1.ชื่อโครงการ อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
พระราชดำริ
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนิน ร.ร.ตชด. บำรุงที่ 107 บ้านห้วยจะค่าน ต.ปิงโค้ง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ เมื่อ 6 ก.พ. 30 มีพระราชดำริให้ดำเนินการปลูกฝังการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติให้แก่เด็กนักเรียน และและให้ ร.ร.ปลูกสะเดา ซึ่งนอกจากจะนำมาประกอบเป็นอาหาร อาศัยเป็นร่มเงาแล้วเมล็ดสะเดายังใช้ในการป้องกันกำจัดแมลงในแมลงในผักได้ ซึ่งไม่มีสารพิษตกค้างและทำลายสภาพแวดล้อมเหมือนสารเคมีทั่วๆไป
สถานที่ตั้ง
ร.ร.ตชด.บ้านย่านซื่อ ต.หาดขาม อ.กุยบุรี
ร.ร.ตชด.บ้านท่าวังหิน ต.เขาจ้าว อ.ปราณบุรี
ร.ร.ตชด.บ้านเขาจ้าว ต.เขาจ้าว อ.ปราณบุรี
ร.ร.ตชด.นเรศวรป่าละอู ต.ห้วยสัตว์ใหญ่ อ.หัวหิน
ร.ร.ตชด.บ้านคลองน้อย ต.ห้วยสัตว์ใหญ่ อ.หัวหิน
ร.ร.ตชด.บ้านแพรกตะตร้อ ต.บึงนคร อ.หัวหิน
ร.ร.ตชด.บ้านป่าหมาก ต.ศาลาลัย อ.สามร้อยยอด
วัตถุประสงค์ของโครงการ
เพื่อดำเนินการปลูกฝังการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติให้แกเด็กนักเรียน
ผลการดำเนินงานตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงปัจจุบัน
เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการ
ปีงบประมาณที่เริ่มดำเนินการ
พ.ศ.2530
2.ชื่อโครงการ พัฒนาป่าไม้ปากน้ำปราณบุรี อันเนื่องมาจากพระราชดำริ
พระราชดำริ
ตามพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ ทรงมีพระราชประสงค์ให้จัดทำโครงการป่าสงวนแห่งชาติให้สามารถอำนวยประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อม
สถานที่ตั้ง
หมู่ที่ 1 ตำบลปากน้ำปราณ อำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
วัตถุประสงค์ของโครงการ
เพื่อดำเนินการตามพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
และสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ
เพื่อดำเนินการจัดการโครงการในป่าสงวนแห่งชาติ
ให้สามารถอำนวยประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อม
เป็นแหล่งศึกษาธรรมชาติป่าชายเลนของนักเรียน นักศึกษา
เป็นตัวอย่างให้ประชาชนสนใจในการปลูกและบำรุงป่าไม้
เพื่ออนุรักษ์ป่าไม้ให้คงอยู่ตลอดไป
เพื่อให้เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของประชาชน
หน่วยงานรับผิดชอบ
สำนักงานบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3 สาขาเพชรบุรี กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช
ผลการดำเนินงานตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงปัจจุบัน
จัดทำเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติป่าชายเลน เมื่อปี พ.ศ. 2540 ความยาว 1,000 เมตรเพื่อให้เป็นห้องเรียนทางธรรมชาติวิทยากลางแจ้ง โดยประสงค์ให้เกิดผลแพร่หลายแก่การรักษาป่าชายเลนและสัตว์น้ำ
จัดทำเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติป่าชายหาดและป้ายสื่อความหมาย ความยาว 700 เมตร
จัดทำป้ายสื่อความหมายธรรมชาติป่าชายเลน จำนวน 40 ป้าย
จัดกิจกรรมกลุ่มศึกษาธรรมชาติให้กับนักเรียน นักศึกษา และประชาชนโดยทั่วไป
พัฒนาพื้นที่ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์
จัดทำป้ายพรรณไม้ในพื้นที่โครงการฯ จำนวน 200 ป้าย
จัดทำป้ายบอกทางตามแยกต่างๆ จำนวน 40 ป้าย
ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชน โดยการจัดตั้งกลุ่มอนุรักษ์ป่าชายเลนบ้านหัวแหลมจำนวน 1 กลุ่ม
จัดทำแหล่งน้ำ-แหล่งอาหาร โดยการทำฝายชะลอน้ำและโป่งเทียม เพื่อช่วยชีวิตสัตว์ป่า จำนวน 26 กลุ่ม
จัดทำ Camp Groud (พื้นที่กางเต็นท์) ห้องน้ำ-ห้องสุขา จำนวน 2 หลัง และหอพักน้ำ-ส่งน้ำ จำนวน 1 หอ ตามงบไทยเข้มแข็ง
มีนักเรียน นักศึกษา และประชานโดยทั่วไป ให้ความสนใจเข้าเยี่ยมชนและศึกษาระบบนิเวศฯเป็นจำนวนมาก (เฉลี่ยเดือนละประมาณ 6,000 บาท)
สถิตินักท่องเที่ยวเข้ามาเยี่ยมชนโครงการฯ ปี 2549 จำนวน 74,701 คน
สถิตินักท่องเที่ยวเข้ามาเยี่ยมชนโครงการฯ ปี 2550 จำนวน 80,584 คน
สถิตินักท่องเที่ยวเข้ามาเยี่ยมชนโครงการฯ ปี 2551 จำนวน 61,025 คน
สถิตินักท่องเที่ยวเข้ามาเยี่ยมชนโครงการฯ ปี 2552 จำนวน 72,194 คน
สถิตินักท่องเที่ยวเข้ามาเยี่ยมชนโครงการฯ ปี 2553 จำนวน 78,948 คน
ปัญหาเรื่องการทำลายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะทรัพยากรป่าชายเลนลดน้อยลง
ปีงบประมาณที่เริ่มดำเนินการ
ได้รับงบประมาณจากสำนักงาน กปร.
