พระมงคลมิ่งเมือง
"พระมงคลมิ่งเมือง” หรือที่มักเรียกกันโดยทั่วไปว่า "พระใหญ่” พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของชาวจังหวัดอำนาจเจริญ มีประวัติความเป็นมาของพระมงคลมิ่งเมือง เกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2503 พระครูทัศประกาศ เจ้าอาวาสวัดมงคลมิ่งเมือง อ.เมือง จ.อำนาจเจริญ (ในสมัยสร้างองค์พระยังเป็นอำเภออำนาจเจริญ จ.อุบลราชธานี) ท่านมีความประสงค์ต้องการสร้างพระพุทธรูปประธานขนาดใหญ่ เพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ โบราณวัตถุทางพระพุทธศาสนาที่หักพัง เช่น เศียรพระพุทธรูป ใบเสมาเก่า และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ไว้ที่ใต้ฐานองค์พระ รวมทั้ง เพื่อเป็นอนุสรณ์แด่ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (อ้วน ติสฺโส) องค์ปฐมสังฆนายก และให้เป็นที่เคารพสักการะบูชาแก่ชาวอำนาจเจริญ รูปแบบการสร้างพระมงคลมิ่งเมือง ช่างได้ไปถ่ายแบบจากพระพุทธชินราชซึ่งสร้างในสมัยกรุงสุโขทัย ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ ณ พระวิหารหลวง วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร ต.ในเมือง อ.เมือง จ.พิษณุโลก และได้มากำหนดให้องค์พระมีขนาดหน้าตักกว้าง 9 เมตร (4 วา 2 ศอก) สูงจากฐานหรือแท่นประทับนั่งจรดยอดพระเกตุมาลา 11 เมตร 4 เซนติเมตร (5 วา 2 ศอก 1 คืบ 4 นิ้ว) ฐานแท่นประทับกว้าง 5 เมตร สูง 5 เมตร อุปกรณ์ที่ใช้สร้างพระมงคลมิ่งเมือง ประกอบด้วย หิน กรวด ทราย ปูนซีเมนต์ เหล็กขนาด 3-6 หุน กระเบื้องเคลือบสีเหลือง (สีทอง) ขนาดกลักไม้ขีดไฟ ใช้ปิดทองที่องค์พระ งบประมาณที่ใช้ในการสร้างประมาณ 200,000 บาท โดยมีนายคำเม้า ภักดีปัญญา ชาวจังหวัดร้อยเอ็ด เป็นช่างฝีมือควบคุมการสร้าง สถานที่จัดสร้างตั้งอยู่กลางสันภูดานพระบาท เป็นลานหินขนานกัน 2 ข้าง มีเนื้อที่กว้างประมาณ 36 ไร่ สภาพแวดล้อมเป็นภูเขาลูกเตี้ยๆ ความสูงจากระดับพื้นดินประมาณ 13 เมตร มีต้นไม้ขนาดใหญ่ปกคลุม มีความสงบร่มเย็น มีสัตว์ป่าหลายชนิดอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของ ต.บุ่ง อ.เมือง จ.อำนาจเจริญ และติดกับทางหลวงแผ่นดินสายจังหวัดอุบลราชธานี-มุกดาหารระหว่างการสร้างพระมงคลมิ่งเมือง มีผู้มีจิตศรัทธาทั้งที่เป็นพระภิกษุสงฆ์ และฆราวาส นำปัจจัยมาสมทบทุนการสร้าง รวมทั้งช่วยกันขนหิน ขนดิน จนกระทั่งวันที่ 1 กันยายน 2505 ซึ่งตรงกับวันศุกร์ แรม 6 ค่ำ เดือน 9 ได้ทำพิธีวางศิลาฤกษ์ โดยนิมนต์พระสงฆ์จากวัดสุปัฏวนาราม วรวิหาร อ.เมือง จ.อุบลราชธานี จำนวน 10 รูป นำโดย เจ้าคุณพระธรรมบัณฑิต ขณะดำรงสมณศักดิ์เป็น พระเทพบัณฑิต ได้เมตตามาเป็นประธานในพิธีแต่ก่อนประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์ มีเหตุการณ์แปลกเกิดขึ้น คือ มีฝนตกลงมาอย่างหนัก จนต้องเลื่อนเวลาการประกอบพิธีออกไปแต่ฝนก็ตกลงมาแบบไม่มีท่าทีจะหยุด เจ้าคุณพระธรรมบัณฑิตจึงสั่งให้เริ่มประกอบพิธีท่ามกลางสายฝนทำให้พระเณรและประชาชนที่มาร่วมพิธีเปียกปอนไปตามๆ กัน ในการก่อสร้างพระมงคลมิ่งเมืองครั้งนี้ ก็มีอุปสรรคเกิดขึ้น เพราะทุนทรัพย์ใช้ก่อสร้างมีผู้บริจาคเพียง 26,721.05 บาท กระทั่งเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2505 พ.อ.ปิ่น มุทุกันต์ อธิบดีกรมการศาสนา ในขณะนั้น พร้อมด้วย พ.อ.พรชัย วิชาวรณ์ ได้มาสำรวจการก่อสร้าง พระครูโอภาสธรรมภาณ เจ้าคณะอำเภอฝ่ายธรรมยุต ในขณะนั้น ได้เสนอให้ท่านทั้ง 2 เป็นผู้อุปถัมภ์การก่อสร้างองค์พระสืบต่อไป
