ช่างแกะ ทั้งงานแกะตรา แกะลาย และแกะภาพ หรือเรียกรวมกันว่า “แกะสลัก” เริ่มต้นจากการแกะขุดหรือการแรเส้นโดยใช้สิ่วขนาดเล็ก ขุดเส้นเดินบนแผ่นไม้เรียบ หรืองานแกะวัสดุที่เป็นโลหะ เงิน-ทอง ช่างผู้เชี่ยวชาญงานโลหะแต่ละประเภทจะทำงานร่วมกับช่างแกะด้วย
หน้าที่ 1. แกะสลักลวดลายลงบนไม้หรือวัสดุต่าง ๆ : บานประตู หน้าต่าง หน้าบัน ธรณีประตู ฯลฯ
2. ทำงานประกอบในสถาปัตยกรรมและศาสนสถาน : งานแกะสลักประดับวัด วิหาร โบสถ์ ศาลา หอไตร ฯลฯ
3. ทำงานตกแต่งเครื่องใช้และเฟอร์นิเจอร์ : โต๊ะ ตู้ เตียง ธูปเทียนพานพุ่ม ฯลฯ
4. ทำหุ่นหรือองค์ประกอบประกอบในงานพิธี : โลงศพ งานโกศ เครื่องตั้งในงานพระราชพิธี
คุณสมบัติช่างแกะโบราณ : - ความละเอียดประณีต
- ความเข้าใจลายไทยและความหมายของลวดลาย
- มีฝีมือและสายตาที่แม่นยำ
- มีความอดทนสูง เพราะงานแกะมักใช้เวลานาน
ช่างสลัก หรือ “ช่างฉลัก” มีหน้าที่ประดับสถานที่สลักเสาให้สวยงาม แบ่งเป็น ช่างสลักกระดาษสำหรับใช้ประดับสิ่งก่อสร้างชั่วคราว เช่น พลับเพลา พระเมรุ ฯลฯ และช่างสลักของอ่อนที่เรียกว่า “เครื่องสด” เช่น การสลักเผือก มัน ฟักทอง ฯลฯ
หน้าที่ 1. สลักลวดลายลงบนวัสดุต่าง ๆ : ไม้ หิน โลหะ กระดูก งาช้าง ฯลฯ
2. ตกแต่งศาสนสถาน : ทำบานประตู หน้าต่าง ธรณีประตู เสา ฯลฯ ในวัดและโบสถ์
3. ตกแต่งเครื่องราชพิธีและของใช้ชั้นสูง : โลงศพหลวง โกศ หีบ เครื่องตั้ง เครื่องใช้ในราชสำนัก
4. ทำเครื่องเรือนและของใช้ในชีวิตประจำวัน : โต๊ะ ตู้ เตียง เครื่องบูชา ตู้พระธรรม ฯลฯ
5. อนุรักษ์และซ่อมแซมศิลปกรรมเก่า : บูรณะชิ้นงานที่ชำรุดโดยรักษาลวดลายเดิมให้คงไว้มากที่สุด
คุณสมบัติช่างสลักโบราณ : - มีความละเอียด อดทน และฝีมือประณีต
- เข้าใจความหมายและสัดส่วนของลายไทย
- รู้จักใช้เครื่องมือสลักอย่างเชี่ยวชาญ
- มีจิตวิญญาณของศิลปินและความเคารพในวัฒนธรรม
ความแตกต่างระหว่างการแกะ กับ การสลัก
การ สลักไม้ และ แกะไม้ จะเป็นงานช่างที่เกี่ยวข้องกับการสร้างลวดลายและรูปทรงบนไม้ แต่มีความแตกต่างกันในด้านเทคนิคและผลลัพธ์ที่ได้:
การสลักไม้
เป็นการตอกและเคาะเนื้อไม้ให้เกิดลวดลายลงไปบนพื้นผิว คล้ายการขีดเขียนลงบนไม้ แต่ลึกลงไปในเนื้อไม้ ใช้เครื่องมือเช่นสิ่วหรือเหล็กสลักตอกลงไปทีละน้อย เหมาะกับงานที่ต้องการลวดลายชัดเจนแต่มิติน้อยกว่า เช่น การสลักตัวอักษรลงบนแผ่นไม้
