญในการดำเนินการตลาด ซึ่งนักการตลาดหรือนักธุรกิจต่างๆ ต่างให้การยอมรับและใช้ในการทำการตลาดกันอย่างแพร่หลาย ทั้งในอดีตจนถึงปัจจุบัน เรียกได้ว่าส่วนประสมทางการตลาด เป็นพื้นฐานสำคัญในการทำธุรกิจเลยก็ว่าได้ ซึ่งธุรกิจต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจสินค้าหรือบริการ จำเป็นต้องนำแนวทางการตลาดรูปแบบนี้มาใช้ในการทำการตลาด เพื่อให้สามารถตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคได้
ส่วนประสมทางการตลาด (Marketing Mix) คือ องค์ประกอบสำคัญในการดำเนินการตลาด ซึ่งแรกเริ่มเดิมทีนั้นส่วนประสมทางการตลาดมีแค่ 4 องค์ประกอบ คือ
ผลิตภัณฑ์ (Product)
การจัดจำหน่าย (Place)
การกำหนดราคา (Price) และ
การส่งเสริมการตลาด (Promotion) เท่านั้น
ทำให้มีชื่อเรียกว่า 4’Ps
แต่เนื่องจากส่วนประสมทางการตลาดแบบเดิมครอบคลุมเฉพาะธุรกิจสินค้าเท่านั้น จึงมีการเพิ่มอีก 3 องค์ประกอบเข้ามา นั่นคือ บุคคล (People)
กระบวนการ (Process)
และสิ่งแวดล้อมทางกายภาพ (Physical Evidence)
เพื่อให้ส่วนประสมทางการตลาดสามารถตอบโจทย์และครอบคลุมทั้งธุรกิจสินค้าและบริการ จึงทำให้มีชื่อเรียกใหม่ว่า 7Ps
ส่วนประสมทางการตลาด (Marketing Mix) ถือได้ว่าเป็นพื้นฐานในการทำธุรกิจ มีองค์ประกอบด้วยกัน 7 องค์ประกอบดังนี้
ผลิตภัณฑ์เป็นสิ่งที่เสนอขายหรือสิ่งที่ผู้บริโภคต้องการ โดยผลิตภัณฑ์อาจเป็นสินค้าหรือบริการ ซึ่งจะต้องมีประโยชน์ (Utility) มีคุณค่า (Value) ให้กับผู้บริโภค กล่าวคือต้องตอบสนองต่อการใช้งานและสร้างความพึงพอใจกับผู้บริโภค จึงจะส่งผลทำให้ ผลิตภัณฑ์สามารถขายได้ ในการเพิ่มมูลค่าให้ผลิตภัณฑ์ต้องมีความเข้าใจว่าผลิตภัณฑ์ของเราคืออะไร อะไรคือสิ่งที่เราควรเพิ่มหรือ ปรับปรุงตัวผลิตภัณฑ์ของเรา หรือการบริการหรือการท าอะไรที่ช่วยเพิ่มมูลค่าให้ผลิตภัณฑ์ของเรา ซึ่งต้องพิจารณาจากองค์ประกอบ ของผลิตภัณฑ์ (Product Component) เช่น หน้าที่และประโยชน์ใช้สอยพื้นฐาน(Function) รูปร่างลักษณะ(Feature and Design) คุณภาพ(Quality level) การบรรจุภัณฑ์(Packaging) ตราสินค้า(Brand)
ผลิตภัณฑ์แบ่งเป็น 2 ลักษณะ คือ สินค้าและบริการ ผู้ประกอบการ ต้องรู้ว่าจะขายอะไรและ กลุ่มเป้าหมาย คือใคร ซึ่งก่อนที่ผู้ประกอบการจะตัดสินใจทำธุรกิจใดๆ นั้นต้องศึกษา พฤติกรรมผู้บริโภค และหา
Pain Point ของผู้บริโภคให้เจอ เพื่อให้สามารถนำเสนอสินค้าหรือบริการได้อย่างตรงใจผู้บริโภค
ยิ่งสินค้าหรือบริการของคุณสามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้มากเท่าไหร่ ธุรกิจของคุณสามารถก็สามารถอยู่เหนือคู่แข่งขันรายอื่นๆ ในตลาดได้อย่างแน่นอน
การส่งเสริมภาพลักษณ์ด้วยตราผลิตภัณฑ์
ตราผลิตภัณฑ์เป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงการเป็นเจ้าของตัวสินค้าหรือบริการ โดยตราผลิตภัณฑ์จะนำเสนอผ่านความโดดเด่น ของชื่อ (Name) คำ (Term) สัญลักษณ์ (Symbol) การออกแบบ (Design) ที่จะเป็นตัวบอกว่าผลิตภัณฑ์หรือบริการนั้น ๆ เป็น ของใคร และให้เกิดเอกลักษณ์ที่แตกต่างจากคู่แข่งขัน เมื่อผู้บริโภคให้ความสนใจในตราผลิตภัณฑ์จะส่งผลให้ผู้บริโภคเกิดความ เชื่อมั่นในการตัดสินใจเลือกและเกิดความภักดีในตราผลิตภัณฑ์ ตราผลิตภัณฑ์จึงเป็นส่วนช่วยเพิ่มคุณค่าให้กับตัวผลิตภัณฑ์และ บริการ
การเพิ่มมูลค่าให้ผลิตภัณฑ์ด้วยการสร้างความแตกต่างให้บรรจุภัณฑ์
หน้าที่หลักของบรรจุภัณฑ์ คือ ป้องกันความเสียหายของผลิตภัณฑ์ โดย บรรจุภัณฑ์อาจมีลักษณะเป็นกระป๋อง กล่อง ห่อ หรือซอง หากเป็นบรรจุภัณฑ์ในเชิง พาณิชย์บนบรรจุภัณฑ์มีฉลากผลิตภัณฑ์ ในรูปแบบแผ่นป้ายที่ติดอยู่กับตัวผลิตภัณฑ์ หรืออาจเป็นส่วนหนึ่งของบรรจุภัณฑ์ ฉลากผลิตภัณฑ์จะต้องแสดงรายละเอียดของ ชื่อ ตราผลิตภัณฑ์ ข้อมูลการผลิต วันหมดอายุ สถานที่ผลิตผลิตภัณฑ์และผู้จ าหน่าย ส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์ ขนาดหรือปริมาณค าแนะน าการใช้งาน โดยต้องให้ข้อมูล ให้ถูกที่ต้องตามกฎหมายก าหนด