ปีงบประมาณ 2549 ได้รับงบจากกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช 436,000 บาท
ปีงบประมาณ 2550 ได้รับงบจากกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช 436,000 บาท
ปีงบประมาณ 2551 ได้รับงบจากกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช 436,000 บาท
ปีงบประมาณ 2552 ได้รับงบจากกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช 636,000 บาท
ปีงบประมาณ 2553 ได้รับงบจากกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช 536,000 บาท
ปีงบประมาณ 2554 ได้รับงบจากกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช 536,000 บาท
ประเภทโครงการ
สิ่งแวดล้อม
3.ชื่อโครงการ จัดสร้างแหล่งอาศัยสัตว์ทะเล (ปะการังเทียม)
พระราชดำริ
พระราชดำรัสสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต์ พระบรมราชินีนาถเมื่อวันอังคารที่ 11 สิงหาคม พ.ศ.2552 เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดา พระราชวังดุสิตฯ สืบเนื่องจากสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต์ พระบรมราชินีนาถทรงมีพระราชเสาวนีย์ให้ดำเนินการช่วยเหลือชาวประมงขนาดเล็กที่ประสบความเดือดร้อนจากความเสื่อมโทรมของทรัพยากรชายฝั่ง การจัดสร้างแหล่งอาศัยสัตว์ทะเลหรือปะการังเทียมเป็นกิจกรรมหนึ่ง ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อฟื้นฟูทรัพยากรสัตว์น้ำตามแนวชายฝั่งทะเลให้มีความอุดมสมบูรณ์ขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม การดำเนินการที่ผ่านมาเกิดจากการร่วมมือร่วมใจของหน่วยงานต่างๆ ในการให้การสนับสนุนทุกปี ผลจากการจัดสร้างปะการังเทียมอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน ส่งผลให้ทรัพยากรสัตว์น้ำมีความอุดมสมบูรณ์ ทำให้ชาวประมงมีรายได้จากการจับสัตว์น้ำมากขึ้น และบางรายมีรายได้จากการท่องเที่ยว เพื่อตกปลาหรือดำน้ำ จนเป็นที่ยอมรับทั้งในหมู่ชาวประมง ประชาชน และนักวิชาการอย่างแพร่หลายว่ากิจกรรมนี้ เป็นปัจจัยหนึ่งในการเพิ่มพูนทรัพยากร ประมงให้กลับมามีความอุดมสมบูรณ์อีกครั้ง และสามารถยกระดับความเป็นอยู่ ของชาวประมง และประชาชนในพื้นที่และทรงมีพระราชดำรัสให้รัฐบาล หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยกันสานต่อ
ที่ตั้งของโครงการ
บริเวณชายฝั่งทะเล จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
วัตถุประสงค์ของโครงการ
1. ฟื้นฟูผลผลิตทางการประมง (การจัดการและพัฒนาทรัพยากรในท้องถิ่น)
2. ฟื้นฟูสภาพความเป็นอยู่ของชาวประมงทะเลพื้นบ้านให้มีรายได้เพิ่มขึ้น(การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม)
3. ฟื้นฟูระบบนิเวศบริเวณชายฝั่ง (การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม)
ระยะเวลาดำเนินโครงการ
เริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี 2533 จนถึงปัจจุบัน
รายละเอียดโครงการ
ดำเนินการดัดแปลงสภาพพื้นทะเล โดยการนำวัสดุที่แข็งแรงทนทานต้านกระแสน้ำได้ และค่าใช้จ่ายคุ้มทุนไปจัดวางที่พื้นทะเล เพื่อ
ดึงดูดสัตว์น้ำให้เข้ามาอยู่อาศัย เป็นที่หลบภัย รวมทั้งเป็นแหล่งอาหาร และแหล่งสืบพันธุ์ของสัตว์น้ำ เป็นประโยชน์ต่อการฟื้นฟูความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรสัตว์น้ำ เสริมมาตรการควบคุมและบริหารจัดการทรัพยากรประมง โดยตั้งแต่ปี พ.ศ.2533 จนถึงปัจจุบัน จะใช้วัสดุแท่งคอนกรีตทรงสี่เหลี่ยม มีขนาด กว้าง ยาว สูง เท่ากันทุกด้าน ด้านละ 1.0 ม. หรือ 1.5 ม. ไปจัดวางในทะเลตามจุดพิกัดที่กำหนด เพื่อเป็นแหล่งอาศัยสัตว์ทะเลพื้นที่ขนาดเล็ก ในการทำการประมงหน้าหมู่บ้าน สำหรับชุมชนประมงขนาดเล็ก งบประมาณ ในการก่อสร้าง แห่งละ 3 ล้านบาท ใช้แท่งคอนกรีตขนาด 1.5 ม. จำนวน 450 - 500 แท่ง / แห่งโดยประมาณ และยังได้จัดสร้างแหล่งอาศัยสัตว์ทะเลพื้นที่ขนาดใหญ่ เพื่อการเพิ่มผลผลิตสัตว์น้ำ เป็นแหล่งทำการประมงสำหรับชุมชนประมงในเขตหลายตำบลติดต่อกัน งบประมาณในการก่อสร้าง แห่งละ 20 ล้านบาท ใช้แท่งคอนกรีตขนาด 1.5 ม. จำนวน 3,000 แท่งโดยประมาณ ซึ่งแหล่งอาศัยพื้นที่ขนาดใหญ่นั้น ทำให้สัตว์น้ำมีโอกาสเจริญเติบโตได้นานขึ้น ไม่ถูกจับขึ้นมาก่อนเวลาที่ควร
ทั้งนี้ ได้เลือกสถานที่จัดสร้างตามความเหมาะสมทางวิชาการ ดังนี้
มีความลึกของน้ำทะเล 6 ม.ขึ้นไปพื้นทะเลไม่เป็นโคลนเหลว
ไม่อยู่ใกล้ปากแม่น้ำที่มีการเปลี่ยนแปลงความเค็มของน้ำทะเลอย่างรวดเร็วในฤดูน้ำหลาก
ไม่เป็นพื้นที่ซึ่งมีตะกอนแขวนลอยในน้ำมาก
ไม่กีดขวางการสัญจรทางน้ำ
ไม่เป็นที่หวงห้ามเพื่อการใช้ประโยชน์อื่นๆ ทางทะเล เช่น เขตร่องน้ำเดินเรือ เขตจอดเรือ เขตพื้นที่ท่าเรือ เขตสัมปทานขุดแร่และแก๊สธรรมชาติ เขตสัมปทานรังนก เป็นต้น
ไม่เป็นพื้นที่ที่อาจกระทบต่อปัญหาความมั่นคงของประเทศ เช่น เขตทหาร พื้นที่ฝึกซ้อมทางทะเล เขตชายแดนระหว่างประเทศ เป็นต้น
โดยนับตั้งแต่ปี 2533 – 2553 ได้รับงบประมาณจัดสร้างแหล่งอาศัยสัตว์ทะเล จากกรมประมง , งบพัฒนาส่วนภูมิภาคและท้องถิ่น , งบยุทธสาสตร์พัฒนาจังหวัดแล้ว จำนวน 87 แห่ง เนื้อที่ 211.78 ตารางกิโลเมตร ดังนี้
อำเภอ แปลง เนื้อที่ (ตร.กม.)