1. เป็นการใช้เครื่องมือ เช่น สิ่วหรือมีดสลัก เพื่อตอกและกัดลึกลงไปในเนื้อไม้
2. มักเน้นการทำให้ลวดลายลึกลงไปในเนื้อไม้ เช่น การสลักตัวหนังสือบนแผ่นไม้
3. เทคนิคนี้พบในงานที่ต้องการความทนทาน เช่น ป้ายชื่อ หรือรายละเอียดลึกบนเครื่องเรือน
การแกะไม้
เป็นการใช้เครื่องมือขจัดเนื้อไม้เพื่อสร้างรูปทรง เช่น แกะเป็นรูปพระพุทธรูป หรือสร้างลวดลายที่มีความลึกและมิติ มักใช้มีดแกะหรือสิ่วเล็ก ๆ เพื่อค่อย ๆ
กัดเนื้อไม้ให้เกิดรูปร่างเน้นให้เกิดมิติที่เด่นชัด
1. เป็นการใช้เครื่องมือขจัดเนื้อไม้เพื่อสร้างรูปทรง เช่น งานแกะพระพุทธรูป งานแกะลวดลายไทย
2. มักเป็นงานที่ต้องใช้ฝีมือประณีตมากขึ้น เพราะต้องสร้างความสมจริงของรูปทรง
3. เทคนิคนี้พบในงานศิลปะที่ต้องการความละเอียดสูง เช่น หน้าบานประตูวัด หรืองานแกะสลักรูปทรงต่าง ๆ
สรุป
สลักไม้เน้นการทำให้เกิดรอยลึกลงไปบนพื้นผิว ส่วน แกะไม้คือการตัดแต่งหรือขจัดเนื้อไม้เพื่อให้เกิดรูปทรง
ช่างเขียน (Drawing and Painting) เขียนลายและภาพทั้ง 4 หมวด ได้แก่ “กนก นารี กระบี่ และคชะ” เรียงตามลำดับคือ “ตัวกนก” แบบต่าง ๆ ภาพมนุษย์ชาย-หญิง เทวดา-นางฟ้า ภาพวานร อมนุษย์ อสูร และภาพสัตว์ต่าง ๆ ทั้งสัตว์หิมพานต์และสัตว์ตามธรรมชาติ โดยยึดหลัก “คดให้ได้วง ตรงให้ได้เส้น”
หน้าที่ 1. เขียนภาพจิตรกรรมฝาผนัง : วาดภาพพุทธประวัติ ไตรภูมิ ชาดก หรือเรื่องรามเกียรติ์ บนผนังโบสถ์ วิหาร หอไตร
ใช้เทคนิค : เขียนสีฝุ่นหรือสีธรรมชาติด้วยฝีมือประณีตและลวดลายซับซ้อน
2. เขียนภาพจิตรกรรมฝาผนัง : วาดภาพพุทธประวัติ ไตรภูมิ ชาดก หรือเรื่องรามเกียรติ์ บนผนังโบสถ์ วิหาร หอไตร
ใช้เทคนิค : ใช้ทองคำเปลวประดับ (เรียกว่า “เขียนลายรดน้ำ”)
3. เขียนฉาก เครื่องตั้ง และเครื่องบูชา : เช่น ฉากบังเพลิง ธรรมาสน์ ตู้พระธรรม เครื่องราชพิธี ฯลฯ นิยมเขียนลงบนไม้ ผ้า หรือกระดาษสา
4. เขียนลายลงบนเครื่องใช้และเครื่องเรือน : ตู้ เตียง พาน ตลับ ลายรดน้ำหรือลงรักปิดทอง
5. ออกแบบลายและถ่ายทอดลายไทย : วาดต้นแบบลวดลายให้ช่างประเภทอื่นใช้ (เช่น ช่างสลักหรือช่างแกะ)
* [ข้อมูลเพิ่มเติม]
สีที่ใช้ในจิตรกรรมไทยโบราณ [แหล่งที่มา]
สีแดง: ได้จากดินแดงหรือแร่เหล็ก
สีเหลือง : ได้จากดินเหลืองหรือหินแร่บางชนิด
สีดำ: ได้จากเขม่าควันหรือถ่านไม้
สีขาว: ได้จากดินสอพองหรือเปลือกหอยเผา
สีคราม/ฟ้า: ได้จากพืชคราม