ในการเพิ่มมูลค่าให้ผลิตภัณฑ์จากการออกแบบบรรจุภัณฑ์ อาจพิจารณาจากหน้าที่ของบรรจุภัณฑ์ ช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ รูปร่างลักษณะ และสีสันที่เด่นของบรรจุภัณฑ์ของผลิตภัณฑ์ เป็นสิ่งที่ทำให้ ผู้บริโภคหรือผู้ใช้จดจำได้ เช่น ขวดเครื่องดื่มน้ำอัดลม
ในการเพิ่มมูลค่าให้ผลิตภัณฑ์จากการออกแบบบรรจุภัณฑ์ อาจพิจารณาจากหน้าที่ของบรรจุภัณฑ์ ช่วยการป้องกันและบรรจุอุปกรณ์ที่จำเป็นต่าง ๆ ของผลิตภัณฑ์ เช่น กล่องใส่โทรศัพท์มือถือ
ในการเพิ่มมูลค่าให้ผลิตภัณฑ์จากการออกแบบบรรจุภัณฑ์ อาจพิจารณาจากหน้าที่ของบรรจุภัณฑ์ ช่วยให้เกิดความสะดวกและความปลอดภัยในการใช้ เช่น ขวดแชมพู ขวดสบ
ในการเพิ่มมูลค่าให้ผลิตภัณฑ์จากการออกแบบบรรจุภัณฑ์ อาจพิจารณาจากหน้าที่ของบรรจุภัณฑ์ ช่วยประหยัดพื้นที่ และสะดวกต่อการขนส่ง เช่น บรรจุภัณฑ์ของเครื่องเรือนที่สามารถถอดประกอบเองได้
ในการเพิ่มมูลค่าให้ผลิตภัณฑ์จากการออกแบบบรรจุภัณฑ์ อาจพิจารณาจากหน้าที่ของบรรจุภัณฑ์ ช่วยป้องกันความเสียหายและทำให้ผลิตภัณฑ์ยังมีความสดใหม่อยู่ เช่น บรรุภัณฑ์แบบซองที่มีลักษณเป็นถุงซิบของถุงผลไม้ดอง หรือขนมต่าง ๆ
ในการเพิ่มมูลค่าให้ผลิตภัณฑ์จากการออกแบบบรรจุภัณฑ์ อาจพิจารณาจากหน้าที่ของบรรจุภัณฑ์ ช่วยป้องกันการถูกขโมย หากผลิตภัณฑ์ที่ขนาดเล็กสามารถ ถูกขโมยได้ง่าย หากใส่ในบรรจุภัณฑ์ที่มีขนาดใหญ่ช่วยป้องกัน การขโมย เช่น ถ่านไฟฉายที่ขายเป็นแพ็ค หรือ handy drive ที่มีบรรจุใหญ่กว่าสินค้า
เมื่อสินค้าหรือบริการของคุณสามารถตอบโจทย์ความต้องการและมีคุณค่าในสายตาของลูกค้า ก็จะทำให้ลูกค้าเต็มใจจ่ายซื้อสินค้าหรือบริการได้อย่างไม่ลังเลแน่นอน แต่ทั้งนี้คุณก็ควรกำหนดราคาให้เหมาะกับคุณภาพของสินค้าด้วย ไม่ควรกำหนดราคาแบบเอารัดเอาเปรียบลูกค้าจนเกินไป ซึ่งการกำหนดราคาสินค้าหรือบริการก็มีหลายรูปแบบด้วยกัน ยกตัวอย่างเช่น
เป็นการกำหนดราคาพื้นฐาน โดยส่วนธุรกิจต่างๆ มักจะใช้วิธีนี้ในการกำหนดราคาสินค้าหรือบริการ ซึ่งเป็นการกำหนดราคาจากการนำ ต้นทุน ที่สามารถแยกย่อยเป็น ต้นทุนคงที่และต้นทุนผันแปรที่ใช้ไปในการผลิตสินค้าหรือบริการนั้นๆ มาคำนวณแล้วบวกกำไรที่ต้องการจากการขายสินค้าหรือบริการในแต่ละชิ้น
ถ้าสินค้าหรือบริการของคุณไม่แตกต่างจากของคู่แข่งมากนัก คุณก็ควรที่จะใช้กลยุทธ์ในการกำหนดราคาแบบนี้ เพื่อให้สามารถแข่งขันกับคู่แข่งรายอื่นได้นั่นเอง
เป็นการกำหนดราคาแบบยึดความต้องการของตลาดเป็นเกณฑ์ โดยการกำหนดราคาแบบนี้จะเกี่ยวข้องกับการรับรู้คุณค่าของสินค้าหรือบริการในสายตาของลูกค้า เช่น การกำหนดราคาเพื่อเจาะตลาด การกำหนดราคาแบบเลขคี่หรือการกำหนดราคาตามกลุ่มลูกค้า เป็นต้น
ราคาเป็นคุณค่าหรือมูลค่าของตัวผลิตภัณฑ์ที่แสดงออกมาในรูปของตัวเงิน ซึ่งจะเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคหรือผู้ใช้ สามารถเปรียบเทียบได้ง่าย โดยผู้บริโภคจะเปรียบเทียบระหว่างคุณค่าที่ได้รับว่าเหมาะสมกับราคาหรือไม่ ดังนั้นผู้ ให้บริการหรือเจ้าของผลงานควรกำหนดราคาให้เหมาะสมกับสิ่งที่ผู้บริโภคได้รับ และการได้มาซึ่งผลิตภัณฑ์หรือผลงาน ของตนเอง โดยการกำหนดราคาสามารถพิจารณาจากปัจจัยที่เกี่ยวข้อง เช่น
ผู้บริโภคหรือผู้ใช้ ผู้บริโภคหรือผู้ใช้จะเปรียบเทียบระหว่างคุณค่าผลิตภัณฑ์ กับราคาผลิตภัณฑ์นั้น ถ้าคุณค่าที่รับรู้ของผู้บริโภคหรือผู้ใช้สูงกว่า ราคาผลิตภัณฑ์ เขาจึงจะตัดสินใจซื้อ ดังนั้นในการตั้งราคาจึงต้อง คำนึงถึงคุณค่าที่รับรู้ ในสายตาของผู้บริโภคหรือผู้ใช้ในกลุ่มต่าง ๆ ให้ คุณค่าที่รับรู้ของผลิตภัณฑ์สูงกว่าราคาผลิตภัณฑ์นั้น
