บทที่ 2
การจำแนกเครื่องดนตรีในไทย
โดย นายธนชัย พงษ์นาค
โดย นายธนชัย พงษ์นาค
การจำแนกประเภทของเครื่องดนตรี ของเครื่องดนตรีไทยตามระบบของ
Sachs และ Hornbostel Classification
ในการจำแนกเครื่องดนตรีนั้น หากเราศึกษาวัฒนธรรมดนตรีของแต่ละประเทศแล้ว จะพบว่าใน
บรรดาประเทศต่าง ๆ ในโลกนี้ จะมีการแบ่งประเภทของเครื่องดนตรีที่แตกต่างกันไปตามแต่วัฒนธรรมของ
ชนชาตินั้น ๆ โดยได้แบ่งตามแหล่งวัฒนธรรมดนตรีที่สำคัญของโลก ดังนี้
การจำแนกประเภทเครื่องดนตรีในวัฒนธรรมดนตรีของจีน
จีน ในราชวงศ์โจว มีการจำแนกประเภทเครื่องดนตรี
ตามชนิดของวัตถุที่นำมาทำเป็นเครื่องดนตรี โดยแบ่งออก
เป็น 8 ชนิด ได้แก่
1.ดิน (Earth) เช่น ขลุ่ยดินเผา ที่เรียกว่า ชวิน (Shun)
2.หิน (Stone) เช่น ระฆังหิน ที่เรียกว่า เผียนฉุง (Pien
chung)
3.ทอง (โลหะ Metal) เช่น ระฆังโลหะ ที่เรียกว่า เผียนฉิง
(Pien ching)
4.ไม้ (wood) เช่น เกราะไม้ ที่เรียกว่า มู่หยู (Mu yu) กรับ
ไม้ที่เรียกว่า ปาน (Ban)
5.ไผ่ (Bamboo) เช่น ขลุ่ยเป่าปลาย ที่เรียกว่า เฉียว
(Zhiao) ขลุ่ยผิว ที่เรียกว่า ดิ้สึ (Ti zu)
6.ไหม (Silk) เช่น ซอ ที่เรียกว่า เอ้อหู (Er hu) ซอที่เรียกว่า จิ้งหู (Zhong hu)
7.หนัง (Lither) เช่น กลองที่เรียกว่า ถังกู๊ (Tang ku)
8.น้ำเต้า (Gourd) เช่น แคนน้ำเต้า ที่เรียกว่า เช็ง (Zheng)
เรียกการแบ่งประเภทเครื่องดนตรีนี้ว่า “ปาอิน” หมายถึงเสียง(ดนตรี)ทั้งแปด
การจำแนกประเภทเครื่องดนตรีในวัฒนธรรมดนตรีของอินเดีย
อินเดีย จำแนกประเภทเครื่องดนตรีตามลักษณะการให้เสียงของเครื่องดนตรี โดยแบ่งออกเป็น 4
หมวดหมู่ ได้แก่
ตะตะ หมายถึงเครื่องดนตรีที่ทำให้เกิดเสียงโดยอาศัยสายเป็นหลัก เช่น วีณา วิจิตรวีณา เป็นต้น
สุษิระ หมายถึงเครื่องดนตรีที่ทำให้เกิดเสียงโดยอาศัยลมเป็นหลัก เช่น เชน์ไน นาคะสวรัม เป็นต้น
อวนัทธะ หมายถึงเครื่องดนตรีที่ทำให้เกิดเสียงโดยอาศัยการห่อ หุ้ม คลุม (อวนัทธะ หมายถึง
ห่อ คลุม) คือ กลองต่าง ๆ เช่น มริทังค์ ปกขวัช ตับบล้า เป็นต้น
ฆะนะ หมายถึงเครื่องดนตรีที่เกิดเสียงจากการสั่นสะเทือนของวัตถุที่กระทบกัน คือ ฉิ่ง และฉาบ
การจำแนกประเภทเครื่องดนตรีในวัฒนธรรมดนตรีของ
ชาวตะวันตก
ชาวตะวันตก จำแนกประเภทเครื่องดนตรีตามลักษณะการ
จัดวงดนตรีขนาดใหญ่ ที่เราเรียกว่า
