แหล่งเรียนรู้ทางวัฒนธรรมท้องถิ่นตามบริบทและพื้นที่โรงเรียนบ้านโชคเจริญ
แหล่งเรียนรู้ทางวัฒนธรรมท้องถิ่นตามบริบทและพื้นที่โรงเรียนบ้านโชคเจริญ
อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท
อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาทตั้งอยู่บนภูเขาที่ชื่อว่าภูพระบาท ในเขตพื้นที่เมืองพาน อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี เป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาภูพาน ซึ่งเป็นเทือกเขาหินทราย อยู่ทางทิศตะวันตกของจังหวัดอุดรธานี มีความสูงจากระดับน้ำทะเลเฉลี่ยปานกลางประมาณ 320 – 350 เมตร สภาพโดยทั่วไปเป็นป่าโปร่ง มีพืชพันธุ์ธรรมชาติประเภทไม้เนื้อแข็งขึ้นปกคลุม
จากการสำรวจทางโบราณคดีที่ผ่านมาได้พบว่าบนภูพระบาทแห่งนี้ปรากฏร่องรอยกิจกรรมของมนุษย์มาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์กำหนดอายุได้ราว 2,500 – 3,000 ปีมาแล้ว ดังตัวอย่างการค้นพบภาพเขียนสีอยู่มากกว่า 54 แห่งบนภูเขาลูกนี้ นอกจากนี้ก็ยังพบการดัดแปลงเพิงหินธรรมชาติให้กลายเป็นศาสนสถานของผู้คนในวัฒนธรรมทวารวดี วัฒนธรรมเขมร วัฒนธรรมล้านช้างและรัตนโกสินทร์ตามลำดับ ซึ่งร่อยรอยหลักฐานทางโบราณคดีเหล่านี้ แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการทางสังคมของมนุษย์ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยได้เป็นอย่างดี
ด้วยเหตุนี้กรมศิลปากรจึงดำเนินการขอใช้พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติขนาดพื้นที่ 3,430 ไร่ จากกรมป่าไม้ โดยได้ประกาศขึ้นทะเบียนเขตโบราณสถานไว้ในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 98 เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2524 จากนั้นจึงได้พัฒนาแหล่งจนกลายเป็นอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาทในที่สุด และได้มีพิธีเปิดอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาทอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2535 โดยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้ทรงพระกรุณาเสด็จพระราชดำเนินเป็นองค์ประธานในพิธีเปิด
ปัจจุบันอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท เป็นหน่วยงานหนึ่งในสังกัดสำนักศิลปากรที่ 8 ขอนแก่น กรมศิลปกร กระทรวงวัฒนธรรม มีโบราณสถานในพื้นที่รับผิดชอบซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนแล้วทั้งสิ้น 78 แห่ง มีภารกิจหลักในการดูแลรักษา อนุรักษ์และพัฒนา และทำการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับโบราณสถานและโบราณวัตถุที่อยู่ภายในพื้นที่อุทยานฯและพื้นที่ใกล้เคียง ทั้งยังเปิดให้บริการในฐานะแหล่งท่องเที่ยวและแหล่งเรียนรู้ทางวัฒนธรรมสำหรับประชาชนทั่วไป