ต้นทุนของผลิตภัณฑ์ ต้นทุนผลิตภัณฑ์และค่าใช้จ่ายในการซื้อหรือการผลิตที่เกี่ยวข้อง เช่น ค่าวัสดุ ค่าเครื่องมือ ค่าสถานที่ เงินเดือนพนักงานหรือ ลูกจ้าง และค่าใช้จ่ายในการส่งเสริมการขายผลิตภัณฑ์ ซึ่งมีผลโดยตรงต่อการตั้งราคาของผลิตภัณฑ ์
ราคาของคู่แข่งขัน การนำราคาของผลิตภัณฑ์ประเภทเดียวกัน คล้ายกันหรือ คุณสมบัติใกล้เคียงกันของคู่แข่งขันอื่น ๆ มาพิจารณา ในการตั้งราคา จำหน่ายให้เหมาะสมหรือใกล้เคียงกัน เพื่อไม่ให้เกิดการเปรียบเทียบกัน จนเกินไป ซึ่งหากเราตั้งราคาที่สูงกว่าอาจทำให้สูญเสียผู้บริโภคหรือผู้ใช้ แต่หากผลิตภัณฑ์ของเราแตกต่างจากคู่แข่งขันอื่น และคุณค่าที่รับรู้ใน สายตาของผู้บริโภคหรือผู้ใช้ถึงผลิตภัณฑ์ของเราสูงกว่าคู่แข่งขัน ก็ สามารถกำหนดราคาผลิตที่สูงกว่าได
ช่องทางการจัดจำหน่ายเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่สำคัญอย่างมากในการทำธุรกิจ ซึ่งในปัจจุบันนี้พฤติกรรมผู้บริโภคได้เปลี่ยนไปแล้ว ธุรกิจต่างๆ ต้องปรับตัวให้เข้ากับพฤติกรรมผู้บริโภค โดยต้องมีช่องทางในการติดต่อสื่อสารกับลูกค้าหลากหลายช่องทางทั้งทางออฟไลน์และออนไลน์ หรือที่เราเรียกกันว่า
Omni Channel เพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าและสามารถเข้าถึงลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เป็นปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับที่ตั้งและรูปแบบสถานที่ให้บริการ โดยต้องพิจารณาให้เหมาะสมกับ ผลิตภัณฑ์ของเราเพื่อให้เกิดการเพิ่มมูลค่า
1. รูปแบบสถานที่ขายผลิตภัณฑ์ หรือการบริการ ต้องคำนึงความเหมาะสมของผลิตภัณฑ์หรือการ ให้บริการ และกลุ่มผู้ใช้หรือผู้บริโภคที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งรูปแบบต่าง ๆ เช่น
ร้านขายสินค้าเฉพาะทั่วไป
ร้านค้าออน์ไลน์
แผนกในห้างสรรพสินค้า
ร้านสะดวกซื้อ
ซูเปอร์มาร์เก็ต
รถเข็น
2. สถานที่ตั้งของร้านค้า เช่น ตลาดนัด ร้านค้าในห้างสรรพสินค้าในตัวเมือง ชานเมือง ร้านค้าในย่านชุมชน ซึ่งสามารถให้คำถาม เหล่านี้ช่วยพิจารณา ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายคือใคร
+ มีคู่แข่งขันหรือร้านค้าที่มีผลิตภัณฑ์หรือบริการ ประเภทเดียวกัน หรือใกล้เคียงกันในบริเวณนั้นหรือไม่
+ มีปริมาณผู้คนในบริเวณนั้นมากน้อยเพียงใด
+ สถานที่ตั้งอยู่ในศูนย์กลางหรือครอบคลุมกลุ่มเป้าหมาย(ผู้ใช้หรือผู้บริโภค)หรือไม่
+ สถานที่ตั้ง กลุ่มเป้าหมายหรือผู้ใข้สามารถเดินทางหรือเข้าถึงได้ง่าย ปลอดภัย สะดวกสบายหรือไม่ สามารถเข้าถึงได้ ด้วยการบริการสาธารณะหรือไม
การส่งเสริมการตลาดเป็นการสื่อสารกันระหว่างผู้ให้บริการ และผู้บริโภคหรือผู้ใช้ เพื่อกระตุ้นการขาย และสร้างทัศนคติที่ดีกับผลิตภัณฑ์ โดยผ่านเครื่องมือส่งเสริมการตลาดไม่ว่าจะเป็น
การโฆษณา (Advertising),
การขายโดยใช้พนักงานขาย (Personal Selling),
การตลาดทางตรง (Direct Marketing),
การให้ข่าวและ ประชาสัมพันธ์ (Publicity and Public Relation)
การส่งเสริมการขาย (Sale Promotion) โดยอาจเลือกใช้ เครื่องมืออย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลาย ๆ เครื่องมือแบบประสมประสานกัน โดยพิจารณาถึงความเหมาะสมกับ ลูกค้าหรือผู้ใช้ ผลิตภัณฑ์ คู่แข่งขัน เพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมายที่ตั้งไว้
เป็นวิธี การสื่อสาร ระหว่างธุรกิจกับผู้บริโภค โดยมีจุดประสงค์หลายอย่าง เช่น เพื่อให้ลูกค้ารู้จักแบรนด์และสนใจมากยิ่งขึ้น เพื่อเพิ่มยอดขายหรือเพื่อกระตุ้นให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำและอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งวิธีการส่งเสริมการตลาดก็สามารถทำได้หลากหลายวิธี