สีเขียว: ได้จากหินเขียวหรือการผสมสีครามกับสีเหลือง
สีเหล่านี้จะถูกบดให้ละเอียดและผสมกับกาวจากธรรมชาติ เช่น กาวหนังสัตว์ หรือกาวจากพืช เพื่อให้สีติดทนนานบนพื้นผิวผนัง
ตัวอย่างงานเขียน : กนก นารี กระบี่ และคช [ขอบคุณข้อมูลจาก Youtube : กระดาษกับดินสอเล่าเรื่อง]
กนก : การเขียนลวดลายไทยต่างๆ เช่น กระหนกสามตัว กระหนกใบเทศ กระจังตาอ้อย ประจำยาง เป็นต้น
นารี : การเขียนภาพคน เช่น ภาพพระ ภาพนาง ภาพเทวดา เป็นต้น ซึ่งต้องฝึกเขียนรูปร่าง ใบหน้า และกิริยาท่าทางต่างๆของคน รวมถึงภาพจับ
กระบี่ : การเขียนภาพลิง ภาพยักษ์ อสูร และพวกอมนุษย์ต่างๆ โดยมากจะยึดเอายักษ์ และลิงที่เป็นตัวเอกในเรื่องรามเกียรติ์เป็นหลัก
คข : การเขียนภาพสัตว์ต่างๆ ได้แก่ สัตว์ที่มีอยู่ตามธรรมชาติ เช่น ช้าง.ม้า วัว ควาย เสือ สิงห์ กระทิง แรด เป็นต้น และสัตว์ในวรรณคดีที่เกิดจากจินตนาการของช่างเขียนหรือเราเรียกว่า สัตว์หิมพานต์ มีรูปร่างประหลาด เช่น ราชสีห์ คชสีห์ กินรี ครุฑ หงส์ เป็นต้น
* ข้อมูลอ้างอิงจาก Facebook : ศิลปะลายไทย
คุณสมบัติช่างเขียนโบราณ : - มีสายตาแม่นยำและมือที่มั่นคง
- เข้าใจโครงสร้างภาพแบบไทย (ไม่มีมิติแบบตะวันตก)
- รู้หลักการจัดองค์ประกอบภาพและสื่อความหมายเชิงพุทธศิลป์
- รู้จักการเตรียมสีและวัสดุจากธรรมชาติ เช่น ดินสอพอง ครั่ง สีจากเปลือกไม้
ช่างกลึง (Turning) งานกลึงเป็นงานสลักเสลาเกลาแต่งที่ต้องใช้ความประณีต โดยมากใช้กับงานไม้และงาช้าง เครื่องมือกลึงจะต้องคมกลิบตลอดเวลา หากกลึงสิ่งของใหญ่ ๆ จะใช้ “กงหมุน” หากเป็นสิ่งของขนาดย่อมและไม่ประณีตจะใช้เครื่องกลึง “คานดีด”
หน้าที่ 1. ขึ้นรูปวัสดุ ให้เป็นชิ้นงานที่มีลักษณะสมมาตร เช่น ทรงกระบอก กลมมน หรือโค้งเว้า
2. ตกแต่งผิววัสดุ ให้เรียบเนียนหรือมีลวดลาย เช่น การกลึงลวดลายหยัก ลายเกลียว
3. ประกอบงานศิลป์ร่วมกับช่างอื่น เช่น
3.1 กลึงขาโต๊ะ ขาเตียง สำหรับงานช่างไม้
3.2 กลึงฐานพระพุทธรูป (ช่างหล่อใช้ต่อ)
3.3 กลึงชิ้นส่วนเครื่องถม เครื่องเบญจรงค์ หรือเครื่องโลหะ
4. ซ่อมแซมงานศิลป์เก่า เช่น กลึงซ่อมชิ้นส่วนที่หายไป
วัสดุที่นิยมใช้
1. ไม้เนื้อแข็ง เช่น ไม้สัก ไม้มะค่า
2. โลหะ เช่น ทองเหลือง ทองแดง
3. หินบางชนิด เช่น หินสบู่ (สำหรับงานตกแต่ง)
เครื่องมือและอุปกรณ์ของช่างกลึง
แท่นกลึง : เครื่องกลึงชนิดมือหมุนหรือแบบใช้ไฟฟ้า (สมัยใหม่)