1.หัวหิน 11 37.02
2.ปราณบุรี 5 12.40
3.สามร้อยยอด 5 20.80
4.กุยบุรี 9 37.38
5.เมือง 15 45.50
6.ทับสะแก 18 22.74
7.บางสะพาน 9 13.93
8.บางสะพานน้อย 15 21.35
รวม 87 211.78
องค์กรหรือกลุ่มเป้าหมาย
กลุ่มชาวประมง และธุรกิจที่ต่อเนื่อง
ผลประโยชน์ที่ได้รับจากการดำเนินโครงการ
1. ด้านชีววิทยา สามารถรักษาบริเวณที่เป็นแหล่งเลี้ยงตัวของสัตว์น้ำวัยอ่อน ทำให้ประชากรรุ่นใหม่ของ สัตว์น้ำที่จะเข้าสู่แหล่งทำการประมง มีมากขึ้น
2. ด้านเศรษฐกิจ เพิ่มแหล่งทำการประมงที่มีประสิทธิภาพ สามารถลดต้นทุนการผลิต
3. ด้านสังคม การบริหารการประมงของรัฐ ดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ ลดความขัดแย้ง
ปัญหาอุปสรรค
1. ด้านการจัดการแบบมีส่วนร่วม
ปัญหาอุปสรรค
การทำหน้าที่ของคณะกรรมการประมงหมู่บ้านทำได้เฉพาะการประสานงาน หรือร่วมวางแผนการดำเนินงานกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ , ชาวประมงในพื้นที่ และรายงานสภาพปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น เท่านั้น
ส่วนการบริหารจัดการอย่างเต็มรูปแบบ ยังทำได้ไม่เต็มที่ เนื่องจาก ไม่มีบทบาทพอที่จะจัดการการใช้ผลประโยชน์ได้ ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าปัจจุบัน
มีการขยายตัวอย่างรวดเร็วของการประมงไทย ซึ่งมีทั้งประมงพาณิชย์ และประมงพื้นบ้านที่หากินตามชายฝั่งทะเล ทั้งหมดนี้ รวมถึงการเพิ่มขึ้นของประสิทธิภาพของเรือและเครื่องมือประมงด้วย ทำให้มีการแย่งชิงทรัพยากรและลุกล้ำพื้นที่ ภาครัฐเข้าไปแก้ไขในส่วนของการเข้าถึง และการใช้ประโยชน์ทรัพยากรประมงได้ยาก เนื่องจากทรัพยากรประมงเป็น ”ทรัพยากรร่วม ไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดเป็นเจ้าของ” อีกทั้ง การประกอบอาชีพประมงเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้มีทุน มีความสามารถเข้ามาประกอบอาชีพได้โดยเสรี และที่สำคัญด้านแรงงานของเรือประมงพาณิชย์ ส่วนใหญ่เกือบ 100 % เป็นแรงงานต่างด้าว ยากที่จะมีจิตสำนึกมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ หรือหวงแหนทรัพยากรสัตว์น้ำ จึงเป็นที่มาของประเด็นปัญหาของการบริหารจัดการทรัพยากรประมงแบบมีส่วนร่วม
แนวทางแก้ไข
1. แหล่งปะการังเทียมควรประกาศเป็นสิทธิให้อยู่ในความครอบครองของหมู่บ้าน
หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในบริเวณที่จัดสร้าง โดยกรมประมงเข้าไปสนับสนุนเป็นพี่เลี้ยง และให้คำแนะนำ
และช่วยควบคุมดูแลการประมงที่ผิดกฎหมาย
2. จังหวัด หรือกรมประมงควรขยายโครงการจัดการทรัพยากรประมงโดยชุมชน เพื่อให้มี
ส่วนร่วมในการบริหารจัดการ ควบคู่ไปกับการดำเนินกิจกรรมฝ่ายภาครัฐ เช่น การควบคุมการทำการประมงให้อยู่ภายใต้กฎหมายอย่างจริงจัง หรือการปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำ หรืออื่นๆ อย่างจริงใจ และจริงจัง เพื่อให้ชุมชน หรือชาวประมงที่มาจากที่อื่น ช่วยกันดูแลแหล่งอาศัยสัตว์ทะเล เสมือนหนึ่งเป็นทรัพย์สมบัติของชุมชนตนเอง ซึ่งจะสามารถช่วยยืดอายุการใช้งานปะการังเทียมให้ยืดยาว และให้เกิดการใช้ประโยชน์อย่างคุ้มค่า
2. ด้านการควบคุมการทำการประมงบริเวณแหล่งที่อยู่อาศัยสัตว์ทะเล
ปัญหาอุปสรรค
การลักลอบทำการประมงที่ผิดกฎหมาย
แนวทางแก้ไข
1. แหล่งอาศัยทะเลทำการจัดสร้างทุกแห่ง ควรออกกฎหมายรองรับ เช่น ประกาศเป็นที่รักษาพืชพันธ์ หรือ ห้ามทำการประมงในแหล่งปะการังเทียมในระยะ.........เมตร
2. เร่งแก้ไขกฎหมายการประมงให้ทันต่อเหตุการณ์
3. ด้านการติดตามผลการดำเนินงานภายหลังการดำเนินโครงการ
ปัญหาอุปสรรค