ซึ่งกลยุทธ์นี้เป็นกลยุทธ์ที่สำคัญมากต่อการทำธุรกิจในยุคนี้ เพราะการทำ CRM จะช่วยให้ธุรกิจสามารถเสนอโปรโมชั่นได้ตรงใจลูกค้ามากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็น คูปองส่วนลด ของแถมหรือการให้ของขวัญ เป็นต้น
บุคคลในที่นี้ คือ ผู้มีส่วนร่วมในกระบวนการให้บริการ นั่นคือ พนักงานภายในกิจการนั่นเอง ซึ่งพนักงานเป็นส่วนหนึ่งของกิจการและเปรียบเสมือนตัวแทนของกิจการ ถ้าหากพนักงานให้บริการลูกดี ก็จะทำให้ลูกค้าเกิดความประทับใจและกลับมาใช้บริการหรือซื้อซ้ำอีกครั้งได้
ซึ่งในทางตรงกันข้ามถ้าหากพนักงานบริการแย่ ก็จะทำให้ลูกค้าเกิดความไม่พอใจได้หรือเลวร้ายกว่านั้น คือ อาจจะเกิดการบอกต่อจนทำให้กิจการเสียชื่อเสียงได้ ฉะนั้นทางกิจการต้องมีการสร้างจิตสำนึกใน การบริการ ให้กับพนักงาน โดยการจัดการอบรม การฝึกสอนหรือการติดตามและประเมินผลงาน เป็นต้น
เป็นวิธีการหรือขั้นตอนในการให้บริการหรือนำเสนอสินค้าให้แก่ลูกค้า เพื่อมอบการให้บริการอย่างถูกต้องรวดเร็วและทําให้ผู้ใช้บริการเกิดความประทับใจ อย่างเช่น เว็บไซต์ของธุรกิจ ต้องออกแบบให้หน้าเว็บไซต์สวยงาม ใช้งานง่ายและไม่ซับซ้อน เพราะลูกค้าทุกคนไม่ชอบความยุ่งยาก ถ้าหากเว็บไซต์ของคุณใช้งานยุ่งยากและซับซ้อนจนเกินไปก็อาจจะทำให้ลูกค้าตัดใจไม่ใช้บริการหรือถอดใจไม่ซื้อสินค้าเลยก็เป็นได้
เป็นสิ่งแวดล้อมทางกายภาพที่ลูกค้าเข้ามาใช้บริการต้องพบเจอ ในกรณีนี้เราจะยกตัวอย่าง ร้านขายของชำ ถ้าหากรูปแบบร้านไม่ได้ออกแบบมาให้สวยงาม อีกทั้งการจัดร้านก็ไม่เป็นระเบียบเรียบร้อย มีฝุ่นละอองจับตามชั้นวางของ สิ่งแวดล้อมทางกายภาพต่างๆ เหล่านี้ที่ลูกค้าต้องเจอ จะทำให้ลูกค้าเกิดความไม่ประทับใจและอาจจะไม่เข้ามาใช้บริการร้านขายของชำอีกเลยก็เป็นได้ ซึ่งในส่วนของ Digital Marketing การสร้างสิ่งแวดล้อมทางกายภาพ ที่แบรนด์ต้องทำ คือ สร้างเว็บไซต์ให้สวยงาม ง่ายต่อการใช้งานและตรงกับความต้องการของลูกค้า เพื่อเป็นการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้แก่ลูกค้านั่นเอง
ช่วยให้ลูกค้ารู้จักและจดจำแบรนด์ได้ดียิ่งขึ้น
ช่วยให้ธุรกิจสามารถรู้ความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย
ทำให้ธุรกิจสามารถตอบสนองต่อความต้องการของกลุ่มเป้าหมายได้อย่างตรงจุด
สามารถวางแผนทำกลยุทธ์การตลาดได้ดีและมีประสิทธิภาพ
ทำให้ธุรกิจสามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่เหมาะสมกับสินค้าหรือบริการของแบรนด์
ช่วยให้ธุรกิจสร้างยอดขายและกำไรได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทำให้ธุรกิจรู้จักและเข้าใจสินค้าหรือบริการของตนเองมากยิ่งขึ้น
ช่วยให้ธุรกิจสื่อสารแบรนด์ไปยังกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สร้างแคมเปญทางการตลาดได้ดีขึ้น
ส่วนประสมทางการตลาด คือ องค์ประกอบสำคัญในการดำเนินการตลาด ซึ่งในอดีตนั้นจะมีเพียง 4 องค์ประกอบเท่านั้นหรือที่เราเรียกกันว่า 4’Ps แต่เนื่องด้วยส่วนประสมทางการตลาดแบบเดิมนั้น ครอบคลุมเพียงธุรกิจที่เป็นสินค้าเท่านั้น จึงมีการเพิ่มอีก 3 องค์ประกอบเข้ามา เพื่อให้สามารถครอบคลุมทั้งธุรกิจสินค้าและบริการ ทำให้มีชื่อเรียกใหม่ว่า 7’Ps นั่นเอง ซึ่งส่วนผสมทางการตลาดเรียกได้ว่าเป็น
การตลาดเพื่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยว
(Marketing for tourism Industry)
ความหมายและความสําคัญของตลาดการท่องเทียว ส่วนประกอบของตลาดเพือการท่องเทียว การ จัดลําดับความสําคัญของตลาดเป้ าหมาย การวิเคราะห์สถานการณ์และสภาพแวดล้อมทางการแข่งขัน การวางแผน และการกําหนดกลยุทธ์ทางการตลาดเพืออุตสาหกรรมการท่องเทียว
ธุรกิจท่องเที่ยวต้องมีส่วนประกอบหลักดังนี้
1. มีจุดสนใจ(Attraction)