วงมหาดุริยางค์ (Symphony Orchestra) โดยแบ่งเป็น 5
กลุ่ม ได้แก่
Stringed Instruments เช่น Violin, Viola, Cello,
Double Bass, Harp เป็นต้น
Woodwind Instruments เช่น Flute, Oboe, Clarinet, Saxophone เป็นต้น
Brass Instruments เช่น Horn, Trumpet, Trombone, Tuba เป็นต้น
Percussion Instruments เช่น Timpani, Side Drum, Bass drum, Cymbals, Gongs เป็นต้น
Keyboards Instruments เช่น Harpsichord, Spinet, Piano, Organ เป็นต้น
รวมทั้งการให้ความสำคัญของตัวบุคคล ที่เรียกว่าเป็น The Human Instrument นั้นคือการขับร้อง
ที่เรียกรวมว่า The Voice และในปัจจุบันมีการเพิ่มประเภทเครื่องดนตรีขึ้นอีกกลุ่ม คือ Electrophone ซึ่งใช้
การดีด การตี การกดลิ้มนิ้ว แม้แต่การเล่นในช่องว่าง โดยอาศัยอำนาจของคลื่นไฟฟ้าในการสร้างเสียง
การจำแนกประเภทเครื่องดนตรีในวัฒนธรรมดนตรี
ของไทย
ส่วนในการแบ่งประเภทเครื่องดนตรีของไทย
นั้น เราจะใช้การแบ่งตามลักษณะการเกิดเสียงของ
เครื่องดนตรีชนิดนั้น ๆ โดยหลักการไปสอดคล้อง
กับการแบ่งประเภทเครื่องดนตรีของอินเดีย เพราะ
ลักษณะเครื่องดนตรีมีความคล้ายคลึงในการเกิด
เสียงของเครื่องดนตรีนั้น ไทยได้แบ่งประเภทเครื่อง
ดนตรีตามลักษณะการเกิดเสียง นั้นคือ
เครื่องดีด เช่น จะเข้ กระจับปี่ และเครื่องดนตรีที่ใช้นิ้วหรืออุปกรณ์สำหรับดีดสายเข้าและออก
เครื่องสี เช่น ซอต่าง ๆ และเครื่องดนตรีพื้นบ้านที่มีลักษณะการเกิดเสียงเช่นเดียวกันนี้
เครื่องตี เช่น เครื่องจังหวะต่าง ๆ ระนาดต่าง ๆ ฆ้องต่าง ๆ กลองต่าง ๆ โดยแบ่งเป็นที่สามารถสร้าง
ทำนองเพลงได้และไม่สามารถสร้างทำนองเพลงได้
เครื่องเป่า เช่น ปี่ต่าง ๆ ขลุ่ยต่าง ๆ และเครื่องดนตรีที่อาศัยการใช้ลมในลักษณะเดียวกัน
การแบ่งเครื่องดนตรีของแต่ละกลุ่มวัฒนธรรม เราจะเห็นได้ว่าเป็นการจัดแบ่งให้มีความ
เหมาะสมกับวัฒนธรรม บริบทของสังคม และการสะดวกในการใช้งานของวัฒนธรรมตนเอง มี
ความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทำให้ไม่เกิดความเป็นสากล และเข้าใจลำบาก เนื่องจากว่าผู้ศึกษา
ไม่ได้อยู่ในกลุ่มวัฒนธรรมนั้น
จนกระทั้งมีการจัดการวางแผนการศึกษาเครื่องดนตรีอย่างเป็นระบบ เรียกว่า Organology
โดย Erich M. Von Hornbostel (1877 – 1935) นักดนตรีชาติพันธุ์วิทยาชาวออสเตรีย และ