สิ่วกลึง : มีดกลึงหลายขนาด ใช้เซาะ ตัด บาก วัสดุระหว่างกลึง
กระดาษทราย/หินขัด : ขัดผิวชิ้นงานให้เรียบหรือเงา
เวอร์เนียร์/ตลับเมตร : วัดขนาดความกว้าง ความยาวอย่างแม่นยำ
ฉาก : ตรวจสอบความตรงและตั้งฉากของชิ้นงาน
ลักษณะของเครื่องกลึงมือหมุนแบบไทยโบราณ [เครื่องกลึงไม้โบราณ ขอบคุณข้อมูลจาก ชุมชนไม้กลึงบ้านตองกาย-โครงการ Heroes สอนหลาน]
โครงสร้าง: ทำจากไม้หรือโลหะ มีลักษณะเป็นโต๊ะยาว มีแกนหมุน (เพลา) อยู่ตรงกลาง ซึ่งจะยึดวัสดุที่ต้องการกลึงไว้
กลไกหมุนด้วยมือหรือเท้า: ใช้เชือกพันรอบชิ้นงาน แล้วดึงสลับไปมาด้วยมือ หรือใช้แป้นเหยียบเพื่อให้หมุนไป-กลับ
การทำงาน: เมื่อชิ้นงานหมุน ช่างใช้สิ่วกลึงเซาะ ตัด หรือปาดผิวให้ได้รูปทรงตามต้องการ เช่น กลมมน เว้า หรือหยัก
ความสำคัญในงานช่างสิบหมู่
ช่างกลึง ถือเป็นช่างพื้นฐานที่สนับสนุนงานของช่างอื่น เช่น ช่างไม้ ช่างหล่อ ช่างเขียน ฯลฯ การกลึงที่แม่นยำเป็นสิ่งจำเป็นในงานหลวง เช่น เครื่องราชพิธี งานบุษบก หรืองานเครื่องตั้งในราชสำนัก
ช่างหล่อ (Casting) เกี่ยวข้องกับการหล่อโลหะ เช่น การหล่อกลองมโหระทึก หล่อพระพุทธรูปขนาดใหญ่ การหล่อพระพุทธรูปโลหะทำได้โดยการใช้ขี้ผึ้งทำเป็นหุ่นแล้วละลายขี้ผึ้งจนเกิดที่ว่างในแม่พิมพ์ แล้วจึงเทโลหะหรือทองที่กำลังหลอมละลายเข้าแทนที่ จะได้เป็นรูปหล่อโลหะสำริด เรียกวิธีนี้ว่า “ไล่ขี้ผึ้ง”
หน้าที่ 1. ล่อพระพุทธรูปและเทพเจ้า ใช้เทคนิคหล่อโลหะ เช่น ทองเหลือง ทองแดง ดีบุก หรือผสมโลหะเพื่อหล่อพระพุทธรูป พระบูชา เทพเจ้า และรูปเคารพ
2. หล่อเครื่องใช้ในศาสนาและราชสำนัก เช่น ระฆัง กระถางธูป ขัน พาน เชิงเทียน ฯลฯ
3. สร้างแม่พิมพ์และแบบหล่อ ทำแม่พิมพ์จากขี้ผึ้ง ดิน หรือทราย ใช้ความรู้เชิงช่างและศิลป์เพื่อถ่ายทอดรายละเอียดของแบบ
4. ขัดแต่งและตกแต่งผลงาน เช่น ขัดผิว ตกแต่งลวดลายให้คมชัด บางครั้งร่วมกับช่างอื่น เช่น ช่างลงรัก ช่างปิดทอง เพื่อให้สมบูรณ์
5. ซ่อมแซมงานหล่อเก่า บูรณะงานศิลปะเก่าที่หลุดร่อนหรือชำรุดให้กลับมาสวยงามตามต้นแบบ
ประวัติความเป็นมา