พุทธศักราช 2478 ราชบัณฑิตยสภาประกาศขึ้นทะเบียนกำหนดจำนวนโบราณสถานสำหรับชาติ ในราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 52 ตอนที่ 75 วันที่ 8 มีนาคม 2478 ในขณะนั้นใช้ชื่อว่า “พระพุทธบาทบัวบก” อำเภอบ้านผือ ตำบลเมืองพาน
พุทธศักราช 2516 - 2517 คณะสำรวจโบราณคดี โครงการผามอง สำนักงานพลังงานแห่งชาติ ได้สำรวจแหล่งโบราณคดีในพื้นที่โครงการสร้างอ่างเก็บน้ำเขื่อนผามอง เดินทางมาสำรวจพบแหล่งภาพเขียนสีสมัยก่อนประวัติศาสตร์หลายแห่งบนภูพระบาท ซึ่งบางแห่งได้เคยสำรวจพบแล้วโดยหน่วยศิลปากรที่ 7 ขอนแก่น พุทธศักราช 2524 กรมศิลปากรประกาศขึ้นทะเบียนกำหนดเขตที่ดินโบราณสถาน ในราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 98 ตอนที่ 63 วันที่ 28 เมษายน 2524 หน้า 1214 ระบุว่า “โบราณสถานพระพุทธบาทบัวบก ที่ภูพระบาท เนื้อที่ประมาณ 19,062 ไร่ ปรากฏว่าเนื้อที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง และจำนวนเนื้อที่ตามข้อเท็จจริงคือประมาณ 3,430 ไร่”
พุทธศักราช 2531 ดร.สุวิชญ์ รัศมิภูติ ขณะดำรงตำแหน่งรองอธิบดีกรมศิลปากรขณะนั้นมีดำริเห็นควรดำเนินการพัฒนาพื้นที่ของภูพระบาทขึ้นเป็นอุทยานประวัติศาสตร์ เนื่องจากมีความพร้อมหลายด้านด้วยกัน อาทิ จำนวนโบราณสถานมากมายทั้งสมัยก่อนประวัติศาสตร์ และสมัยประวัติศาสตร์ซึ่งประกาศเขตโบราณสถานแล้ว ป่าไม้ที่ค่อนข้างสมบูรณ์ และประติมากรรมหินตามธรรมชาติ
พุทธศักราช 2532 เริ่มโครงการอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาทภายใต้ความรับผิดชอบของหน่วยศิลปากรที่ 7 ขอนแก่น โดยจัดทำแผนงานโครงการและจัดหางบประมาณมาดำเนินการอนุรักษ์หลักฐานทางโบราณคดีและพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวก
พุทธศักราช 2535 กรมศิลปากรกราบทูลเชิญ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จเป็นองค์ประธานในพิธีเปิดอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาทอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2535
ที่ตั้ง
อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาทตั้งอยู่บนภูเขาที่ชื่อว่าภูพระบาท ในเขตพื้นที่เมืองพาน อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี เป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาภูพาน ซึ่งเป็นเทือกเขาหินทราย อยู่ทางทิศตะวันตกของจังหวัดอุดรธานี มีความสูงจากระดับน้ำทะเลเฉลี่ยปานกลางประมาณ 320 – 350 เมตร สภาพโดยทั่วไปเป็นป่าโปร่ง มีพืชพันธุ์ธรรมชาติประเภทไม้เนื้อแข็งขึ้นปกคลุม
ปัจจุบันอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท เป็นหน่วยงานหนึ่งในสังกัดสำนักศิลปากรที่ 8 ขอนแก่น กรมศิลปกร กระทรวงวัฒนธรรม มีโบราณสถานในพื้นที่รับผิดชอบซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนแล้วทั้งสิ้น 78 แห่ง มีภารกิจหลักในการดูแลรักษา อนุรักษ์และพัฒนา และทำการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับโบราณสถานและโบราณวัตถุที่อยู่ภายในพื้นที่อุทยานฯ และพื้นที่ใกล้เคียง ทั้งยังเปิดให้บริการในฐานะแหล่งท่องเที่ยวและแหล่งเรียนรู้ทางวัฒนธรรมสำหรับประชาชนทั่วไป
อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท เป็นอุทยานประวัติศาสตร์ที่มีจุดเด่นแตกต่างจากแห่งอื่นๆ เนื่องจากโบราณสถานส่วนมากที่พบอยู่ในอุทยานประวัติศาสตร์แห่งนี้ โดยโครงสร้างแล้วเกิดจากกระบวนการทางธรรมชาติ ที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อธรณีสัณฐานของพื้นที่ ต่อมามนุษย์ในอดีตได้เข้ามาดัดแปลงเพื่อสนองต่อวัฒนธรรมในแต่ละช่วงสมัย
ธรณีวิทยาบนภูพระบาท
พื้นที่อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาทนั้น มีลักษณะทางธรณีวิทยาอยู่ในหมวดหินภูพานของหินชุดโคราช เป็นหินทรายสีเเดงของมหายุคมีโซโซอิก (Mesozoic) มีอายุตั้งเเต่ปลายยุคไทรแอสซิค (245 - 208 ล้านปี) – ครีเทเชียส (146 – 65 ล้านปี) จนถึงยุคเทอร์เชียรีของมหายุคซีโนโซอิค (65 – 5 ล้านปี) โดยชั้นหินทรายนี้วางตัวอยู่บนพื้นผิวของหินมหายุคพาลีโอโซอิกตอนบน (286 - 245 ล้านปี)
เพิงหินรูปร่างต่างๆที่พบในอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาทนั้น เกิดจากการที่ชั้นหินทรายเเต่ละชั้นมีความคงทนต่อการกัดเซาะตามธรรมชาติที่เเตกต่างกัน โดยหินทรายชั้นกลางเป็นหินทรายเนื้ออ่อนที่มีการจับตัวของผลึกเเร่ไม่เเน่น จึงสึกกร่อนจากการกัดเซาะได้ง่ายกว่าหินชั้นบนเเละชั้นล่างซึ่งเป็นหินทรายปนหินกรวดมน เนื้อเเน่นเเข็ง ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เกิดเพิงหินที่มีส่วนกลางคอดเว้าคล้ายดอกเห็ด หรือสึกกร่อนจนเหลือเพียงเสาค้ำตามมุมคล้ายโต๊ะหิน กลายเป็นประติมากรรมทางธรรมชาติที่สวยงามแปลกตามองดูราวกับว่าก้อนหินเหล่านี้ถูกยกขึ้นมาวางโดยมนุษย์
ปรากฎการณ์ทางธรณีวิทยาลักษณะนี้ มิได้พบเเค่ในอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาทเท่านั้น เเต่กระจายตัวอยู่หลายเเห่งในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย เช่นที่ ภูผาเทิบจังหวัดมุกดาหาร เสาเฉลียง จังหวัดอุบลราชธานี เขาจันทร์งาม จังหวัดนครราชสีมา
อารยธรรมที่พบบนอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท
ยุคก่อนประวัติศาสตร์
