ประเด็นท้าทาย การพัฒนารูปแบบการเรียนรู้ด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อส่งเสริมการอ่านภาษาอังกฤษ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนเพ็ญพิทยาคม
ประเด็นท้าทาย การพัฒนารูปแบบการเรียนรู้ด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อส่งเสริมการอ่านภาษาอังกฤษ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนเพ็ญพิทยาคม
วิธีการดำเนินการใช้บรรลุผล
1. สภาพปัญหาการจัดการเรียนรู้และคุณภาพการเรียนรู้ของผู้เรียน
การจัดการเรียนรู้ในปัจจุบันกำลังเผชิญกับความท้าทายใหม่ ๆ ในยุคที่เทคโนโลยีดิจิทัลมีบทบาทสำคัญต่อการดำเนินชีวิตของมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกระบวนการศึกษา เพื่อพัฒนาศักยภาพของผู้เรียนให้สามารถปรับตัวและเติบโตในสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ดังนั้นการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมา
ใช้ในการจัดการเรียนรู้จึงเป็นแนวทางหนึ่งที่สามารถยกระดับประสิทธิภาพการเรียนรู้ให้สูงขึ้นได้อย่างมีนัยสำคัญ
จากประสบการณ์ในการจัดการเรียนรู้นักเรียนบางคนมักพบปัญหาในการอ่านและทำความเข้าใจในภาษาอังกฤษเนื่องจากขาดแรงจูงใจและวิธีการที่เหมาะสมความเข้าใจในเนื้อหาที่อ่านมักจะต่ำ เนื่องจากมีคำศัพท์ที่ไม่คุ้นเคยและโครงสร้างประโยคที่ซับซ้อน นอกจากนี้ นักเรียนบางคนขาดความมั่นใจในการอ่าน ทำให้ไม่กล้าออกเสียงหรือแสดงออกเมื่อพบข้อความที่ยาก การขาดการฝึกฝนและการใช้ภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวัน ทำให้ทักษะในการอ่านไม่พัฒนาต่อเนื่อง อีกทั้ง การเรียนการสอนที่เน้นทฤษฎีมากกว่าการปฏิบัติทำให้เรียนรู้ได้ไม่เต็มที่ สุดท้าย การขาดแรงจูงใจและความสนใจในเนื้อหาภาษาอังกฤษทำให้การอ่านไม่มีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการเรียนรู้และพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษของนักเรียนอย่างมากส่งผลให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ำกว่าเกณฑ์ที่คาดหวัง
ในปัจจุบันเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ได้รับการพัฒนาให้มีศักยภาพในการปรับปรุงกระบวนการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ โดย AI สามารถนำมาใช้เพื่อสนับสนุนการเรียนรู้แบบเฉพาะบุคคล (Personalized Learning) ช่วยให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ตามความต้องการ นอกจากนี้ AI ยังสามารถวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อระบุจุดอ่อนของนักเรียน และเสนอแนวทางปรับปรุงที่เหมาะสมได้แบบเรียลไทม์ ซึ่งช่วยเพิ่มแรงจูงใจในการเรียนรู้และพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์และการแก้ปัญหาของผู้เรียนได้
การนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาช่วยจัดการเรียนการสอนการอ่านภาษาอังกฤษสำหรับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนรู้ โดย AI สามารถปรับเนื้อหาให้เหมาะสมกับระดับความสามารถของนักเรียน ช่วยให้การเรียนการสอนเป็นไปอย่างมีส่วนร่วม และสามารถติดตามพัฒนาการของนักเรียนได้อย่างแม่นยำ นอกจากนี้ AI ยังสามารถสร้างแบบฝึกหัดที่หลากหลายและน่าสนใจ รวมทั้งให้ข้อเสนอแนะแบบเรียลไทม์ เพื่อเสริมสร้างทักษะการอ่านและความเข้าใจในภาษาอังกฤษ การใช้ AI ยังช่วยลดภาระของครูในการเตรียมสื่อการสอน และสามารถสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ที่ปรับให้เหมาะกับแต่ละบุคคล ทำให้การเรียนการสอนมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และกระตุ้นให้นักเรียนมีความสนใจในการเรียนรู้ภาษาอังกฤษมากขึ้น
จากสภาพปัญหาที่กล่าวมาข้างต้น การวิจัยนี้จึงมีความสำคัญในเชิงการพัฒนาการศึกษา เนื่องจากสามารถเป็นแนวทางในการปรับปรุงการจัดการเรียนรู้ของผู้เรียนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และสอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการที่ต้องการพัฒนาผู้เรียนให้มีความพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต อีกทั้งยังสามารถนำผลการวิจัยไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนากระบวนการเรียนรู้ในวิชาอื่น ๆ ที่ต้องการส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์และการแก้ปัญหาด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ได้อีกด้วย