ช่างหล่อโบราณ เป็นช่างฝีมือสำคัญในกลุ่ม "ช่างสิบหมู่" ที่มีหน้าที่ในการสร้างและซ่อมแซมงานศิลปกรรมจากโลหะ โดยเฉพาะพระพุทธรูป เทวรูป เครื่องใช้ในศาสนา และประติมากรรมประดับวัดวาอาราม งานหล่อโลหะมีมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย และพัฒนาอย่างต่อเนื่องในสมัยอยุธยาและรัตนโกสินทร์ โดยใช้เทคนิคโบราณ เช่น การหล่อขี้ผึ้งหาย (lost-wax casting) อาศัยความรู้เชิงศิลป์และวิทยาศาสตร์ในการควบคุมโลหะและเปลวไฟอย่างแม่นยำ ช่างหล่อจึงนับเป็นผู้สืบทอดภูมิปัญญาที่ผสานศรัทธาเข้ากับทักษะขั้นสูงอย่างแท้จริง
เครื่องมือและอุปกรณ์ของช่างกลึง
เตาหลอมโลหะ
เบ้าดิน
ท่อหล่อโลหะ
เครื่องมือแกะและขัด
คีมเหล็ก ค้อน สิ่ว ตะไบ
คุณสมบัติของช่างหล่อชั้นครู
1. ความอดทนและละเอียดอ่อน
2. ความชำนาญในการควบคุมอุณหภูมิและวัสดุ
3. มีพื้นฐานด้านประติมากรรม
4. เข้าใจหลักศาสนาและพิธีกรรม (โดยเฉพาะการหล่อพระ)
ช่างปั้น (Molding and Sculpting) ทำงานด้านการปั้นพระพุทธรูปเสียเป็นส่วนใหญ่ อาจใช้ดินเหนียวอย่างเดียว ปั้นด้วยดินแล้วติดกระดาษทับเพื่อรักษาเนื้อดิน หรือแม้แต่ปั้นด้วยกระดาษโดยมีลวดตาข่ายเป็นโครงภายใน
หน้าที่ 1. ปั้นต้นแบบพระพุทธรูป เทวรูป รูปคน และสัตว์ : ใช้ดินเหนียว ขี้ผึ้ง หรือวัสดุอื่นในการปั้นเป็นต้นแบบให้มีสัดส่วนงดงามตามหลักศิลปะไทย
2. ปั้นลวดลายตกแต่งอาคาร : ลายไทยที่หน้าบัน เสาประดับ หน้าต่าง บานประตู ฯลฯ
3. ปั้นแม่พิมพ์สำหรับหล่อ : เตรียมต้นแบบสำหรับช่างหล่อ เช่น แบบหล่อขี้ผึ้งหาย (Lost-wax)
4. ทำหุ่นปูนหรือหุ่นปั้นในงานประดับวัด : หุ่นยักษ์ เทวดา สัตว์หิมพานต์ ประดับซุ้มประตูหรือเจดีย์
5. ซ่อมแซมงานปั้นเก่า : บูรณะพระพุทธรูปหรืองานปั้นประติมากรรมที่ชำรุด
ประวัติความเป็นมา
ช่างปั้น เป็นศิลปินช่างไทยโบราณที่มีบทบาทสำคัญในการสร้างงานประติมากรรมมาตั้งแต่สมัยก่อนสุโขทัย โดยเฉพาะในงานศิลปะทางศาสนา เช่น การปั้นพระพุทธรูป เทวรูป และสัตว์หิมพานต์ เพื่อประดับวัดวาอารามและราชวัง งานปั้นถือเป็นพื้นฐานของการสร้างสรรค์ประติมากรรมทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นงานหล่อหรืองานแกะสลัก เพราะต้องเริ่มจากการขึ้นรูปทรงให้ถูกต้องก่อน ในอดีต ช่างปั้นมักเป็นผู้มีความชำนาญทั้งด้านศิลปะไทย ด้านสัดส่วน และการถ่ายทอดอารมณ์ของรูปทรงให้อ่อนช้อยตามแบบแผนดั้งเดิม ถือเป็นช่างฝีมือระดับสูงที่ได้รับการฝึกฝนต่อเนื่องจากรุ่นสู่รุ่น และเป็นหนึ่งในช่างสิบหมู่ที่หลวงนิยมใช้งานในการก่อสร้างศาสนสถานและงานราชพิธีต่าง ๆ
ความสำคัญ