ทีนักท่องเทียวจะให้ความสนใจ ยกตัวอย่างเช ่น ทัชมาฮาลในประเทศ อินเดีย ปิรามิดในประเทศอียิปต์ ฯลฯ จุดสนใจนีสามารถทีจะเป็นจุดสนใจทีเกิดขึนใหม่ หรือเป็นจุดสนใจทีมีอยู่ดังเดิมแล้ว จุดสนใจทีมีความสําคัญทีจะดึงดูดนักท่องเทียวเข้ามาเยียมชม ซึ่งอาจเกิดขึน ได้หลายกรณี ยกตัวอย่างเช่น บังไฟพญานาค สุริ ยุปะราคา หรือในบางกรณีอาจเป็นตัวบุคลก็ได้ เช่น หลวงพ่อคูน อย่างไรก็ดีจุดสนใจดังกล่าวสามารถเปลียนแปลงได้ ขึนอยู่กับความสนใจของ นักท่องเทียว
2. มีจุดหมาย (Destination)
สถานทีท่องเทียวควรเป็นจุดหมายหลักทีนักท่องเทียวให้ความสําคัญ เช่น เป็ นประเทศหรือเมือง หรือสถานทีที่นักท่องเทียวให้ความสําคัญ ตัวอย่างเช่น ประเทศอังกฤษ เป็นประเทศที่บุคคลสนใจไปเรียนภาษาอังกฤษ บาหลีมีชายหาดทีสวยงาม
3. สามารถเข้าถึงได้ (Accessibility)
สถานทีท่องเทียวต้องสามารถเข้าถึงได้ไม่ว่าจะเป็ นทางใดก็ตาม การเข้าถึงได้ของนักท่องเทียวนีมีส่วนสําคัญเป็นอย่างมาก ซึ่งหากนักท่องเทียวไม่สามารถจะเดิน ทางเข้าไปถึงแหล่งท่องเทียวได้ ก็นับว่าสถานที่ดังกล่าวยังไม่พร้อมทีจะดําเนินธุรกิจการท่องเทียว ตัวอย่างเช่น ใจกลางป่าอเมซอน ซึ่งไม่สามารถเดินทางไปถึงได้ หรือ ใต้ทะเลลึก ความสําคัญของความสามารถเข้าถึงได้นี้เป็นส่วนสําคัญมากต่อความต้องการของนักท่องเทียวและมีส่วนทีทําให้ ธุรกิจการท่องเทียวเติบโตได้มากหรือน้อย การเดินทางสามารใช ้ทั งทางอากาศ ทางบก และทางนํ า ซึง ตราบใดทีนัดท่องเทียวสามารถเข้าถึงก็จัดอยู่ในส่วนธุรกิจการท่องเทียว
4. สิ่งปลูกสร้างพืนฐาน(Infrastructure)
ธุรกิจท่องเทียวต้องประกอบด้วยสิ่งปลูกสร้างพืนฐานอันจะนํานักท่องเที่ยวเข้าสู่พื้นที่ได้ เช่น ถนน สนามบิน ท่าเรือ ฯลฯ สิ่งปลูกสร้างนีอาจมิใช่สิงถาวร หรือ อาจทําขึ นชั่วคราว เช่น บ้านพักบนต้นไม้
5. ความสะดวกสบาย(Facilities)
เป็นปัจจัยสําคัญทีนักท่องเที่ยวจะพิจารณาความต้องการเบื้องต้นของ อาหาร, น้ำ, ที่อยู่อาศัย, ยารักษาโรค, และความปลอดภัย ควรจัดให้มีในแหล่งท่องเทียวและจะเป็นการดึงดูดนักท่องเทียวทําให้เกิดธุรกิจต่อเนื่อง
จากปัจจัยของธุรกิจท่องเทียวดังกล่าว จะเห็นได้ว่าล้วนมีความสําคัญทีจะทําให้เกิดการท่องเทียว หรื อไม่อย่างไรก็ไดัปัจจัยดังกล่าวอาจไม่จําเป็ นต้องมีครบทั ง 5 ข้อในเบืองต้น แต่หากจะพัฒนาการ ท่องเทียวต่อไปควรจะมีครบทั้ง 5 ข้อ
ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว(Tourism Related Industry)
เป็นธุรกิจที่ให้บริการหรือขายสินค้า ให้กับนักท่องเทียว ตัวอย่างเช่น ร้านอาหาร ร้านบริ การล้าง-อัดรูป ร้านเสื้อผ้า ร้านขายของทีระลึก เป็ นต้น
ด้วยเหตุดังกล่าวทําให้ธุรกิจท่องเที่ยวเป็นส่วนหนึงของธุรกิจบริการที่มีความสําคัญและเกียวข้องกับ ธุรกิจอื่นๆ และบุคคลจํานวนมาก ซึ่งจะส่งผลถึงการเพิ่มขึ้นหรือลดลงของเศรษฐกิจได้
การตลาดและการท่องเทียว(Tourism and Marketing)
การจัดแผนการตลาดทางด้านการท่องเทียวนั้นมีส่วนสําคัญเป็นอย่างยิ่งต่อความสําเร็จในการดําเนินธุรกิจและการชักจูงนักท่องเที่ยวให้มาเที่ยวในสถานที่เป้าหมาย หลักการตลาดเบื่องต้นที่จะ นํามาพิจารณาสามารถอธิบายได้ดังนี
4P ในตลาดอุตสาหกรรมท่องเที่ยว
Product (สินค้า)
-สินค้าทางการท่องเที่ยวนั้น แตกต่างจากจากสินค้าในกลุ่มธุรกิจอื่นโดยสิ้นเชิง
-สินค้าจากการท่องเที่ยวเป็นสินค้าที่ไม่สามารถจับต้องได้(Intangible Product) ก่อนการตัดสินใจซื้อ
ซึ่งแตกต่างจากสินค้าอื่นๆ ที่สามรถจับต้องได้(Tangible Product) หรือทดลองใช ้หรือสัมผัสก่อนการตัดสินใจซื้อของลูกค้าจะขึ้นอยู่กับความเชิ่อมันและความต้องการของลูกค้าโดยตรง ซึ่งการตัดสินใจดังกล่าว นั้นคือการซื้อความคาดหวัง (Expectation) เท่านั้น
ตัวอย่างเช่น
นักท่องเที่ยวซื้อแพ็คเกจทัวร์โดย คาดหวังว่าเมื่อเดินทางไปถึงจะมีผู ้มารับและพาไปเยียมชมสถานทีต่างๆ คาดหวังว่าจะมีโรงแรมที พักที่มีห้องเครื่องปรับอากาศและน้ำร้อนภายในห้อง คาดหวังว่าสายการบินจะเดินทางตรงเวลาด้วย ความปลอดภัย ฯลฯ