พ.อ.ปิ่น มุทุกันต์ ได้นำเรื่องการก่อสร้าง "พระมงคลมิ่งเมือง” มารายงานให้ พล.อ.ประภาส จารุเสถียร ขณะดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้รับทราบ พล.อ.ประภาส จึงได้บริจาคทรัพย์ส่วนตัวสมทบการสร้าง 100,000 บาท และผู้มีจิตศรัทธาในกลุ่มของ พล.อ.ประภาส ร่วมบริจาคสมทบให้อีก 100,000 บาท การก่อสร้าง "พระมงคลมิ่งเมือง” จึงได้เริ่มขึ้นอีกครั้งหนึ่ง สำหรับการก่อสร้างครั้งใหม่ มีการขยายแท่นองค์พระออกไปทั้ง 4 ด้าน ด้านละ 1 - 5 เมตร โดยขยายแท่นพระซึ่งมีความยาวเดิม 9 เมตร กว้าง 5 เมตร เป็น 12 เมตร กว้าง 8 เมตร สูง 5 เมตร สูงจากพื้นดินถึงพระเกตุมาลา 20.50 เมตร ขนาดหน้าตักกว้าง 10 เมตร องค์พระพุทธรูปหันพระพักตร์สู่ทิศบูรพาปิดด้วยกระเบื้องโมเสกทองเหลืองอร่าม โดยองค์พระแม้มีขนาดใหญ่ แต่สวยงามยิ่งทำให้ผู้มีจิตศรัทธาบางคนนิยมเรียกท่านว่า "พระเจ้าใหญ่มงคลมิ่งเมือง” ใช้งบประมาณการก่อสร้างทั้งสิ้น 332,800 บาท สร้างแล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2508 ปัจจุบัน พระมงคลมิ่งเมืองเป็นพระศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองเป็นสมบัติอันล้ำค่าของชาวจังหวัดอำนาจเจริญหากสาธุชนท่านใดได้มาเยือนแล้วไม่ได้ไปกราบนมัสการถือเสมือนว่ายังเดินทางมาไม่ถึงจังหวัดอำนาจเจริญ การกราบขอพรจากองค์พระมงคลมิ่งเมืองส่วนมากนิยมขอพรให้คลายความทุกข์โศกร้อนใจ และบนบานให้ประสบความสำเร็จในเรื่องต่างๆ ทั้งนี้ ทุกวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 ซึ่งตรงกับวันมาฆบูชาของทุกปีชาวอำนาจเจริญจะพร้อมใจจัดงานกราบนมัสการเป็นเวลา 5 วัน 5 คืนดังนั้น ผู้คนที่เคยเดินทางมากราบไหว้ขอพรหรือบนบานไว้จะพากันเดินทางมากราบนมัสการและแก้บนในช่วงวันดังกล่าวจำนวนมาก การกราบไหว้บูชา "พระมงคลมิ่งเมือง” หรือ "พระใหญ่” เพื่อเสริมความเป็นสิริมงคลแก่ตัวและครอบครัว เป็นมงคลชีวิตดีนักแล พุทธอุทยาน และ พระมงคลมิ่งเมือง ตั้งอยู่ที่เขาด้านพระบาทห่างจากตัวเมืองไปทางด้านเหนือประมาณ 3 กิโลเมตร บริเวณวัดประกอบด้วย หินด้านธรรมชาติร่มรื่นด้วยพันธุ์ไม้นานาชนิด ซึ่งได้รับการปรับแต่งให้เป็น พุทธอุทยาน สวนพระมงคลมิ่งเมือง หรือพระให้ ป่างมารวิชัย องค์พระหน้าตักกว้าง 11 เมตร ความสูงจากระดับพื้นดินถึงยอดเปลวรัศมี 20 เมตรเป็นพระพุทธรูปที่ได้รับอิทธิพลสกุลศิลปอินเดียเหนือ (ป่าละ) ที่แผ่อิทธิพลมายังภาคอีสานของไทย เมื่อพันปีเศษออกแบบโดยจิตรบัวบุศย์ โดยการก่อสร้างแบบคอนกรีตเสริมเหล็กครอบพระองค์เดิมซึ่งเป็นพระพุทธรูปปูนปั้นมีฐานกว้าง 8.4 เมตร ยาว 12.6 เมตร สูง 5.2 เมตร แล้วแต่งองค์พระด้านนอกด้วยกระเบื้องโมเสคสีทองสร้างเมื่อปี พ.ศ.2508 เป็นพระคู่บ้านคู่เมืองของชาวจังหวัดอํานาจเจริญและจังหวัดอุบลราชธานี
พระมงคลมิ่งเมือง เป็นพระพุทธรูปที่มีพุทธลักษณะงดงามประจําภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทางด้านหลังของพระมงคลมิ่งเมืองมีพระพุทธรูปลักษณะแปลกอีก 2 องค์ ห่มจีวรเหลืองลออตา มีนามว่า พระละฮาย หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า พระขี่ลาย หมายถึง ไม้สวย ไม้งาม โดยเรียกตามรูปลักษณ์ขององค์พระพุทธรูปโบราณ พบในหนองน้ำเมื่อปี พ.ศ. 2505 ครั้งที่มีการปรับปรุงบริเวณโดยรอบเพื่อทําฝายกั้นน้ำ ถือกันว่าเป็นพระที่ให้โชคลาภ ชาวบ้านมักมาบนบานขอพรอยู่เสมอ
ขอมูลเนื้อหา เรื่องราว เขียนโดย นายสุทธินันท์ บัวทอง
ภาพถาย/ภาพประกอบ โดย นายสุทธินันท์ บัวทอง
อ้างอิงข้อมูลจาก : https://www.m-culture.go.th/amnatcharoen/ewt_news.php?nid=568&filename=index