ช่างปั้นเป็นพื้นฐานของงานประติมากรรมและศิลปกรรมไทยเกือบทั้งหมด เพราะงานสร้างสรรค์จำนวนมากต้องเริ่มจากการขึ้นรูปหรือปั้นต้นแบบ เช่น การหล่อพระพุทธรูป การแกะสลักไม้ หรือแม้แต่งานปูนปั้นประดับวัดวาอาราม
วัสดุและเครื่องมือที่ใช้
วัสดุ : ดินเหนียว ขี้ผึ้ง ปูนปลาสเตอร์ ปูนขาว ปูนซีเมนต์
เครื่องมือ : เกรียงปั้น ลวดปั้น ไม้แต่ง พู่กันน้ำ ฟองน้ำ ตะแกรงร่อนดิน
ช่างหุ่น (Model Building) “หุ่น” ในที่นี้คือ “ตัว” หรือ “รูปร่าง” คือการประกอบสร้างรูปของคน สัตว์ หรือสิ่งของที่ต้องทำเป็นรูปร่าง ดังนั้น ช่างหล่อ ช่างปั้น และช่างหุ่นจึงมีงานสัมพันธ์กันและอาจสร้างงานด้วยคน ๆ เดียวกัน
หน้าที่ 1. สร้างหุ่นจำลองของงานศิลป์ : หุ่นพระพุทธรูป หุ่นสัตว์ หุ่นฉาก หุ่นประดับงานพิธี
2. จัดทำหุ่นขนาดย่อส่วนของอาคาร หรือประติมากรรม : เพื่อให้ผู้ว่าจ้างหรือช่างอื่น ๆ เข้าใจโครงสร้างและสัดส่วน
3. ออกแบบและจัดเตรียมหุ่นสำหรับใช้ในงานพิธีกรรม : หุ่นเทวดา หุ่นสัตว์หิมพานต์ในขบวนแห่ หรือพระเมรุมาศ
4. เป็นต้นแบบให้ช่างปั้น/ช่างหล่อ/ช่างแกะ : ใช้ในการต่อยอดสร้างงานจริงอย่างละเอียด
บทบาทและความสำคัญของช่างหุ่น
ช่างหุ่น เป็นช่างฝีมือที่ทำหน้าที่ สร้างแบบจำลอง (Model) ของศิลปวัตถุหรือสิ่งปลูกสร้างก่อนที่จะมีการดำเนินงานจริง เช่น การปั้นหุ่นจำลองพระพุทธรูป สิ่งศักดิ์สิทธิ์ อาคารราชพิธี หรือแม้แต่หุ่นพิธีกรรม ซึ่งใช้ในการประกอบพิธีหรือแสดงแนวคิดให้ผู้สั่งงานตรวจสอบ
วัสดุและเครื่องมือที่ใช้
วัสดุ : ดินเหนียว ขี้ผึ้ง ไม้ กระดาษ กระดาษแข็ง ปูนปลาสเตอร์
เครื่องมือ : เกรียงปั้น ลวดปั้น มีดตัด แผ่นรอง ตลับเมตร ไม้ฉาก
ทักษะที่จำเป็น
1) ความชำนาญในการคิดภาพ 3 มิติ
2) เข้าใจหลักสัดส่วน สถาปัตยกรรมไทย และประติมากรรม
3) สามารถปรับแบบได้ตามการใช้งานหรือสภาพจริง
4) มีความแม่นยำสูง เพราะงานจริงจะอ้างอิงจากหุ่นต้นแบบ
ช่างรัก (Lacquering) ประกอบด้วย ช่างผสมรัก ลงรักพื้น ช่างปิดทอง ช่างประดับกระจก และช่างมุก เพื่อการทำลวดลายประดับมุก “รัก” คือยางไม้ที่ได้จากต้นรักนั่นเอง ซึ่งสามารถนำมาใช้งานทางศิลปกรรมได้ โดยเฉพาะงานปิดทองในการทำ “ลายรดน้ำ”
หน้าที่ 1. ลงรักพื้นผิววัสดุ : ลงรักบนไม้ กระดาษ โลหะ หรือผ้า เพื่อเตรียมผิวสำหรับงานปิดทอง หรืองานลายรดน้ำ
2. ทำลายรดน้ำ : เป็นเทคนิคเฉพาะแบบไทยโบราณ โดยใช้รักดำเป็นพื้น แล้วขูดลายด้วยเข็มทองก่อนปิดทอง