ความคาดหวังดังกล่าวเป็นการยากที่จะทราบถึงความต้องการแท้จริงของผู้ซื้อสินค้าได้ เนื่องจากผู้ขายไม่ทราบถึงความคาดหวังอันแท้จริงของลูกค้า อันเกิดจากประสบการณ์ของลูกค้าที่แตกต่างกัน ตัวอย่างเช่น ลูกค้าเคยพักโรงแรมระดับ 4 ดาวที่มีอุปกรณ์ภายในห้องครบครัน เมื่อลูกค้าคนดังกล่าวเดินทางไปยังสถานที่อื่น และขอจองโรงแรมระดับ 4 ดาว ความคาดหวังของ ลูกค้าว่าโรงแรมระดับ 4 ดาว ต้องมีบริการเหมือนกันหมด อาจไม่ได้รับการตอบสนอง เนื่องจากมาตรฐานที่ต่างกันของโรงแรม ความคาดหวังนี้มักจะสูงขึ้นเรื่อยๆ และในฐานะผู ้ให้บริการก็จําเป็นทีจะต้องพัฒนาตัวเองให้ สูงขึ้นเช่นกัน หากผู้ให้บริการหรือผู้ประกอบการไม่ได้มีการพัฒนาธุรกิจการท่องเทียวที่ตนเองประกอบอยู่ก็ไม่อาจบรรลุถึงเป้าหมายได้
Price(ราคา)
การกําหนดราคาของสินค้าของการท่องเที่ยวนั้นค่อนข้างลําบาก เนื่องจากสภาวะความต้องการของตลาด(Demand) และจํานวนของสินค้าที่มีอยู่ในตลาด(Supply)อีกทั้งยังมีปัจจัยอื่นที่เป็นตัวกําหนดราคาดังต่อไปนี
1. ฤดูกาล(Seasonal) ความปรกติราคาสินค้าจะขึ้นอยู่กับฤดูกาลท่องเทียว ซึ่งในสินค้าชนิด เดี่ยวกันอาจมีราคาทีแตกต่างกันมากกว่าเท่าตัวในช่วงฤดูกาลท่องเทียว
2. มาตรฐานการบริการ(Service Standard) ที่ต่างกันจะเป็นตัวกําหนดราคาสินค้า ซึ่งผู้ซื่อสินค้าจะต้องยอมรับในมาตรฐานดังกล่าว
2.1. ทิศทางและแนวโน้มความนิยม(Trend) จะเป็นตัวกําหนดราคาของสินค้าทางด้านการ ท่องเที่ยวและนับเป็นสิ่่งสําคัญอย่างยิ่ง ทิศทางและแนวโน้มความนิยมอาจแบ่งได้เป็นหลายลักษณะ ดังต่อไปนี้
- ลักษณะปกติตามวงจร(Lifecycle) ซึ่่งจะขึ้นลงตามความนิยมภายในช่วงเวลา
- ลักษณะขึ้นลงแบบสลับ(Parabora) ซึ่งจะขึ้นลงในช่วงเวลาอันสั้นและจะสลับสับเปลี่ยนโดย ต่อเนื่อง
- ลักษณะขึ้นแบบถาวร(Stable) ซึ่งจะขึ้นและรักษาระดับความนิยมอยู่โดยตลอด
- ลักษณะขึ้นและลงอย่างรวดเร็ ว(Fashion) เป็นลักษณะขึ้นและลงอย่างรวดเร็ว
2.2 ลักษณะของตัวสินค้าของการท่องเที่ยวเองซึ่งอาจเปลี่ยนแปลงหรือลดน้อยลงได้ และจะเป็นการกําหนดราคาได้ ตัวอย่างเช่น การล่องเรือชมดอกซากุระ หรือ การเที่ยวชมอุทยานเปิด ซึ่งต้องได้รับอนุญาตพิเศษ
Place(Distribution)
ช่องทางการจัดจําหน่าย การท่องเที่ยวและสินค้าที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวนั้น สามารถเปลี่ยนแปลง และเลือกช่องทาง การจําหน่ายได้โดยไม่มีกฎตายตัว ซึ่งจะถูกกําหนดโดยสภาวะตลาด และผู้ประกอบการอย่างไรก็ตาม ช่องทางการจัดจําหน่ายนั้นสามารถแบ่งได้ดังนี้
1. จัดจําหน่ายโดยตรงให้กับลูกค้า(Direct Sale) หรื อ (BtoC-Bussiness To Customer) ช่องทางดังกล่าวนี้อาจกล่าวได้ว่าเป็นช่องทางที่เหมาะสมกับธุรกิจขนาดเล็ก หรือกับแหล่งท่องเที่ยวที่ ได้รับการนิยมแบบถาวร
ผู้ให้บริการหรือสินค้าจะจัดจําหน่ายโดยตรงกับลูกค้า โดยอาจจะใช้เครื่องมือบางอย่างเช่น Internet หรือ การโฆษณาโดยตรง สําหรับการจัดจําหน่ายในลักษณะนี้มี จุดเด่น กล่าวคือ สินค้าสามารถขายได้ราคาโดยที่มิต้องเสียค่านายหน้า และผู้ขายสามารถควบคุม ระบบการขายได้โดยตรง อย่างไรก็ตามช่องทางการจัดจําหน่ายในลักษณะนี้ มีจุดด้อยและข้อจํากัด กล่าวคือสินค้า หรือบริการจะไม่สามารถขยายตลาดได้อย่างทั่วถึง และอาจจะผูกติดกับกลุ่มลูกค้า กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งมากเกินไป
2. จัดจําหน่ายโดยผ่านตัวกลาง หรื อ (BtoB – Bussiness to Bussiness) การจัดจําหน่าย ลักษณะนี้เป็นการจัดจําหน่ายโดยการผ่านตัวกลาง ทั้งในรูปแบบของการค้าปลีก(Retail) และการค้า ส่ง(Wholesales) ตัวอย่างเช่น ซื้อบัตรโดยสารของสายการบินไทยได้โดยผ่าน บริษัทท่องเทียว บริษัทท่องเทียวกับสายการบินไทยถือว่าเป็นคู่ค้าทางธุรกิจในรูปแบบ(BtoB) และบริษัทท่องเทียวกับลูกค้า ถือว่าเป็นคู่ค้าทางธุรกิจแบบ(BtoC)