Curt Sachs (1881 – 1959) นักดนตรีวิทยาชาวเยอรมัน ได้วางระบบการจำแนกประเภทเครื่อง
ดนตรี ซึ่งสามารถนำมาใช้ได้อย่างเป็นกว้างขวาง เป็นสากล มีหลักการทางวิทยาศาสตร์ เรียกว่า
Sachs – Hornbostel Classification
หลักการดังกล่าวเมื่อนำมาจัดหมวดหมู่ ให้กับเครื่องดนตรีที่มีอยู่ในประเทศไทย จะทำให้ผู้
ศึกษาเข้าใจกระบวนการเกิดเสียงของเครื่องดนตรีนั้น ๆ ได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ สามารถนำไป
อ้างอิงได้ตามความเป็นสากลแห่งวิชาการด้านนี้ โดยสามารถแบ่งจำแนกประเภทเครื่องดนตรีใน
ไทย ตามระบบ Sachs – Hornbostel Classification ได้ดังนี้
1. ตระกูลที่เสียงเกิดจากการสั่นสะเทือนของกระแสอากาศ หรือ Aero phones ในภาษาไทย
อาจเรียกว่า เครื่องลม แบ่งได้ 9 ชนิดย่อย แต่ที่แบ่งในเครื่องดนตรีไทยประเภทนี้ ได้แก่
1.1 ประเภทขลุ่ย (Blow hole) คือ ขลุ่ยที่ไม่มีปากนกแก้วทุกชนิด มีในไทยได้แก่ โหวด
1.2 ประเภทนกหวีด (Whistle mouthpiece) คือ ขลุ่ยที่มีปากนกแก้ว มีในไทยได้แก่ ขลุ่ยเพียง
ออ ขลุ่ยหลีบ ขลุ่ยอู้ รวมทั้งนกหวีดด้วย
1.3 ประเภทปี่ลิ้นคู่ (Double reed) คือ ปี่ที่ใช้ลิ้นคู่เพื่อให้ลมผ่านลิ้นในการสร้างเสียง มีในไทย
ได้แก่ ปี่นอก ปี่ใน ปี่กลาง ปี่ไฉน ปี่มอญ ปี่ชวา
1.4 ประเภทลิ้นอิสระ (Free reed) มีในไทยได้แก่ แคน ปี่จุม ปี่อ้อ
ภาพแสดงโหวดและองค์ประกอบของโหวด
เครื่องเป่าประเภทนกหวีด
(Whistle mouthpiece)
ของไทย ได้แก่ ขลุ่ยหลิบ
ขลุ่ยเคียงออ ขลุ่ยเพียงออ
ขลุ่ยรองออ และขลุ่ยอู้
ปี่ชวา ปี่ไฉน ปี่มอญ
ลิ้นปี่ อุปกรณ์สำคัญของการเป่าปี่
ชื่อเรียกส่วนต่าง ๆ ของแคน
ปี่จุมขนาดต่าง ๆ
การเป่าปี่จุม
ปี่อ้อ
การเป่าปี่อ้อ
2. ตระกูลที่เสียงเกิดจากการสั่นสะเทือนของสาย หรือ Chordophones ในภาษาไทยอาจเรียกรวมเป็น
เครื่องสาย แบ่งได้ 5 ชนิดย่อย แต่ที่แบ่งในเครื่องดนตรีไทยประเภทนี้ ได้แก่
2.1 ประเภทดุริยธนู (Musical bow) คือ เครื่องดนตรีที่ขึงสายคล้ายการขึงสายธนู มีในไทยได้แก่
พิณน้ำเต้า พิณเพียะ
2.2 ประเภทพิณ (Lute) ในไทยแบ่งออกเป็น 2 ชนิดย่อย คือ
2.2.1 ชนิดที่ใช้ดีด (Plucked lute) ในไทยพบชนิดที่ด้านหลังของกลองเสียงแบน (Flat back) ได้แก่
กระจับปี่ ซึง และพิณภาคอีสาน
2.2.2 ชนิดที่ใช้สี (Bowed lute) ส่วนมากไม่มีนม มีในไทยได้แก่ ซอด้วง ซออู้ ซอกลาง ซอสามสาย แต่