3. ตกแต่งเครื่องราชูปโภค/งานพิธี : ตลับราชูปโภค พาน พานแว่นฟ้า หีบ และบานประตูโบสถ์
4. เคลือบเครื่องเขิน : งานรักที่ใช้กับภาชนะ เช่น ถาด ตู้ ขัน ที่มีลักษณะมันวาว ทนทาน และสวยงาม
บทบาทและความสำคัญของช่างรัก
ช่างรัก มีหน้าที่หลักในการตกแต่งพื้นผิวของงานศิลปกรรมให้เกิดความงดงามและคงทน โดยใช้ “รัก” ซึ่งเป็นยางไม้ธรรมชาติที่มีคุณสมบัติยึดเกาะดี และเป็นพื้นฐานสำหรับการ ปิดทอง, ลงลาย, หรือ การทำเครื่องเขิน งานของช่างรักจึงมักเป็นขั้นตอนสุดท้ายในการสร้างงานช่างต่าง ๆ เพื่อเพิ่มคุณค่าทางศิลป์ ความวิจิตร และความศักดิ์สิทธิ์
วัสดุและเครื่องมือที่ใช้
รัก : ยางไม้จากต้นรัก (เช่น ต้นรักยาง) ที่นำมาผ่านกรรมวิธีกรองและเคี่ยว
ทองคำเปลว : ใช้สำหรับปิดลงบนรักในงานปิดทอง
หินขัด/กระดาษทราย : ใช้ขัดผิวก่อนลงรัก
พู่กัน/ผ้า/ฝ่ามือ : ใช้ทารักหรือปิดทอง
เข็มขูดทอง : ใช้สร้างลวดลายในงานลายรดน้ำ
ตัวอย่างงานในประวัติศาสตร์
1) ลายรดน้ำบนบานประตูพระอุโบสถวัดพระแก้ว
2) งานลงรักปิดทองพระพุทธรูปไม้สัก
3) เครื่องราชูปโภคและเครื่องประกอบพระเมรุมาศ
4) เครื่องเขินล้านนา หรืองานหีบไม้รัก-ปิดทองของล้านนา
เกร็ดประวัติศาสตร์
- งานรักมีในไทยมาตั้งแต่สมัยสุโขทัยและเจริญสูงสุดในอยุธยา–รัตนโกสินทร์ตอนต้น
- ในราชสำนัก ช่างรักถือเป็นช่างระดับสูงที่ต้องผ่านการฝึกฝนอย่างเข้มงวด
* [ข้อมูลเพิ่มเติม]
ยางรัก [แหล่งที่มา] คือน้ำยางที่เก็บได้จากไม้ในสกุล Gluta และ Toxicodendron ซึ่งเป็นสกุลไม้ยืนต้น ในวงศ์มะม่วง (Anacardiaceae) โดยยางที่ได้นำมาใช้ประโยชน์เป็นสารเคลือบในการผลิตเครื่องลงรัก ใช้ประโยชน์งานวิจิตรศิลป์เป็นตัวยึดติดในการปิดประดับทองคำเปลว เงินเปลว ผงทอง ผงโลหะมีค่าต่าง ๆ เป็นต้น หรือใช้เป็นกาวธรรมชาติในการซ่อมแซมเครื่องใช้เซรามิคที่ชำรุด ซึ่งเป็นเทคนิคของญี่ปุ่นเรียกว่า
ลายรดน้ำ [แหล่งที่มา] งานเขียนลายรดน้ำ คือ การเขียนลายด้วยน้ำยาหรดาล ลงรัก ปิดทอง รดน้ำ เพื่อเพิ่มความวิจิตรมากยิ่งขึ้นพบหลักฐานเก่าแก่ของศิลปกรรมประเภทนี้ ในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ราวแผ่นดินพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ได้แก่ ตู้พระไตรปิฎก ฝีมือช่างวัดเชิงหวาย (ปัจจุบันเก็บรักษาอยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร) ตำหนักทองวัดไทร สมัยสมเด็จพระเจ้าเสือ กษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา ที่ประทับเมื่อครั้งเสด็จประพาสคลองโคกขาม สมุทรปราการ และ หอเขียนวังสวนผักกาด หรือหอไตรวัดบ้านกลิ้ง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา [การสร้างลายรดน้ำ : Youtube]