จากการศึกษาลักษณะ และเนื้อหาสาระของภาพเขียนสีแล้ว ทำให้นักโบราณคดีมีความเห็นว่า ภาพเขียนสียุคก่อนประวัติศาสตร์ที่พบในประเทศไทยนั้น มีทั้งภาพการดำรงชีวิตด้วยการหาของป่าล่าสัตว์เเละภาพการทำเกษตรกรรม จึงน่าจะมีอายุในช่วงราว 3,000 – 2,500 ปีมาเเล้ว ซึ่งเป็นสมัยที่มนุษย์รู้จักการทำเกษตรกรรมเเละการทำเครื่องมือเครื่องใช้จากโลหะเเล้ว
ภาพเขียนสีที่พบบนภูพระบาทมีทั้งเเบบเขียนด้วยสีเดียว (Monochrome) คือสีเเดง เเละหลายสี (Polychromes) คือสีเเดง ขาว เหลือง ตัวภาพเเบ่งได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
1. ภาพเสมือนจริง (ภาพคน, สัตว์, พืช, สิ่งของ)
2. ภาพนามธรรม (ภาพสัญลักษณ์, ลายเรขาคณิต)
สีที่นำมาใช้เขียนนั้น สันนิษฐานว่าเป็นสีที่นำมาจากวัตถุดิบธรรมชาติเช่น ดินเทศ แร่เฮมาไทต์ โดยอาจนำสีที่ได้นี้ไปผสมกับของเหลวที่มีคุณสมบัติเป็นกาว เช่น ยางไม้ เสียก่อนเเล้วจึงนำมาเขียน เพื่อให้สีติดกับเพิงหินทนนาน
ยุคประวัติศาสตร์
พื้นที่บนภูพระบาท เมื่อประมาณพุทธศตวรรษที่ 12 – 16 หรือราว 1,400 – 1,000 ปีมาแล้ว ได้รับเอาวัฒนธรรมทวารวดีที่แพร่มาจากภาคกลางของประเทศไทย พร้อมกับคติความเชื่อทางพุทธศาสนา ทำให้เกิดการก่อสร้างสิ่งต่าง ๆ เนื่องในพุทธศาสนาขึ้น ได้แก่ การตกแต่งหรือดัดแปลงเพิงหินให้เป็นศาสนสถาน โดยมีรูปแบบการติดตั้งใบเสมาหินทรายล้อมรอบเอาไว้
ต่อมาราวพุทธศตวรรษที่ 15 – 18 อิทธิพลศิลปกรรมแบบเขมร ซึ่งแพร่หลายอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย ได้เข้ามามีบทบาทในแถบนี้ ที่ถ้ำพระมีการตกแต่งสกัดหินเป็นรูปพระโพธิสัตว์และรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบเขมร ที่วัดพระพุทธบาทบัวบานและที่วัดโนนศิลาอาสน์ ซึ่งอยู่ใกล้เคียงกับภูพระบาท มีการสลักลวดลายบนใบเสมาหินทรายเป็นเรื่องพุทธประวัติและชาดก ซึ่งมีลวดลายตามรูปแบบศิลปกรรมแบบเขมร
หลังจากช่วงสมัยทวารวดีและเขมรผ่านไป ในราวพุทธศตวรรษที่ 22 – 23 วัฒนธรรมล้านช้าง ได้แพร่เข้ามาที่ภูพระบาท พบหลักฐานเป็นพระพุทธรูปเช่น พระพุทธรูปที่ถ้ำพระเสี่ยง ส่วนด้านสถาปัตยกรรมพบหลักฐานที่วัดลูกเขย
นิทานพื้นบ้านเรื่อง “อุสา – บารส”
ผู้คนในท้องถิ่นได้นำเอานิทานพื้นบ้านเรื่อง “อุสา – บารส” มาตั้งชื่อโบราณสถานที่ต่าง ๆ บนภูพระบาท การเที่ยวชมโบราณสถานบนภูพระบาทจึงควรต้องรู้เกี่ยวกับนิทานพื้นบ้านเรื่องนี้ เพื่อจะได้เข้าใจที่มาของชื่อตลอดจนทราบถึงคติความเชื่อของชุมชนได้เป็นอย่างดี