บางชนิดมีนม เช่น สะล้อก๊อบ ของจังหวัดน่าน ซึ่งเป็นเครื่องดนตรีท้องถิ่นของภาคเหนือ เฉพาะถิ่น
2.3 ประเภทจะเข้ (Zither) แบ่งได้เป็น 4 ชนิด ย่อย แต่ที่แบ่งในเครื่องดนตรีไทยประเภทนี้ได้แก่
2.3.1 ชนิดไม่ซับซ้อน มีในไทยได้แก่ ตึ่งตึ้งเครื่องดีดพื้นเมืองของภาคเหนือ
2.3.2 ชนิดลำตัวยาว มีในไทยได้แก่ จะเข้
2.3.3 ชนิดมีกล่องเสียงใช้ตี ได้แก่ ขิมไทย ซึ่งเดิมเครื่องดนตรีไทยชนิดนี้ในไทยไม่มี แต่เมื่อมีขิมเข้ามา
บรรเลงในวงดนตรีไทยช่วง ร.6 จึงได้รวมขิมที่ผลิตในไทยไว้เป็นเครื่องดนตรีไทย ชนิดนี้ไว้ด้วย
พิณน้ำเต้า
การดีดพิณน้ำเต้า
พิณเพี้ยะ
กระจับปี่
การดีดกระจับปี่ของเขมร
ซึงภาคเหนือในไทย
ส่วนประกอบของพิณอีสาน
ซอด้วง
ซออู้
ซอสามสาย
สะล้อก๊อบด้านหน้า
สะล้อก๊อบด้านหลัง
พิณเมืองน่าน
จะเข้ไทย
ขิมผีเสื้อ
ขิมคางหมู
3. ตระกูลที่เสียงเกิดจากการสั่นสะเทือนของมวลวัตถุในตัวเอง หรือ Idiophones ในภาษาไทยหมายถึง
เครื่องตีกระทบทั้งปวง แบ่งออกเป็น 8 ชนิดย่อย แต่ที่แบ่งในเครื่องดนตรีไทยประเภทนี้ ได้แก่
3.1 ประเภทที่นำไปตี (Stamping) โดยเสียงเกิดจากวัตถุที่เป็นตัวนำไปกระทบกับสิ่งอื่น เช่น ทั้งบั้ง เสียง
เกิดจากกระบอกที่นำไปกระแทกกับพื้นดิน
3.2 ประเภทที่ถูกตี (Stamped) เสียงเกิดจากวัตถุที่ถูกตี ในไทยได้แก่ เกราะ โกร่ง โปง
3.3 ประเภทตี (Percussion) แบ่งออกได้ 4 ชนิด แต่ในไทยมีแค่ 3 ชนิดคือ
3.3.1 ชนิดระฆัง (Bell) คือ ระฆังที่ใช้ตีตามวัดต่าง ๆ
3.3.2 ชนิดฆ้อง (Gong) แบ่งเป็น ฆ้องที่ไม่มีปุ่มและฆ้องที่มีปุ่ม ในไทยพบฆ้องที่ไม่มีปุ่มในสังคมชาวเขา
ได้แก่ ผาง ส่วนฆ้องมีปุ่มในไทย ได้แก่ ฆ้องวงใหญ่ ฆ้องวงเล็ก ฆ้องกระแต ฆ้องมอญ (ไทยนำมาจากของ
ชาวมอญ) ฆ้องราง ฆ้องชัย (เรียกอีกอย่างว่า ฆ้องหุ่ย) ซึ่งฆ้องเหล่านี้เป็นฆ้องที่สามารถดำเนินทำนองได้
ส่วนฆ้องที่อยู่ในกลุ่มเครื่องประกอบจังหวะในดนตรีไทยได้แก่ ฆ้องเหม่ง ฆ้องราว ฆ้องโหม่ง ฆ้องคู่ ฆ้อง
เหล่านี้ไม่สามารถดำเนินทำนองได้
3.3.3 ชนิดแท่ง (Bars) มีในไทยได้แก่ ระนาดเอกไม้ ระนาดทุ้มไม้ ระนาดเอกเหล็ก ระนาดทุ้มเหล็ก
ระนาดแก้ว เครื่องดนตรีเหล่านี้สามารถบรรเลงดำเนินทำนองได้
3.4 ประเภทกระทบ (Concussion) เกิดเสียงโดยการกระทบเข้าหากันของวัตถุสองชิ้น ได้แก่ ฉิ่ง ฉาบเล็ก