2. วิธีการดำเนินการให้บรรลุผล
วิธีการดำเนินการให้บรรลุผลสามารถดำเนินการตามขั้นตอนต่อไปนี้
1. การวางแผนการวิจัย (Research Planning)
- กำหนดวัตถุประสงค์การวิจัย: เพื่อพัฒนารูปแบบการเรียนรู้ที่ใช้ AI ในการส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์และการแก้ปัญหา
- กำหนดสมมติฐานการวิจัย: การเรียนรู้ผ่าน AI จะช่วยเพิ่มผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง การอ่านภาษาอังกฤษสำหรับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
- กำหนดประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
2. การออกแบบรูปแบบการจัดการเรียนรู้ (Learning Design)
พัฒนารูปแบบการเรียนรู้โดยใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการจัดการเรียนรู้ เช่น AI Chatbot เพื่อช่วยตอบคำถามและทบทวนบทเรียน, การใช้ Kahoot หรือ Quizizz เพื่อเสริมสร้างแรงจูงใจ
2. การพัฒนาเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย (Tool Development)
- แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง การอ่านภาษาอังกฤษ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
- แบบทดสอบก่อนและหลังเรียน (Pre-test และ Post-test): เพื่อวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ทักษะการคิดวิเคราะห์และการแก้ปัญหาของผู้เรียน
- แบบสอบถามความพึงพอใจ: เพื่อประเมินความพึงพอใจของผู้เรียนที่ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการจัดการเรียนรู้
4. การทดลองใช้ (Implementation)
- นำรูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่พัฒนาแล้ว ไปใช้กับกลุ่มทดลอง เพื่อเปรียบเทียบผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น
5. การเก็บรวบรวมข้อมูล (Data Collection)
- การทดสอบก่อนและหลังเรียน: เพื่อวัดความแตกต่างของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
- แบบสอบถาม (Questionnaires)**: สร้างแบบสอบถามออนไลน์ที่นักเรียนสามารถตอบได้ โดยใช้ AI เพื่อวิเคราะห์ผลลัพธ์
การสัมภาษณ์ (Interviews)**: ใช้ AI ในการบันทึกและวิเคราะห์ข้อมูลจากการสัมภาษณ์นักเรียน
- วิเคราะห์เชิงปริมาณ: ใช้สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูลผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (คะแนน Pre-test และ Post-test) และแบบสอบถามความพึงพอใจ เช่น ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบสมมติฐาน (t-test)
- วิเคราะห์เชิงคุณภาพ: วิเคราะห์จากการสัมภาษณ์และการสังเกตพฤติกรรมการเรียนรู้ของผู้เรียน
6. การสรุปผลและการรายงาน (Conclusion and Reporting)
- สรุปผลการวิจัย เพื่อดูว่าการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการ
- ใช้ข้อมูลจากการตรวจสอบมาปรับบทเรียนสำเร็จรูป เช่น เพิ่มแบบฝึกหัดให้ผู้เรียน
- แลกเปลี่ยนเรียนรู้แนวทางการดำเนินงานและผลลัพธ์ให้กับครูท่านอื่น
จากวิธีการดำเนินการให้บรรลุผลดังกล่าวข้างต้นสามารถสรุปเป็นวงจร PDCA ได้ดังภาพ
แผนภาพที่ 2 แผนภาพการดำเนินงานตามวงจร PDCA (Plan-Do-Check-Act)
ผลลัพธ์การพัฒนาที่คาดหวัง
3.1 เชิงปริมาณ
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนเพ็ญพิทยาคม ร้อยละ 70 ที่เรียนในรายวิชาภาษาอังกฤษ มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่สูงขึ้น นักเรียนจะใช้เวลาน้อยลงในการทำแบบฝึกหัดการอ่านภาษาอังกฤษ เนื่องจาก AI จะช่วยให้การเรียนรู้มีประสิทธิภาพและมีการปรับให้เหมาะสมกับนักเรียนแต่ละคนการใช้ AI ในการประเมินผลการอ่านภาษาอังกฤษจะทำให้มีข้อมูลเชิงสถิติที่ชัดเจนเกี่ยวกับพัฒนาการของนักเรียน
3.2 เชิงคุณภาพ
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนเพ็ญพิทยาคม ความสามารถในการเข้าใจและวิเคราะห์เนื้อหาภาษาอังกฤษได้ดีขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องของการตีความและการสรุปเนื้อหา นักเรียนจะมีความมั่นใจในการใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารและการอ่านมากขึ้น เนื่องจากการฝึกฝนที่เหมาะสมและการสนับสนุนจากAI การใช้ AI จะช่วยสร้างความสนุกสนานและความท้าทายในการเรียน ทำให้ นักเรียนมีแรงจูงใจในการเรียนรู้ภาษาอังกฤษมากขึ้น