เนื้อเรื่องเป็นเรื่องราวความรักอันไม่สมหวังระหว่างนางอุสา ธิดาของท้าวกงพาน กับท้าวบารส ซึ่งเป็นโอรสของเจ้าเมืองปะโคเวียงงัว โดยเรื่องราวเริ่มจากนางอุสาได้ทำการเสี่ยงทายหาคู่ ด้วยการทำมาลัยรูปหงส์ลอยไปตามลำน้ำ ซึ่งท้าวบารสเป็นผู้ที่เก็บได้ จึงออกตามเจ้าของมาลัยเสี่ยงทายนั้น จนมาถึงเมืองพานและได้พบกับนางอุสา ทั้งคู่ตกหลุมรักกัน เมื่อท้าวกงพานทราบเรื่องจึงวางอุบายให้มีการแข่งขันสร้างวัดกันภายในหนึ่งวัน โดยผู้ที่แพ้การแข่งขันจะต้องตาย ฝั่งท้าวบารสเสียเปรียบเพราะมีคนน้อยกว่าจึงใช้เล่ห์กลอุบายนำโคมไฟไปแขวนบนยอดไม้เพื่อลวงให้ฝ่ายท้าวกงพานคิดว่าเป็นยามเช้าตรู่แล้ว จึงพากันเลิกสร้างวัดและพ่ายแพ้ไปในที่สุด และถูกตัดศีรษะ หลังจากนั้นนางอุสาได้ไปอยู่กับท้าวบารสที่เมืองปะโคเวียงงัว แต่ก็ถูกกลั่นแกล้งจึงหนีกลับเมืองพาน ในขณะที่ท้าวบารสไปบำเพ็ญเพียรในป่าเพียงลำพัง ต่อมาเมื่อท้าวบารสทราบเรื่องจึงได้ออกเดินทางไปตามนางอุสา ณ เมืองพาน แต่พบว่านางอุสาได้สิ้นใจเพราะความตรอมใจไปก่อนหน้านั้นแล้ว ท้าวบารสเสียใจอย่างสุดซึ้งจึงตรอมใจตายตามนางอุสาไป
ข้อมูลประวัติความเป็นมา อำเภอน้ำโสม จังหวัดอุดรธานี
1. สภาพทั่วไป
ตำแหน่งที่ตั้ง
อำเภอน้ำโสมตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ของจังหวัดอุดรธานี ห่างจากตัวจังหวัด อุดรธานี 110 กิโลเมตร
สภาพพื้นที่
อำเภอน้ำโสม มีเนื้อที่ประมาณ 742.129 ตารางกิโลเมตร มีลำน้ำสำคัญหลายสาย ได้แก่ ลำห้วยโสม ซึ่งมีน้ำไหลตลอดปี ต้นน้ำเกิดจากเทือกเขาภูซางไหลผ่านเขตอำเภอน้ำโสม อำเภอนายูง และอำเภอสังคม จังหวัดหนองคาย ไหลลงสู่แม่น้ำโขง นอกจากนั้นยังมีลำห้วยอื่น ๆ เช่น ลำห้วยราง ลำห้วยน้ำทรง ลำห้วยน้ำปู่ ลำห้วนคะนาน ลำห้วยเชียงเครือ
การคมนาคมในอำเภอน้ำโสมสามารถติดต่อระหว่างจังหวัด – อำเภอ โดยอาศัยทางหลวงแผ่นดินสาย อด 2348
ประชากรและอาชีพ
อำเภอน้ำโสมมีประชากรรวมทั้งสิ้น 55,481 คน ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพการทำไร่ ได้แก่ ข้าวโพด มันสำปะหลัง ทำนา ในปัจจุบันราษฎร เริ่มเปลี่ยนมาประกอบอาชีพ ทำสวนยางพาราเพิ่มขึ้น
การปกครอง
พื้นที่การปกครองของอำเภอน้ำโสม แบ่งออกเป็น 7 ตำบล 84 หมู่บ้าน ดังนี้ ตำบลนางัว ตำบลน้ำโสม ตำบลบ้านหยวก ตำบลสามัคคี ตำบลหนองแวง ตำบลโสมเยี่ยม และตำบลศรีสำราญ
2. ประวัติความเป็นมาของอำเภอ
น้ำโสม เป็นชื่อของลำห้วย ซึ่งอุดมสมบูรณ์เปรียบเสมือนสายเลือดล่อเลี้ยงชาวอำเภอน้ำโสมตลอดทั้งปี ซึ่งเดิมอำเภอน้ำโสม มีสภาพเป็นพื้นที่ป่าเขาอันอุดมสมบูรณ์ไปด้วยพันธุ์ไม้นานาชนิด ขึ้นอยู่อย่างหนาแน่นโดยเฉพาะไม้เนื้อแข็งที่ใช้ในการก่อสร้างบ้านเรือน เช่น ไม้ตะเคียน ไม้มะค่า ไม้ประดู่ ไม้พะยุง ไม้ยาง ไม้เต็ง ไม้แดง ฯลฯ ไม้ประดู่จาก น้ำโสม จัดได้ว่ามีคุณภาพดีเยี่ยม ในเขตป่าเขาแห่งนี้ มีสัตว์ป่าอาศัยอยู่มากมาย เช่น ช้าง เก้ง กวาง กระทิง เสือ หมี หมูป่า หมาป่า ไก่ป่า ลิง นกชนิดต่าง ๆ จากความอุดมสมบูรณ์ของ ผืนป่าแห่งนี้ จึงดึงดูดให้ราษฎรในถิ่นต่าง ๆ อพยพมาตั้งถิ่นฐานจับจองที่ดินทำการเกษตรอย่างมากมาย