ฉาบใหญ่ กรับคู่ กรับพวง กรับเสภา
ภาพการแสดงโส้ทั้งบั้ง
เกราะและโกร่ง
โปงไม้ของเก่า
และของปัจจุบัน
ระฆัง
โปงลาง
ผางฮาด
ฆ้องวงใหญ่
ฆ้องวงเล็ก
ฆ้องกระแต
ฆ้องมอญ
ฆ้องเหม่ง
ฆ้องราว
ฆ้องคู่
ระนาดเอกไม้
ระนาดทุ้มไม้
ระนาดเอกเหล็ก
ระนาดทุ้มเหล็ก
ฉิ่ง
ฉาบเล็กและฉาบใหญ่
กรับไม้
กรับพวง
กรับเสภา
4. ตระกูลที่เสียงเกิดจากการสั่นสะเทือนของแผ่นหนัง (Membranophones) ในภาษาไทยอาจเรียกรวม
เป็นเครื่องหนัง เครื่องดนตรีในตระกูลนี้ได้แก่ กลองทุกชนิด โดยจำแนกตามหุ่นของกลองได้ 4 ประเภท
และชนิดพิเศษอีก 1 ชนิด แต่ที่มีในไทย แบ่งได้ตามนี้ ได้แก่
4.1 กลองประเภทหุ่นกลวง (Tubular) แบ่งออกเป็น 7 ชนิดย่อย แต่ในเครื่องดนตรีไทยแบ่งได้ ดังนี้
4.1.1 ทรงกระบอก (Cylinder) มีในไทยได้แก่ กลองแขก กลองชนะ กลองมลายู กลองสองหน้า เปิงมาง
ตะโล้ดโป๊ดของภาคเหนือในไทย โพนของภาคใต้ในไทย
4.1.2 ทรงป่องกลาง (Conical) มีในไทยได้แก่ กลองทัด กลองตุ๊ก ตะโพนไทย ตะโพนมอญ
4.1.3 ทรงเอวคอด (Waited drum) ในไทยมีอย่างเดียวคือ บัณเฑาะว์ ซึ่งเชื่อว่าไทยนำมาจากวัฒนธรรม
ของอินเดีย
4.1.4 ทรงปากผาย (Goblet drum) มีในไทยได้แก่ โทนมโหรี โทนชาตรี ทับ
4.1.5 ทรงกลองยาว (Long drum) มีในไทยได้แก่ กลองยาวของภาคกลางในไทย กลองหลวงของภาค
เหนือในไทย กลองแอว์ของภาคเหนือในไทย
4.2 กลองทรงสะดึง (Frame drum) เป็นกลองหน้าเดียวขึงหนังด้วยขอบที่ไม่หนามากนัก มีในไทยได้แก่
รำมะนามโหรี รำมะนารำตัด
กลองชนะ และการตีกลองชนะ
กลองคู่หรือกลองแขก
กลองสองหน้า
กลองตะโล้ดโป๊ดของภาคเหนือในไทย
โพนและการตีโพนของภาคใต้ในไทย
ลูกกลองเปิงมาง 7 ใบ
คอกเปิงมาง
กลองทัด
ตะโพนไทย
ตะโพนมอญ
การตีตะโพนมอญ
กลองตุ๊ก
การตีกลองตุ๊ก
บัณเฑาะว์
การไกวบัณเฑาะว์
โทนชาตรี
โทนมโหรี
กลองหลวงของภาคเหนือในไทย
กลองแอว์ของภาคเหนือในไทย
กลองยาวและการตีกลองยาว
รำมะนามโหรี
โทน รำมะนา
รำมะนาลำตัด
การตีรำมะนาลำตัด
นอกจากนี้ยังมีเครื่องดนตรีที่ใช้ประกอบในพระราชพิธี และพิธีกรรม เป็นเครื่องดนตรีเฉพาะกิจไม่นิยมนำมาใช้เป็นปกติ ได้แก่สังข์ แตรฝรั่ง แตรงอน มโหระทึก ซึ่งเป็นเครื่องดนตรีที่
ไทยไม่ได้มีมาแต่เดิม รวมทั้งกลองมริกัน (Bass Drum) ที่ใช้ในเพลงภาษาด้วย ยกเว้นมโหระทึกที่
เป็นอารยธรรมโบราณของภูมิภาค เครื่องดนตรีเหล่านี้ก็ใช้หลักการแบ่งประเภทเครื่องดนตรี เช่น