BtoB – Bussiness to Bussiness
บริษัทท่องเทียวกับลูกค้า ถือว่าเป็นคู่ค้าทางธุรกิจแบบ(BtoC)
การจัดจําหน่ายในช่องทางดังกล่าวจัดว่าเป็นการจัดจําหน่ายใน ช่องทางปกติในธุรกิจการท่องเที่ยว ซึ่งมีจุดเด่นและข้อดี กล่าวคือสามารถขยายฐานการตลาดได้กว้าง และลักษณะของลูกค้าแตกต่างกันออกไป ซึ่งถูกต้องตามหลักการตลาดแบบผสมผสาน(Mix Marketing) อย่างไรก็ตามข้อด้อยของการจัดจําหน่ายดังกล่าวสําหรับผู้ประกอบการจะต้องเสียส่วนแบ่งค่านายหน้าให้แก้ผู้ขาย อีกทั้งในบางกรณีไม่สามารถควบคุมสภาวะการตลาด หรือตอบโต้คู่แข่ง ได้ทันท่วงที
3. การจัดจําหน่ายโดยการแต่งตั้งตัวแทนจําหน่าย หรือ(B to B to C – Bussiness to Bussiness to Customer) ช่องทางการจัดจําหน่ายในลักษณะนี้มักจะนิยมใช้ในกรณีที่ผู้ประกอบการต้องการขยาย ฐานการตลาดให้กว้างออกไปในประเทศต่างๆที่ตนเองไม่มีความชำนาญ หรือ ไม่มีศักยภาพเพียงพอ
ตัวอย่างเช่น สายการบินของประเทศฝรังเศส ต้องการเปิดเส้นทางบินมายังประเทศไทยเจ้าของสาย การบินไม่ทราบถึงลักษณะการดําเนินธุรกิจในประเทศไทย และยังไม่พร้อมที่จะลงทุนอย่างเต็ม รูปแบบในประเทศไทย จึงได้แต่งตั้งตัวแทนขึ้นเพื่อรับผิดชอบในการจัดจําหน่ายและวางแผนการ ดําเนินงาน ข้อดีของช่องทางดังกล่าวคือ สามารถขยายธุรกิจได้อย่างรวดเร็วและเป็นการทดลองสภาวะตลาดโดยไม่ต้องลงทุน และผูกพันมาก
อย่างไรก็ดีวิธีการดังกล่าว จะมีข้อเสียหากผู้ดําเนิน ธุรกิจที่ได้รับการแต่งตั้งขาดประสบการณ์ และไม่พร้อมจะดำเนินธุรกิจ
ในปัจจุบันวิธีการจัดจําหน่าย ดังกล่าวเป็นทีนิยมในกลุ่มโรงแรม โดยจะเป็นบริษัทรับจ้างบริหารโรงแรมอย่างเป็นระบบ เช่น Novotel Group หรื อ Hyatt Hotel
เครือข่ายบริษัททัวร์ต่างประเทศ
ช่องทางการจัดจําหน่ายในธุรกิจท่องเที่ยวถือว่าเป็นหัวใจหลักในการทําตลาด ซึ่งจะมีผลต่อ ความสําเร็จของธุรกิจได้ อนึง สินค้าชนิดเดียวกันอาจเลือกช่องทางการจัดจําหน่ายที่แตกต่างกันโดย สิ้นเชิง โดยทีกลุ่มเป้ าหมายของลูกค้ายังคงเป็ นกลุ่มเดียวกัน ยกตัวอย่างเช ่น สายการบินแอร์เอเซียได้ เลือกช ่องทางการจัดจําหน่ายในลักษณะขายตรง (BtoC) เท่านั น โดยใช ้ระบบ Internetให้ลูกค้าเข้ามา ซือสินค้าได้โดยตรง โดยอาศัยกลยุทธ์ทางด้านราคาเป็ นจุดดึงดูดจากการวางแผนดังกล่าวถือว่าเป็ น การเปลียนแปลงรู ปแบบการจัดจําหน่าย และการวางจุดขายของสินค้า(Product Position)ทีแตกต่าง โดยสิ้นเชิง
Promotion การจัดการส่งเสริมการขาย
การจัดการส่งเสริมการขายถือเป็นกลยุทธ์ทางการตลาดที่สําคัญในการจัดการตลาดของ สินค้าทางด้านการท่องเที่ยวนอกจากกลยุทธ์ทางด้านราคาหรืออื่นๆ การจัดการส่งเสริมการขายของสินค้าทางด้านการท่องเที่ยวนั้นสามารถจัดทําได้หลายลักษณะดังต่อไปนี้
1. การจัดส่งเสริมการขายแบบเน้นในตัวสินค้าเอง(Product Promotion) เป็นการจัดส่งเสริมการขายโดยตรงสร้างความคุ้นเคยในตัวสินค้า (Product Awareness) อาจใช ้กลยุทธ์หลายวิธี เช่น การโฆษณา การลดราคา การจับรางวัล หรือข้อเสนอราคาพิเศษ
2. การจัดส่งเสริมการขายแบบร่วมกับสินค้าอื่น(Joint Promotion) เป็นการจัดส่งเสริมการ ขายโดยร่วมกับสินค้าอื่นๆ ที่อาจจะเกี่ยวข้องกับธุรกิจการท่องเที่ยวหรือไม่ก็ได้ เช่น ซื้อตัวเครื่องบิน แถมโรงแรม ซื้อของในห้างสรรพสินค้าสามารถจับรางวัลแพ็คเกจทัวร์ การจัดส่งเสริมการขายใน ลักษณะนีถือว่าเป็ นการสร้างคุณค่าเพิ ม(Value Added) ให้กับตัวสินค้าโดยมิได้เน้นกลยุทธ์ทางด้าน ราคาเป็นหลัก การจัดลักษณะดังกล่าวจะมีผลดีต่อการกระตุ้นตลาด หากสินค้าร่วมเป็ นสินค้าทีได้รับ การยอมรับในตลาดอยู่แล้ว หรือเป็นสินค้าทีตลาดมีความต้องการสูง อย่างไรก็ตามข้อเสียของการจัด ส่งเสริ มการขายในลักษณะนี อาจเกิดขึนหากไม่สามารถให้บริ การได้ตามความต้องการ เช่น ซื้อตั๋วแถมโรงแรม แต่ไม่สามารถจองห้องพักได้ตามความต้องการ