เมื่อ พ.ศ.2401 มีราษฎรจำนวนหนึ่งอพยพมากจากทางจังหวัดเลย เข้ามาตั้งเป็นบ้านน้ำโสม บ้านก้อง บ้านหยวก บ้านนางัว บ้านน้ำซึม บ้านนาเก็น ฯลฯ ต่อมาปี 2490 มีราษฎรเข้ามาสมทบอีกจากอำเภอบ้านผือ อำเภอหนองหาน อำเภอกุมภวาปี อำเภอท่าบ่อ และอำเภออื่น ๆ ที่อยู่ใกล้เคียง อพยพเข้ามามากขึ้นเป็นตำบลต่าง ๆ คือ ตำบลน้ำโสม ตำบลนางัว ตำบลหนองแวง ตำบลบ้านหยวก และตำบลนาแค อำเภอบ้านผือ หลังจากปี พ.ศ.2500 มีราษฎรจากทิศต่าง ๆ อพยพหลั่งไหลเข้ามาตั้งถิ่นฐานมิได้ขาด เพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ ก่อให้เกิดเป็นชุมชนหนาแน่น สภาพผืนป่าและสัตว์ป่าที่อุดมสมบูรณ์ก็ค่อยๆ เบาบางลงไป
ปี พ.ศ.2510 สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ได้เสด็จมาทรงเยี่ยมเยียนตำรวจตระเวนชายแดน และพสกนิกรที่วัดกลาง ตำบลน้ำโสม ทรงมีพระดำริว่า “ชุมชนแห่งนี้สมควรตั้งเป็นกิ่งอำเภอได้แล้ว เพราะอยู่ห่างไกลและธุรกันดารจากตัวอำเภอบ้านผือ” ดังนั้น
วันที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ.2512 จึงได้ยกฐานะเป็นกิ่งอำเภอน้ำโสม แบ่งการปกครองออกเป็น 5 ตำบล ได้แก่ ตำบลน้ำโสม ตำบลนางัว ตำบลหนองแวง ตำบลบ้านหยวก และตำบลนาแค
จากสภาพพื้นที่อำเภอน้ำโสม เป็นพื้นที่ประกอบด้วยป่าไม้ ภูเขา และอยู่ห่างจากตัวจังหวัด การคมนาคมไม่สะดวก จึงเป็นเหตุให้ฝ่ายตรงข้าม(ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์) เข้ามาปฏิบัติการบ่อนทำลายได้ง่าย เมื่อเจ้าหน้าที่ฝ่ายบ้านเมืองออกมาทำการปราบปรามจึงเกิดการต่อสู้ด้วยอาวุธและเกิดการสูญเสียชีวิตทั้งสองฝ่ายเป็นจำนวนมาก
วันที่ 28 มีนาคม 2517 ได้ยกฐานะเป็นอำเภอน้ำโสม
ปี พ.ศ.2526 เมื่อเหตุการณ์สงบเรียบร้อยทางราชการพร้อมด้วยประชาชนในพื้นที่ มีมติให้ก่อสร้างอนุสาวรีย์เพื่อเก็บอัฐิของวีรชนเหล่านั้นไว้ เป็นที่ระลึกและทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่วีรชนเหล่านั้น ในเดือนพฤศจิกายน ตั้งแต่ปี พ.ศ.2526 เป็นต้นมา
วันที่ 1 มกราคม 2531 ได้แยกพื้นที่ของอำเภอน้ำโสม ไปจำนวน 3 ตำบล ได้แก่ ตำบลนายูง ตำบลนาแค และตำบลโนนทอง จัดตั้งเป็นกิ่งอำเภอนายูง