เดียวกันกับเครื่องดนตรีไทยที่กล่าวมา
สังข์ จัดเป็นเครื่องดนตรีในประเภทเครื่องลมอิสระ
(Free aero phones) เสียงที่เป่าออกมายากที่จะ
กำหนดระดับเสียงได้ และไม่สามารถดำเนินทำนอง
ได้ เป็นเครื่องดนตรีตามความเชื่อทางศาสนา ใช้ใน
พระราชพิธีและพิธีกรรมที่เกี่ยวกับศาสนาพราหมณ์
เท่านั้น
การเป่าสังข์ในงานพระราชพิธี
แตรงอน สันนิษฐานว่าไทยจะนำแบบอย่างมาจากอินเดีย ซึ่งแต่ก่อนคงจะทำมาจากเขาสัตว์ (เสนง) ในไทยเราทำมาจากโลหะชุบเงิน เป็น 2 ท่อนสวมต่อกัน มีลักษณะโค้งเรียวเล็ก
แตรงอน
แตรฝรั่ง
แตรฝรั่งสันนิษฐานได้รับอิทธิพลมาจากประเทศฮอลันดา
เพราะปรากฏในหมายรับสั่งในรัชกาลที่ 1 ว่า แตรวิลันดา
แตรงอนและแตรฝรั่งนี้ เป็นเครื่องดนตรีในกลุ่มที่เสียงเกิดจากการสั่นสะเทือนของกระแสอากาศ หรือ Aero
phones โดยจัดอยู่ในประเภทแตร (Cup mouthpiece) ไทย
เรานำมาใช้ร่วมกับสังข์ในงานพระราชพิธีเกียรติยศ เช่นพระ
มหากษัตริย์เสด็จออกรับฑูตานุฑูตอย่างเป็นทางราชการ
หรือในงานเสด็จพระราชดำเนินโดยกระบวนพยุหยาตราทั้ง
ทางชลมารค และสถลมารคโดยใช้เป่าเป็นแตร Fanfare ไม่
ได้เป่าเป็นทำนองเพลงจึงมีชื่อเรียกว่า
"Ceremonial Trumpet"
มโหระทึก เป็นกลองแบบพิเศษชนิดหนึ่ง เพราะไม่ได้ขึงหน้าด้วยหนังสัตว์ เป็นเครื่องดนตรีประเภทตี
(Percussion) หล่อด้วยโลหะผสม ไม่ได้ขึ้นหนังเหมือนอย่างกลองปกติ ใช้ตีประกอบในงานพระราชพิธี
ชาวบ้านใช้ตีประกอบพิธีกรรมที่สำคัญ
กลองมโหระทึกโบราณ
กลองมโหระทึกและไม้ตี
กลองมริกันเป็นเครื่องดนตรีนำเข้าที่เห็นได้อย่างชัดเจน ปรากฏมีในบทมโหรีของเก่าเรื่อง
อิเหนา พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 1 ร้องด้วยเพลงตามกวาง โดยเมื่อออกลูกหมด บอกออกลูก
หมดไว้ว่า “ลูกหมดมริกัน” แต่ลูกหมดนี้น่าจะมีการเพิ่มเติมขึ้นในภายหลัง เพราะในรัชกาลที่ 1
ประเทศอเมริกาเพิ่งก่อตั้งประเทศ จนรัชกาลที่ 3 จึงจะมีหมอสอนศาสนาชาวอเมริกาเข้ามาใน
ไทย แม้สันนิษฐานว่ากลองชนิดนี้ คนอเมริกันนำมาใช้ในไทย แต่ต้องหลังสมัยรัชกาลที่ 1 แน่นอน
กลองมริกัน ก็คือ Bass Drum เป็นเครื่องดนตรีในกลุ่ม Membranophones ประเภททรง
กระบอก (Cylinder) ในวงดนตรีไทยนิยมใช้ในเพลงออกภาษาฝรั่ง และใช้ในการแสดงยี่เกด้วย
กลองมริกันหรือที่รู้จักในชื่อ Bass Drum