1. ข้อจำกัดด้านการสำรวจทรัพยากรสัตว์น้ำ สำนักงานฯ ไม่มีภารกิจด้านการสำรวจทรัพยากรสัตว์น้ำที่อาศัยในแหล่งปะการังเทียม เนื่องจากหลังจากการจัดสร้างแล้ว 1-2 ปี จะมีความหลากหลายทางชีวภาพภาพมาก การติดตามด้านทรัพยากรสัตว์น้ำจึงเป็นเรื่องทางวิชาการ ที่ต้องอาศัยบุคลากรที่เชี่ยวชาญ , วัสดุอุปกรณ์ , เรือสำรวจ เป็นต้น
แนวทางแก้ไข
สนับสนุนงบดำเนินการ หรือ ขอรับการสนับสนุนทางวิชาการจากส่วนกลาง หรือในทางกลับกัน การติดตามผลภายหลังจากการจัดสร้าง อาจไม่จำเป็นต้องกระทำทุกปี เนื่องจาก ผลการศึกษาทางวิชาการของกรมประมงซึ่งริเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ พ.ศ.2521 - ปัจจุบัน ได้ศึกษาผลกระทบทั้งทางบวก และลบมาค่อนข้างมากแล้ว ซึ่งพอจะสรุปได้ว่าปะการังเทียมเกิดประโยชน์ต่อระบบนิเวศบริเวณชายฝั่งทะเล ผลดีทางเศรษฐกิจและสังคม และปัจจุบันก็เป็นที่ยอมรับของผู้ประกอบอาชีพการประมงทั้งระบบอยู่แล้ว
ข้อเสนอแนะเพื่อพัฒนาการดำเนินงานครั้งต่อไป
การจัดสร้างปะการังเทียม เปรียบเสมือนดาบสองคม เพราะ
“ถ้าเกิดการผิดพลาดของการบริหารการใช้ทรัพยากรสัตว์ทะเล ในบริเวณพื้นที่จัดสร้าง
แหล่งอาศัยสัตว์ทะเลแล้ว จะเป็นวิธีการช่วยสนับสนุน และส่งเสริมให้เกิดสภาวะทรัพยากรสัตว์น้ำทรุดโทรม
ลงอย่างใหญ่หลวง”
ซึ่งหากมองถึงความสูญเสียที่จะเกิดขึ้นในโอกาสต่อไป จึงขอเสนอแนะให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในเรื่องการควบคุม ป้องกันปราบปรามเครื่องมือทำการประมงที่ผิดกฎหมายเข้ามาทำการประมงในบริเวณที่จัดสร้างปะการังเทียม โดยเฉพาะการพิจารณาหา
แนวทางแก้ไขปัญหาดังกล่าวด้วยการออกกฎหมายหรือใช้กฎหมายเดิม
ที่มีอยู่ คือ มาตรา 32 หรือมาตรา 16 ที่อยู่ในอำนาจของผู้ว่าราชการจังหวัด โดยความเห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ห้ามทำการประมงด้วยเครื่องมือและวิธีการดังกล่าวในบริเวณ
แหล่งอาศัยสัตว์ทะเล (ปะการังเทียม) ทุกแห่งที่ได้ดำเนินการไปแล้ว
และพิจารณาประเด็นที่ว่า เมื่อฟื้นฟูให้ทรัพยากรประมงอุดมสมบูรณ์ได้แล้ว จะรักษาไว้ให้ยาวนานได้อย่างไร ความพยามในการรักษาทรัพยากรที่ฟื้นฟูได้แล้วนี้ ให้ใช้ประโยชน์ได้ยั่งยืน ต้องมีการศึกษา วิเคราะห์ วิจัย หาวิธีการจัดการประมงชายฝั่งที่เหมาะสมกับสภาพการเปลี่ยนแปลง และปัญหาประมงชายฝั่ง ซึ่งจะต้องดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ ต้องสอดคล้องกับกระแสการทำการประมงอย่างยั่งยืน มีจรรยาบรรณในการทำการประมงอย่างรับผิดชอบ การมี
ส่วนร่วมของชุมชน ตลอดจนน้อมนำแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นหนทางในการดูแลรักษา และหาข้อมูลประกอบการวางนโยบายบริหารจัดการแหล่งอาศัยสัตว์ทะเล ตลอดจนถ่ายทอดความรู้ในการใช้ประโยชน์จากแหล่งอาศัยสัตว์ทะเล ให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการประมงได้ทราบ เพื่อให้ทรัพยากรประมงมีใช้
อย่างยั่งยืนต่อไป
4.ชื่อโครงการ อนุรักษ์และฟื้นฟูสภาพป่าบริเวณป่าสงวนแห่งชาติป่ากุยบุรี
พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวต่อการอนุรักษ์ช้างป่าและฟื้นฟูป่ากุยบุรี
เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2540 ณ พระราชวังไกลกังวล อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ “...ให้ดำเนินการอนุรักษ์และฟื้นฟูสภาพป่าบริเวณป่าสงวนแห่งชาติป่ากุยบุรีโดยใช้รูปแบบในการฟื้นฟูเช่นเดียวกับการดำเนินงานโครงการศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยทรายอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดเพชรบุรี และโครงการฟื้นฟูที่ดินเสื่อมโทรมเขาชะงุ้มอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดราชบุรี...”
พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2542 ต่อการจัดการสถานการณ์ระหว่างคนกับช้างป่า
ทุกหน่วยงานน้อมนำพระราชดำรัสสู่ยุทธศาสตร์การอนุรักษ์ช้างป่ากุยบุรี
ที่ตั้งของโครงการ พื้นที่ลุ่มน้ำกุยบุรี อุทยานแห่งชาติกุยบุรี และป่าสงวนแห่งชาติป่ากุยบุรี
วัตถุประสงค์ของโครงการ
เพื่อสนองพระราชปณิธานอันแน่วแน่ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในอันที่จะอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งทรัพยากรป่าไม้และทรัพยากรสัตว์ป่า ให้สามารถเอื้ออำนวยประโยชน์ต่อปวงชนชาวไทยอย่างยั่งยืนสืบไป
เพื่อให้มีการใช้ประโยชน์ทรัพยากรธรรมชาติควบคู่ไปกับการฟื้นฟูบูรณะให้ทรัพยากรธรรมชาติมีความอุดมสมบรูณ์ รวมทั้งควบคุมรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมให้สามารถสนับสนุนการพัฒนาทางเศรษฐกิจและคุณภาพของราษฎรในพื้นที่โครงการแบบ “พออยู่ พอกิน” เพื่อการ “พึ่งตนเอง” ขณะเดียวกับที่ปูพื้นฐานไว้สำหรับความ “อยู่ดี กินดี” ตามแนวพระราชดำริได้อย่างยั่งยืน
เพื่อให้การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพเกิดความสมดุลทั้งในด้านระบบนิเวศและสภาพแวดล้อมและการพัฒนา โดยใช้การร่วมมือจากหลายฝ่าย โดยให้ประชาชนและชุมชนในท้องถิ่นมีส่วนร่วมมากขึ้น ในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและดูแลรักษาสภาวะแวดล้อมในท้องถิ่นของตนเอง รวมทั้งสร้างจิตสำนึกให้ราษฎรมีความรักและหวงแหนทรัพยากรป่าไม้และสัตว์ป่า ด้วยการสนับสนุนจากภาครัฐ นักวิชาการ องค์กรพัฒนาเอกชน และองค์กรธุรกิจแบบ “บูรณาการ”
เพื่อแก้ปัญหาข้อพิพาทระหว่างคนและช้างอย่างยั่งยืนตลอดไป
เพื่อเป็นการเผยแพร่ผลการศึกษาทดลองตามแนวพระราชดำริที่ประสบผลสำเร็จมาใช้เป็นแนวทางในการดำเนินงานโครงการต่อไป
ระยะเวลาดำเนินโครงการ
ระยะที่ 1 (พ.ศ. 2542 – 2544) พื้นที่ดำเนินการประมาณ 108,891 ไร่ ครอบคลุมพื้นที่ชุมชนเฉพาะหมู่บ้านรวมไทย
ระยะที่ 2 (พ.ศ. 2545 – ปัจจุบัน) พื้นที่ดำเนินการประมาณ 127,487 ไร่ ครอบคลุมพื้นที่ชุมชนถึงหมู่บ้านย่านซื่อ และบ้านพุบอน
รายละเอียดโครงการ
ความเป็นมา
สืบเนื่องจากปัญหาวิกฤตการณ์ด้านทรัพยากรป่าไม้และสัตว์ป่าได้ประสบกับปัญหาความเสื่อมโทรม ซึ่งนับวันได้ทวีความรุนแรงเรื่อยๆ สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากความต้องการที่ดินทำกินและความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของราษฎรที่ได้บุกรุกทำลายพื้นที่ป่าไม้เพื่อทำการเกษตร ตลอดจนการล่าสัตว์ป่าเพื่อเป็นอาหาร ป่าสงวนแห่งชาติป่ากุยบุรี ในเขตพื้นที่อำเภอกุยบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เนื้อที่ประมาณ 569,875 ไร่ ซึ่งเดิมมีสภาพพื้นที่เป็นป่าที่อุดมสมบรูณ์ มีป่าไม้และสัตว์ป่าหายากรวมทั้งเป็นป่าต้นน้ำลำธารของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พื้นที่ป่าบางส่วนได้ประสบปัญหาในลักษณะที่คล้ายคลึงกันกับป่าสงวนอื่นๆ กล่าวคือราษฎรได้เข้าไปบุกรุกพื้นที่ป่ารวมทั้งเช่าพื้นที่ป่าเพื่อปลูกสับปะรด สวนสนประดิพัทธ์ และอื่นๆ ก่อให้เกิดปัญหาคุณภาพของดินและป่าไม้เสื่อมโทรม ส่งผลกระทบต่อแหล่งที่อยู่อาศัยและแหล่งอาหารของสัตว์ป่า
โดยเฉพาะอย่างยิ่งช้างป่า ซึ่งเป็นสัตว์ป่าขนาดใหญ่มีประชากรประมาณ 107 ตัว และมีแหล่งที่อยู่อาศัยใกล้เคียงกับพื้นที่บุกรุกและพื้นที่เช่าของราษฎรดังกล่าว เมื่อแหล่งอาหารในฤดูแล้งลดลง ฝูงช้างป่าดังกล่าว ได้ลงมาบุกรุกพื้นที่ทำกินและกินพืชไร่ จนก่อให้เกิดความเสียหายต่อผลผลิตของราษฎรเป็นประจำเกือบทุกปี จนเกิดข้อพิพาทระหว่างคนกับช้างป่าขึ้น ความรุนแรงของสภาพปัญหาได้ทวีความรุนแรงขึ้นเป็นลำดับ นับตั้งแต่ช่วงต้นปี 2540 เป็นต้นมา ช้างป่าได้ถูกราษฎรทำร้ายจนถึงขั้นบาดเจ็บและเสียชีวิตแล้วหลายตัว
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงตระหนักถึงความสำคัญของป่าผืนดังกล่าว จึงได้พระราชทานพระราชดำรัสเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2540 ณ พระราชวังไกลกังวล อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เพื่อแก้ไขวิกฤตการณ์ดังกล่าว เพื่อที่ช้างป่าจะได้ไม่ออกมารบกวนพื้นที่อื่นๆ ให้เสียหาย ไม่ก่อให้เกิดการกระทบกระทั่งระหว่างคนและช้างป่าอีกต่อไป โดยอาศัยความร่วมมือจากหลายๆ ฝ่ายทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน องค์กรและราษฎรที่อยู่ใกล้เคียงกับพื้นที่ ร่วมกันดำเนินงานให้บรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าวจึงได้เกิด โครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าบริเวณป่าสงวนแห่งชาติป่ากุยบุรีอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ขึ้น