ช่างบุ (Metel Beating) “บุ” คือการตีแผ่ให้แบน ทั้งเป็นแผ่นเรียบ ๆ และเป็นรูปร่างต่าง ๆ ช่างบุต้องชำนาญด้านงานโลหะทุกชนิด เช่น ทองแดง เงิน นาก และทองคำ อุปกรณ์คือ ทั่งและค้นเหล็ก ซึ่งมีหลายขนาดและรูปร่างต่างกันไป
หน้าที่ 1. บุแผ่นโลหะบนวัสดุต่าง ๆ : บุทองแดง บุเงิน บุทอง บนไม้ โลหะ หรือผ้า
2. ตกแต่งเครื่องราชสำนัก : บุโลหะบนหีบ เครื่องตั้ง เครื่องบูชา
3. ทำเครื่องประกอบพระเมรุมาศ : บุโลหะประดับฐานบุษบก พระโกศ หรือหีบศพหลวง
4. ประดับด้วยลายคร่ำ หรือแกะลาย : ทำร่วมกับช่างแกะและช่างรัก
บทบาทและความสำคัญของช่างรัก
ช่างบุ คือผู้ชำนาญในงาน บุโลหะหรือบุผิววัสดุด้วยแผ่นโลหะบาง เพื่อเสริมความแข็งแรง ความงาม และความศักดิ์สิทธิ์ให้กับวัตถุ งานของช่างบุมักพบในเครื่องราชูปโภค เครื่องประกอบพระราชพิธี เครื่องประกอบศาสนา ตลอดจนเครื่องสูงในพระมหากษัตริย์ เช่น พระแท่นบรรทม หีบทอง พาน เครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์ ฯลฯ
วัสดุและเครื่องมือที่ใช้
แผ่นโลหะ : ทอง ทองแดง เงิน ทองเหลือง
ค้อนและสิ่วเล็ก : สำหรับตอก ย้ำ และขึ้นรูปโลหะ
ตะปู/หมุดโลหะเล็ก : ยึดแผ่นโลหะกับผิววัสดุ
หินขัด/กระดาษทราย : ขัดแต่งพื้นผิวให้เรียบก่อนบุ
กาวสมุนไพร/ชัน/รัก : ใช้ติดยึดระหว่างโลหะกับวัสดุ
ตัวอย่างงานในประวัติศาสตร์
1) หีบพระบรมสารีริกธาตุ ที่บุเงินหรือทองลวดลายไทย
2) ฉัตรโลหะ ที่บุลายและตกแต่งให้เป็นเครื่องสูง
3) ตู้พระธรรม/หีบบูชา ที่บุทองและแกะลวดลาย
4) พระโกศโลหะ ในราชสำนักที่บุด้วยเงินหรือทองคำ
เกร็ดประวัติศาสตร์
- งานบุมีมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย โดยเฉพาะในการตกแต่งพระพุทธรูปและพระโกศ
- เจริญรุ่งเรืองในสมัยอยุธยาและรัตนโกสินทร์ตอนต้น โดยใช้ทั้งเงิน ทอง และทองแดง
- มีการถ่ายทอดแบบ "ครู-ศิษย์" อย่างละเอียด เพราะงานต้องใช้ความประณีตมาก
* [ข้อมูลเพิ่มเติม]
คำว่า “บุ” มาจากภาษาสันสกฤต “ปุร” (pura) แปลว่า “ปกคลุม ห่อ หุ้ม”
งานช่างบุต่างจากงานหล่อ เพราะใช้การขึ้นรูปและประกอบ ไม่ใช่เทโลหะเหลว