3. การจัดส่งเสริมการขายแบบการเน้นที่เครื่องหมายการค้า(Brand Awareness)เป็นการจัดที่ไม่เน้นการขายหรือกลยุทธ์การตลาดอื่นใด ส่วนใหญ่จะใช้การโฆษณา การบริจาค หรือกิจกรรม ทางสังคมอื่นๆ เพื่อสร้างภาพ (Reputation) และเน้นให้เครื่องหมายการค้าออกสู่มวลชนเป็นส่วนใหญ่ ตัวอย่างเช่น สายการบินสนับสนุนทีมนักกีฬา
จากที่กล่าวมาข้างต้นถึงความสําคัญของธุรกิจท่องเที่ยวที่สัมพันธ์กับหลักการตลาดเบื้องต้น นั้นจะเห็นได้ว่า กลยุทธ์ทางด้านการตลาดมีความจําเป็นอย่างหลีกเลียงไม่ได้ที่จะต้องนำหลักการ ดังกล่าวมาประยุกต์ใช ้กับธุรกิจด้านการท่องเทียว อนึง ยังมีข้อปลีกย่อยของการวางกลยุทธ์ทาง การตลาดอื่นๆอีก นอกเหนือจากหลักการเบื้องต้นดังกล่าว ดังต่อไปนี้
1. การจัดการวางแผนองค์การ ควรวางหลักการในการดําเนินธุรกิจอย่างชัดเจนโดยจัดวาง หลักการของธุรกิจตามลักษณะหรือตามแนวทางการดําเนินงานโดยจําแนกได้ดังนี้
1.1 บริษัทตัวแทนท่องเทียว(Travel Agent) จัดแบ่งตามลักษณะของนักท่องเทียวได้ดังนี
- Inbound Tour หรือทัวร์ของนักท่องเทียวต่างประเทศทีเข้ามาเทียว
- Outbound Tour หรือคนในประเทศเดินทางออกนอกประเทศ
- Domestic Tour หรือการท่องเทียวภายในประเทศ
- Ticketing Agent หรือตัวแทนจําหน่ายตัวเครื่องบิน และสํารองทีนั่ง โดยไม่เน้นการขายแบบทัวร์ที เดินทางเป็นกลุ่มใหญ่
- Marketing presentation Agent รับจัดและบริหารการตลาดให้กับสินค้าด้าน การท่องเทียว เช่น สายการบิน, โรงแรม
1.2 โรงแรมหรือที่พักจัดแบ่งได้ตามลักษณะของอุปกรณ์อํานวยความสะดวกและ ลักษณะของโรงแรมตามมาตรฐานของสมาคมโรงแรมโลก (World Organisation of Hotel) จัดแบ่งดังนี
1.21 โรงแรมระดับ 5 ดาว ขึ้นไป
1.22 โรงแรมระดับ 4 ดาว
1.23 โรงแรมระดับ 3 ดาว
1.24 ห้องเช่าหรือบ้านเช่า
1.3 ธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวตามทีได้กล่าวแล้วข้างต้นว่าธุรกิจที่เกี่ยวกับ การท่องเทียวนั้นมีมากมาย ซึ่งหากผู้ประกอบการสามารถจัดวางองค์กรได้ถูกต้อง ก็จะสามารถนําความสําเร็จมาได้
2. การจัดบุคลากร บุคลากรถือว่าเป็ นส่วนสําคัญมาก เนืองจากงานทางด้านการท่องเทียวนีเป็ นงานบริ การระหว่างบุคคล และความพอใจในตัวสินค้าและบริ การจะขึนอยู่กับบุคคลทีได้รับบริ การ สิงสําคัญทีสุดในตัวบุคลากร ในธุรกิจการท่องเทียวนีจําเป็ นต้องมีจิตใจรักการบริ การ (Service Mind) มีความกระตือรื อร้นต่องาน และมีมนุษย์สัมพันธ์ทีดี
3. การจัดเตรียมสินค้า นอกเหนือจากหลักการทางด้านการตลาดทัวไปแล้ว การจัดเตรี ยมสินค้าให้เหมาะสมกับความ ต้องการของตลาด ฤดูกาล ก็มีความสําคัญ การจัดเตรี ยมสินค้าควรจะวางแผนในระยะสัน และระยะ ยาวควบคู่กันไป โดยเตรี ยมแผนในรอบ 6-12 เดือน และระยะ สันรายเดือน หรื อรายสัปดาห์ พร้อม ทั งสรุ ปรายละเอียดการสํารองทีนังหรื อการจองห้องพักให้เรี ยบร้อยก่อนหน้าการเปิ ดขาย ทั งนีการ จัดเตรี ยมสินค้าควรพิจารณาถึงปัจจัยรอบข้างเช ่น วันหยุดช ่วงเทศกาล ช ่วงปิ ดภาคเรี ยน ฯลฯ
4. การจัดวางแผนการขายล่วงหน้า และการใช ้สือการขาย ขั นตอนดังกล่าวมีความสัมพันธ์โดยเฉพาะธุรกิจการโรงแรม เนืองจากการวางแผนการขายล่วงหน้า สามารถ วางแผนด้านราคา แบ่งตลาดเพือลดความเสียงทางด้านธุรกิจ ตัวอย่างเช ่น โรงแรมหนึงมี ห้องพัก จํานวน 100 ห้อง ได้ขายล่วงหน้าโดยให้ราคาพิเศษ กับกรุ๊ ปทัวร์จากประเทศญีปุ่ น คิดเป็ น จํานวน 20% ของจํานวนห้องพักทั งหมด และได้มีการจองล่วงหน้าจากหลายประเทศอีก 40% ของ จํานวนห้องทั งหมด จากข้อมูลดังกล่าว ผู ้บริ หารควรนํามาพิจารณาถึงจํานวนห้องทีเหลือว่า สามารถ ทีจะจําหน่ายในระดับราคาใดเพือทีจะได้ราคาเฉลียสูงสุด และความเสียงต่อการยกเลิกของการจอง มากน้อยเพียงใด