ภาพรวมการดำเนินการ: เป็นโครงการต้นแบบเพื่ออนุรักษ์ช้างป่าอย่างบูรณาการ ภายใต้การมีส่วนร่วมของคนทุกภาคส่วน บนฐานข้อมูลทุกมติทั้งในและต่างประเทศเพื่อสนับสนุนการจัดการระยะยาวอย่างเป็นระบบ เพื่อสนองแนวพระราชดำริช้างป่าควรอยู่ในป่า
วิสัยทัศน์: ช้างป่าสามารถเติบโตและดำรงอยู่ได้อย่างมีความสุขในพื้นที่ป่าอุทยานแห่งชาติกุยบุรี และต่อเนื่องถึงพื้นที่ป่าทางตอนใต้ของอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานโดยปราศจากภัยคุกคามภายใต้การจัดการการอยู่ร่วมกันระหว่างคนกับสัตว์ป่า
กรอบแนวคิดการพัฒนาการดำเนินงาน บริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติในระดับลุ่มน้ำอย่างเป็นระบบ ให้มีการประสานนโยบายและการจัดการการใช้ประโยชน์ที่ดินให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันและเหมาะสมศักยภาพของพื้นที่โดยเน้นการจัดทำเขตการใช้ประโยชน์ที่ดิน การกำหนดและวางเขตนิเวศท้องถิ่น
โดยมีการกำหนดการแบ่งเขตการจัดการ (และแสดงในแผนที่ด้านบน) และขนาดพื้นที่ตามตาราง ดังนี้
1.เขตอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (C)
1.1 พื้นที่คุ้มครองป้องกันทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (C1)
2.เขตฟื้นฟูสภาพป่าตามแนวพระราชดำริ (E)
2.1 พื้นที่ฟื้นฟูป่าธรรมชาติ (E1)
2.2 พื้นที่ป่ากันชน (E2)
3. เขตพัฒนาเกษตรกรรม (A)
3.1 พื้นที่พัฒนาระบบเกษตรผสมผสาน (A1)
3.2 พื้นที่พัฒนาการปศุสัตว์ (A2)
3.3 พื้นที่พัฒนาการประมง (A3)
4. เขตพัฒนาคุณภาพชีวิต (QL)
5. เขตพัฒนาอื่นๆ (D)
ผลการดำเนินงาน
การดำเนินงานระยะที่ 1 ตามแผนงาน ปี พ.ศ. 2542 – 2544 ได้รับความสำเร็จอย่างดียิ่งในการฟื้นฟูป่าในพื้นที่เป้าหมายจำนวน 18,675 ไร่ โดยโครงการฟื้นฟูและอนุรักษ์สภาพป่าบริเวณป่าสงวนแห่งชาติป่ากุยบุรี สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3 (บ้านโป่ง) กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และสร้างแหล่งน้ำอ่างเก็บน้ำขนาดเล็กสำหรับช้างป่า จำนวน 11 แห่ง โดยโครงการชลประทานจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ สำนักชลประทานที่ 14 กรมชลประทาน โดยผลการฟื้นฟูสภาพป่า ได้ใช้ภาพถ่ายดาวเทียมแสดงการปกคลุมของป่าไม้เป็นตัวชี้วัด ดังภาพต่อไปนี้
การดำเนินงานระยะที่ 2 ตามแผนงาน ปี พ.ศ. 2545 – ปัจจุบัน
การดำเนินงานระยะที่ 2 โดยโครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูสภาพป่าบริเวณป่าสงวนแห่งชาติป่ากุยบุรีอันเนื่องยังดำเนินการฟื้นฟูป่าและปลูกต้นไม้ซ่อมแซม ภายใต้แนวทางที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทานไว้อย่างต่อเนื่อง อาทิ ภูเขาป่า ปลูกป่าบนที่สูง ฝายชะลอความชุ่มชื้น ไฟป่าเปียก ปลูกป่าโดยไม่ต้องปลูก เพิ่มแหล่งอาหารให้นกและสัตว์ป่า และปลูกป่า 3 อย่าง ได้ประโยชน์ 4 อย่าง เป็นต้น
นอกจากนี้ ตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2548 อุทยานแห่งชาติกุยบุรี มีนโยบายต่อเนื่องในความพยายามทุกวิถีทางที่จะคลี่คลายปัญหาความขัดแย้งระหว่างคนกับช้างป่า ภายใต้การจัดการแบบมีส่วนร่วมของชุมชนท้องถิ่น โดยได้รับการสนับสนุนความร่วมมือจากองค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล สำนักงานประเทศไทย หรือ WWF ประเทศไทย ในการวางแผนจัดการประชากรช้างป่า บนพื้นฐานข้อมูลที่เป็นจริงและข้อมูลมีความน่าเชื่อถือในทางวิทยาศาสตร์ โดยให้ความสำคัญต่อกระบวนการวางแผนจัดการเพื่อแก้ปัญหาระยะยาว ภายใต้การมีส่วนร่วมของเจ้าหน้าที่อุทยานฯ ชุมชนท้องถิ่น และหน่วยงานภาครัฐระดับพื้นที่ เพื่อสนองแนวพระราชดำริช้างป่าควรอยู่ในป่า พร้อมทั้งน้อมนำแนวพระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ได้พระราชทานเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2542 มากำหนดเป็นยุทธศาสตร์การจัดการสถานการณ์ระหว่างคนกับช้างป่าอุทยานแห่งชาติกุยบุรี โดยอุทยานแห่งชาติกุยบุรี และ WWF ประเทศไทย ได้ดำเนินงานร่วมกันมาอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน และได้รับการสนับสนุนและประสานความร่วมมืออย่างดียิ่งจากหน่วยงานภาครัฐ และชุมชนในพื้นที่ ได้แก่ ผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ นายอำเภอกุยบุรี ชุดประสานงานโครงการพระราชดำริฯ บ้านรวมไทย (ร.11 พัน.3 รอ.) โครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูสภาพป่าบริเวณป่าสงวนแห่งชาติป่ากุยบุรีอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ชุดเฉพาะกิจจงอางศึก กองกำลังสุรสีห์ กองร้อยตำรวจตระเวนชายแดนที่ 145 สถานีพัฒนาพืชอาหารสัตว์บ้านรวมไทย สถานีพัฒนาการจัดการอุทยานแห่งชาติทางบก จังหวัดเพชรบุรี ผู้นำชุมชนและชุมชนท้องถิ่นบ้านรวมไทย บ้านย่านซื่อ และบ้านพุบอน ตำบลหาดขาม และองค์การบริหารส่วนตำบลหาดขาม อำเภอกุยบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โดยมีผลการดำเนินงานสรุป ดังต่อไปนี้