ปี พ.ศ.2535 ทางราชการกับประชาชนชาวอำเภอน้ำโสม ได้ร่วมกันก่อสร้างและบูรณะอนุสาวรีย์ขึ้นใหม่ เพื่อให้มั่นคงและแข็งแรง และจัดงานอนุสาวรีย์และของดีเมืองน้ำโสม ขึ้นในระหว่างเดือนพฤศจิกายน ของทุกปี โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อเป็นการระลึกถึงวีรกรรมและอุทิศส่วนกุศลให้แก่เหล่าวีรชนที่ได้เสียชีวิตในการต่อสู้กับผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ เป็นการส่งเสริมผลผลิตทางการเกษตรให้แพร่หลายเป็นที่รู้จักให้มากขึ้น เป็นการส่งเสริมและเชื่อมความสามัคคีระหว่างข้าราชการ พ่อค้า ประชาชน และให้ประชาชนในพื้นที่ได้รับความสนุกสนาน รื่นเริง หลังฤดูการเก็บเกี่ยว และส่งเสริมวัฒนธรรม ประเพณีอันดีงามของท้องถิ่น ตลอดจนการท่องเที่ยวของจังหวัด
ปัจจุบันอำเภอน้ำโสมแบ่งการปกครองออกเป็น 7 ตำบล 83 หมู่บ้าน
3. ความเชื่อ ประเพณี และพิธีกรรม
การอนุรักษ์ สืบสาน พัฒนาและสืบทอดมรดกของชาวอำเภอน้ำโสม ตั้งแต่บรรพชน ถึงอนุชนรุ่นต่อมา ได้รับอิทธิพลจากพระพุทธศาสนา และลัทธิพราหมณ์ ที่ผสมกลมกลืนอย่างเหมาะสม ฮีตสิบสองเป็นประเพณี วัฒนะธรรมของชาวอำเภอน้ำโสม โดยได้ยึดเป็นแนวปฏิบัติแต่ละเดือนในรอบปี โดยจัดกิจกรรมต่าง ๆ จากสิ่งที่ดีงามให้นำไปประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับการปฏิบัติตนในชีวิตประจำวัน ส่งผลดีให้ชุมชนเกิดความสงบสุขความสมานสามัคคี มีผลต่อการดำรงชีวิตประจำวัน
4. สถานที่สำคัญ อำเภอน้ำโสม มีสถานที่สำคัญ ดังนี้
อนุสาวรีย์วีรชนเมืองน้ำโสม
สร้างเมื่อ พ.ศ.2526 เป็นอนุสรณ์สถานรำลึกถึงวีรชนอันประกอบด้วย ทหาร ตำรวจ พลเรือน อาสาสมัคร ฯลฯ ที่เสียชีวิตในการต่อสู้กับผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ตั้งอยุ่บริเวณสี่แยกใกล้ตลาดสดเทศบาลตำลนางัว อำเภอน้ำโสม
มณฑปพระไตรภาคี
สร้างเมื่อ พ.ศ.2535 โดยดำริของ นายธวัช โพธิสุนทร อดีต ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี เพื่อให้เป็นศูนย์รวมจิตใจของพุทธศาสนิกชนในจังหวัดอุดรธานี และจังหวัดใกล้เคียง อันได้แก่ หนองคาย เลข และหนองบัวลำภู เป็นมณฑปสวยงามตั้งอยู่บนยอดเขาภูนาหลาว บริเวณวัดป่าภูนาหลาว บ้านท่าโสม ตำบลศรีสำราญ
สระศรีมงคล
สระศรีมงคล ตั้งอยู่บ้านนางัว ม.1 ตำบลนางัวซึ่งเป็นบ้านที่มีประวัติความเป็นมาอันยาวนาน อายุนับ 100 ปี สภาพโดยทั่วไป อุดมสมบูรณ์ไปด้วยป่าดงดิบ และสัตว์ป่ามากมายหลายชนิด บริเวณที่ว่าการอำเภอจะเป็นเนินสูงและป่ารก ส่วนที่ตั้งบ้านนางัวก็มีสภาพเป็นเนินสูงเช่นกัน และเกิดมีร่องน้ำตามธรรมชาติ บริเวณสระศรีมงคลในปัจจุบัน ซึ่งเคยเป็นแหล่งน้ำของสัตว์ป่า และมีดินโป่งซึ่งเป็นอาหารของสัตว์จึงมีวัวกระทิงมากินอาหารบริเวณนี้บ่อย จึงเรียกชื่อบ้านนี้ว่า บ้านนางัว (วัว ภาษาอีสานเรียกว่า งัว ) เดิมทีทุ่งนาแห่งนี้เป็นที่นาของ นายดา ศรีมงคล จึงตั้งชื่อสระน้ำแห่งนี้เพื่อเป็นเกียรติแก่เจ้าของเดิมว่า “สระน้ำศรีมงคล” ปัจจุบันได้รับการปรับปรุงภูมิทัศน์โดยเทศบาลตำบลนางัว เป็นสวนสาธารณะ เป็นสถานที่ออกกำลังกาย พักผ่อน ของชาวอำเภอน้ำโสม