1.สร้างความเข้าใจต่อผู้นำและชุมชนท้องถิ่นบ้านรวมไทย บ้านย่านซื่อ และบ้านพุบอนต่อการอนุรักษ์ช้างป่า และทรัพยากรป่าไม้
2.ประสานความร่วมมือและสร้างความเข้าใจต่อหน่วยงานราชการในระดับพื้นที่ ที่เกี่ยวข้องกับการอนุรักษ์ช้างป่า และทรัพยากรป่าไม้
3.ศึกษาข้อมูลระดับพื้นที่ในทุกประเด็น เพื่อเป็นข้อมูลสนับสนุนการจัดทำแผนการจัดการประชากรช้างป่าอุทยานแห่งชาติกุยบุรีด้วยกระบวนการมีส่วนร่วมปี พ.ศ. 2548 – 2549
4.จัดทำแผนการจัดการประชากรช้างป่าอุทยานแห่งชาติกุยบุรีด้วยกระบวนการมีส่วนร่วมปี พ.ศ. 2548 – 2549
5.คำสั่งอุทยานแห่งชาติกุยบุรี เมษายน 2552 แต่งตั้งเจ้าหน้าที่รับผิดชอบ ดำเนินการ สนับสนุน และประสานความร่วมมือชุมชน และหน่วยงานราชการในการอนุรักษ์ช้างป่า
6.สำรวจพื้นที่เกษตรกรรมติดแนวเขตอุทยานฯ และจัดทำฐานข้อมูลการเฝ้าระวังช้างป่า และติดตามสถานการณ์ช้างป่าออกมาหากินในพื้นที่เกษตรกรรม
7.จัดทำบันทึกข้อตกลงในการเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์ช้างป่าระหว่างอุทยานแห่งชาติกุยบุรี กับเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากช้างป่าออกหากินในพื้นที่เกษตรกรรม เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2552
8.วางระบบการเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์ช้างป่าออกมาหากินในพื้นที่เกษตรกรรม
9.ปรับปรุงแหล่งอาหารสัตว์ป่าและที่อยู่อาศัยสัตว์ป่า เพื่อดึงดูดใจให้ช้างอาศัยอยู่ในป่า โดยจัดทำแปลงหญ้าอาหารสัตว์ และบำรุงรักษาประจำปี โดยถึงปี พ.ศ. 2554 มีแปลงหญ้ากระจายทั่วพื้นที่จำนวน 10 แปลง คิดเป็นพื้นที่ 1100 ไร่
10.จัดทำและบำรุงรักษาโป่งเทียมและฝายชะลอความชุ่มชื้น ในพื้นที่ปรับปรุงแหล่งอาหารสัตว์ป่า ภายในพื้นที่โครงการฯ
11.การทำงานเชิงรุก โดยการนำผลที่ได้รับจากงานปรับปรุงแหล่งอาหารและที่อยู่อาศัยสัตว์ป่า มาเป็นข้อมูลในการส่งข่าวในรูปแบบข้อความสั้น SMS ไปยังเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบในระบบฐานข้อมูลที่มี รวมถึงส่งข่าวไปยังผู้บริหารและหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เพื่อรับทราบสถานการณ์ร่วมกัน
12.การทำงานเชิงรุก ในการสำรวจการเคลื่อนย้ายหากินของช้างป่า และลาดตระเวนร่วมเพื่อป้องกัน
การล่าสัตว์ป่า โดยมีความร่วมมือระหว่างอุทยานแห่งชาติกุยบุรี ชุดเฉพาะกิจจงอางศึก กองกำลังสุรสีห์ ชุดประสานงานโครงการพระราชดำริบ้านรวมไทย (ร.11 พัน.3 รอ.) กองร้อยตำรวจตระเวนชายแดนที่ 145 และ WWF ประเทศไทย
13.สนับสนุนชุมชนท้องถิ่นในเรื่องการส่งเสริมการท่องเที่ยวชมสัตว์ป่าในพื้นที่โครงการฯ ซึ่งเป็นการสร้างรายได้เสริมให้
14.มติเห็นชอบร่วมกันภายใต้การสนับสนุนจากผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และนายอำเภอกุยบุรี ในความพยายามเพื่อต่อต้านการล่าสัตว์ป่าและตัดไม้ทำลายป่าในพื้นที่โครงการฯ รวมถึงพื้นที่อุทยานแห่งชาติกุยบุรี และพื้นที่ป่าธรรมชาติบริเวณรอยต่อระหว่างอุทยานแห่งชาติกุยบุรี และอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน โดยมี อุทยานแห่งชาติกุยบุรี WWF ประเทศไทย ชุดเฉพาะกิจจงอางศึก กองกำลังสุรสีห์ ชุดประสานงานโครงการพระราชดำริบ้านรวมไทย (ร.11 พัน.3 รอ.) และกองร้อยตำรวจตระเวนชายแดนที่ 145 เป็นหน่วยงานปฏิบัติในพื้นที่
ผลสำเร็จการดำเนินงานในภาพรวมตามแผนระยะที่ 1 และ 2
ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2549 – ปัจจุบัน ไม่มีชาวบ้านและช้างป่าตายหรือได้รับบาดเจ็บ จากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างคนกับช้างป่า
จำนวนช้างป่าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในพื้นที่โครงการพระราชดำริฯ โดยมีจำนวนเพิ่ม 15 เปอร์เซ็นต์โดยเปรียบเทียบฐานข้อมูลปี พ.ศ. 2552 จำนวนช้าง 200 ตัว และปี พ.ศ. 2553 จำนวนช้าง 230 ตัว (มัทนา, 2553)
จำนวนครั้งที่ช้างป่าออกไปหากินและทำลายพืชผลในพื้นที่เกษตรกรรมลดลง 31.52 เปอร์เซ็นต์ โดยเปรียบเทียบฐานข้อมูลเดือนเมษายน ถึง ธันวาคม ปี พ.ศ. 2552 (165 ครั้ง) และปี พ.ศ. 2553 (113 ครั้ง) ทั้งฐานข้อมูลในปี พ.ศ. 2548 พบช้างป่าออกไปหากินในพื้นที่เกษตรกรรมสูงถึง 332 ครั้ง (หมายเหตุ เริ่มวางระบบติดตามข้อมูลเต็มรูปแบบในเดือนเมษายน พ.ศ. 2552)