ศาลปู่โสม
ศาลปู่โสม สร้างขึ้น ประมาณปี พ.ศ.2510 – 2512 เดิมทีเรียก ศาลปู่โสม สร้างจากความเชื่อชาวบ้านในขณะนั้น เพื่อเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ โดยการนำของ นายกฤษดินทร์ แชงบุญเรือง ปลัดอำเภอผู้ทำหน้าที่หัวหน้ากิ่งอำเภอ ตั้งบริเวณกลางทุ่งนาของนายดา ศรีมงคล ปี พ.ศ.2523 – 2526 นายบันลือศักดิ์ อุดมอริยะทรัพย์ นายอำเภอน้ำโสม ในขณะนั้นจึงได้รวบรวมกำลังทรัพย์ และศรัทธาจากชาวอำเภอน้ำโสม ก่อสร้างศาลหลักเมือง ขึ้นใหม่ เป็นลักษณะหลังคาทรงไทย 4 มุข โดยใช้ไม้มะขามจากตำบลบ้านหยวกเป็นเสาหลักเมือง และเชิญนายสมภาพ ศรีวรขาน ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี ในขณะนั้น มาเป็นประธานในพิธีเปิดศาลหลักเมืองอำเภอน้ำโสม เพื่อให้คนเคารพ สักการะ กราบไหว้บูชาเรื่อยมา
ขณะเดียวกันมีเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้น เมื่อมีคนที่อาศัยอยู่รอบ ๆ สระน้ำดังกล่าว มีอาการเหมือนเจ้าประทับทรง และเรียกตัวเองว่าปู่โสม และชาวบ้านต่างก็ฝันเห็นคนแก่ ๆ อยู่บ่อย ๆ และบอกว่าตัวเองคือปู่โสม จึงเกิดการเล่าขานต่อมา และเรียกชื่อปู่โสม เป็นปู่โสมตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
ต่อมา ทั้งภาครัฐ และเอกชน พ่อค้า ประชาชน อำเภอน้ำโสม มีศรัทธาให้สร้างศาลหลักเมืองแทนหลังเก่ามีลักษณะเหมือนเก๋งจีน ตั้งตระหง่านอยู่กลางสระน้ำศรีมงคล เป็นที่เคารพ สักการะของพ่อค้า ประชาชน ทั้งชาวไทย และไทยจีน เพื่อขอพรและความสำเร็จในหน้าที่การงาน ธุรกิจ การค้าขายทุกประการ และได้มีงานสมโภชศาลหลักเมืองในช่วงเดือน พฤศจิกายน เป็นประจำทุกปี
ประเภทสถานที่ท่องเที่ยว : ศิลปะ วัฒนธรรม และแหล่งมรดก
สถานที่ตั้ง : หมู่ 1 ต.ศรีสำราญ อ.น้ำโสม
รายละเอียด : อนุสาวรีย์วีรชนเมืองโสม เป็นสถานที่เคารพบูชาของชาวอำเภอน้ำโสม เพราะเป็นสถานทีสำคัญ สมัยเมื่อครั้งมีกลุ่มคอมมิวนิสต์ ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ พ่อค้า ประชาชน ได้ต่อสู้เพื่อรักษาดินแดนแห่งนี้ไว้ จนเสียชีวิตมากมาย และในอนุสาวรีย์นี้บรรจุอัฐินักรบผู้กล้าจำนวน 81 ศพ ด้วยกัน
การเดินทาง : จากตัวเมืองอุดร มุ่งตรงไปตามถนนสายมิตรภาพ อุดร-หนองคาย เลี้ยวซ้ายตรงทางแยกบ้านดงไร่ ต่อไปยัง อ.บ้านผือ และเดินทางต่อไปตามทางหลวงหมายเลข 2348 อ.บ้านผือ - อ.น้ำโสม ผ่านโรงเรียนน้ำโสมพิทยาคม ตรงไปเจอไฟสัญญาณจราจรสี่แยกวัดโคเขตตาราม เลี้ยวขวา ผ่านตลาดสดเทศบาล ถึ่งสี่แยก ธนาคารออมสิน อนุสาวรีย์วีรชน จะตั้งอยู่ใจกลางถนน
VTR การจัดการเรียนรู้ของโรงเรียนบ้านโชคเจริญ
แหแหล่งเรียนออนไลน์