พบเสือโคร่ง สัตว์ป่าหายากมีสถานภาพใกล้สูญพันธุ์ของโลกออกมาหากินในพื้นที่โครงกาพระราชดำริ ในแปลงปรับปรุงแหล่งอาหารสัตว์ป่า K6 โดยนายสุชิน วงค์สุวรรณ หัวหน้างานปรับปรุงแหล่งอาหารสัตว์ป่าและเฝ้าระวังช้างป่า อุทยานแห่งชาติกุยบุรี บันทึกภาพได้ เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2552
พบวัวแดง สัตว์ป่าหายากมีสถานภาพใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่งของโลกออกมาหากินในพื้นที่โครงการพระราชดำริในแปลงปรับปรุงแหล่งอาหารสัตว์ป่า K1 โดยนายสุชิน วงค์สุวรรณ หัวหน้างานปรับปรุงแหล่งอาหารสัตว์ป่าและเฝ้าระวังช้างป่า อุทยานแห่งชาติกุยบุรี โดยบันทึกภาพได้ครั้งแรก เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2553
พบรอยตีนสมเสร็จ สัตวป่าสงวนของประเทศไทย และสัตว์ป่าหายากมีสถานภาพใกล้สูญพันธุ์ของโลกออกมาหากินในพื้นที่โครงการพระราชดำริในแปลงปรับปรุงแหล่งอาหารสัตว์ป่า K5 โดยนายสุชิน วงค์สุวรรณ หัวหน้างานปรับปรุงแหล่งอาหารสัตว์ป่าและเฝ้าระวังช้างป่า อุทยานแห่งชาติกุยบุรี โดยบันทึกภาพรอยตีนได้เป็นครั้งแรก ได้เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2553
เกิดความร่วมมืออย่างดียิ่งระหว่างชุมชนท้องถิ่น หน่วยงานภาครัฐและเอกชนในการอนุรักษ์ช้างป่าฯ โดยที่ทุกฝ่ายยอมรับร่วมกันต่อเป้าหมายการดำเนินงานอนุรักษ์ช้างป่าโดยเฉพาะการลงนามในบันทึกข้อตกลงร่วมกันต่อการสนับสนุนการเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์ ระหว่างคนกับช้างป่า โดยมีเกษตรกร 150 รายลงนาม ร่วมกับหัวหน้าอุทยานแห่งชาติกุยบุรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเขต 1 จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และรองนายกองค์การบริหารส่วนตำบลหาดขาม ผู้แทนนายกอบต.หาดขาม พร้อมด้วยผู้แทนหน่วยงานภาครัฐกว่า 50 ราย ร่วมเป็นสักขีพยาน
สามารถพบเห็นช้างป่า กระทิง รวมถึงสัตว์ป่าอื่นๆ ได้ง่ายในพื้นที่โครงการ และส่งผลให้เกิดกิจกรรมการท่องเที่ยวชมช้างป่าในพื้นที่โดยชุมชนท้องถิ่นมีส่วนร่วม และได้รับผลประโยชน์จากกิจกรรมภายใต้การสนับสนุนและส่งเสริมโดยอุทยานแห่งชาติกุยบุรี อำเภอกุยบุรี และจังหวัดประจวบคีรีขันธ์
สมาชิกวุฒิสภาจังหวัดเพชรบุรี ศึกษาดูงานและนำรูปแบบการจัดการเพื่ออนุรักษ์ช้างป่าไปประยุกต์ดำเนินการในพื้นที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาอ่างฤาไน จังหวัดฉะเชิงเทรา
ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติเวย์แคมปัส ประเทศอินโดนีเซีย ศึกษาดูงานการจัดการสถานการณ์ระหว่างคนกับช้างป่า และนำเทคนิคดำเนินการไปประยุกต์ในการจัดการที่ประเทศอินโดนีเซีย
เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติจิตวัน พื้นที่มรดกโลกทางธรรมชาติ ประเทศเนปาล และเจ้าหน้าที่ WWF เนปาล ศึกษาดูงานการปรับปรุงแหล่งอาหารสัตว์ป่า โดยนำเทคนิคดำเนินการในพื้นที่โครงการพระราชดำริฯ ไปดำเนินการที่อุทยานแห่งชาติจิตวัน เพื่อจัดการพืชต่างถิ่นได้แก่ Migenia ซึ่งเป็นกำลังเป็นปัญหาใหญ่ที่รุกรานระบบนิเวศอันเป็นถิ่นอาศัยและแหล่งหากินของแรดอินเดียและสัตว์ป่าอื่นๆ ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติจิตวัน
ผู้อำนวยการอุทยานแห่งชาติราจาจิ ประเทศอินเดีย พื้นที่อนุรักษ์ในรัฐอุตราคาน ซึ่งเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของช้างป่าที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศอินเดีย ศึกษาดูงานการปรับปรุงแหล่งอาหารสัตว์ป่า โดยนำเทคนิคการทำโป่งเทียม ทำฝายชะลอความชุ่มชื้น และปลูกต้นไม้โดยการยิงเมล็ด ไปประยุกต์เพื่อดำเนินการในพื้นที่อุทยานแห่งชาติราจาจิ
สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ ๖ (สาขาปัตตานี) โดยผู้อำนวยการสำนักฯ นำข้าราชการ เจ้าหน้าที่และผู้แทนชุมชนในพื้นที่ศึกษาดูงานการจัดการสถานการณ์ระหว่างคนกับช้างป่า และนำเทคนิคดำเนินงานโครงการไปพัฒนาประยุกต์ใช้ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติบางลาง จังหวัดยะลา และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าบาลา-ฮารา จังหวัดนราธิวาส
นายอำเภอแกลง จังหวัดระยอง นำเข้าเจ้าหน้าทีอุทยานแห่งชาติเขาชะเมา-เขาวง และเจ้าหน้าที่ปกครอง และองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ ศึกษาดูงานการจัดการช้างป่าและนำไปประยุกต์ใช้ในพื้นที่