ชุดไทคอนสาร หรือชุดตรุษไทย นิยมสวมใส่ในงานประเพณีบุญเดือนสาม และประเพณีบุญเดือนสี่ (เทศกาลตรุษไทย)
สวยงาม เรียบง่าย บ่งบอกถึงเอกลักษณ์และวิถีแห่งไทคอนสาร
สุภาพสตรี : สวมเสื้อไหมสีดอกหมาก นุ่งซิ่นควบสีแดง ห่มสไบเฉียง
สุภาพบุรุษ : สวมเสื้อตกแต่งด้วยลายขิดดอกแก้ว นุ่งโสร่ง ผ้าขาวม้าคาดเอว
การทอผ้า
การทอผ้านั้นต้องอาศัยฝีมือและความรู้ความชำนาญของผู้ทอเป็นอย่างมาก เป็นงานศิลปะที่มีอยู่เพียงชิ้นเดียวในโลก เพราะแต่ละคนที่ทำแต่ละขั้นตอน จะมีความแตกต่างกัน เส้นไหมที่สาวได้แต่ละช่วงเวลาหรือแต่ละระยะของฝักไหมให้ความหนาของเส้นไม่เท่ากัน สีไม่เหมือนกัน นอกจากนั้นแล้วความสามารถในการทอ การสอดกระสวย ความแรงในการตีกระทบหรือการฟัดทำให้ได้สีเข้มอ่อนต่างกัน การเรียงเส้นไหมให้ตรงลายจะแสดงถึงความคมชัดและความชำนาญของผู้ทอแต่ละคน อากาศ อุณหภูมิ หรือแม้แต่อารมณ์ความรู้สึกของผู้ทอ สิ่งเหล่านี้มีผลกับความสวยงามของผ้าผืนนั้น ๆ จึงทำให้ผ้าทอมือแต่ละผืนที่ทอ มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองและมีเพียงผืนเดียวในโลกเท่านั้น
กี่พื้นบ้าน เป็นเครื่องมือสำหรับการทอผ้าไหม เพราะในระหว่างทอจะต้องมีการเรียงจับลายของเส้นพุ่งอยู่ตลอดเวลา อุปกรณ์สำหรับทอผ้าไว้ โดยมีรายละเอียดดังนี้
1.โครงหูกหรือโครงกี่ ประกอบด้วยเสา 4 ต้น มีรางหูกหรือรางกี่ 4 ด้าน ทั้งด้านบนและด้านล่าง เสาแต่ละด้ายมีไม้ยึดติดกันเป็นแบบดั้งเดิมที่ยินมใช้กันมาตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน
2.ฟืม หรือ ฟันหวี มีฟันเป็นซี่ คล้ายหวี ใช้สำหรับสอดเส้นไหมยืนเพื่อจัดเส้นไหมให้อยู่ห่างกัน และใช้กระทบไหมเส้นพุ่งให้สานขัดกับไหมเส้นยืนที่อัดแน่นเป็นเนื้อผ้า ฟันฟืมอาจจะทำด้วยไม้ หรือเหล็ก หรือสแตนเลสก็ได้ มีหลายขนาด ขึ้นกับว่าผู้ใช้จะต้องการผ้ากว้างขนาดเท่าใด เช่น ฟืมอาจมี 35-50 หลบ หรือมากกว่านี้ แต่ละหลบมี 40 ช่องฟัน แต่ละช่องจะสอดเส้นไหมยืน 2 เส้น ดังนั้นการทอผ้าครั้งหนึ่ง ๆ อาจจะใช้เส้นไหมยืนประมาณ 2800-4000 เส้น ชาวบ้านสมพรรัตน์จะนิยมใช้ฟืม 50 หรือ 60
ความเป็นมา
เมื่อปี พ .ศ . 2520 ราว ๆ เดือนกุมภาพันธ์ - มีนาคม พระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และพระนางเจ้าสิริกิติ พระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จแปรพระราชฐานมาประทับแรมที่วังบางปะอินทั้งสองพระองค์ทรงห่วงใยในเรื่องทุกข์สุขของราษฎรโดยเฉพาะชาวพระนครศรีอยุธยา ซึ่งได้รับภัยจากน้ำท่วม ข้าวปลาเสียหายเกือบทุกปีติดต่อกันชาวอำเภอมหาราชประสบเคราะห์กรรมมากกว่าอำเภออื่น ๆ ทั้งหมดในจังหวัดเดียวกัน เพราะ ตั้งอยู่ในที่ลุ่ม พอถึงฤดูน้ำหลากข้าวในนาทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำลพบุรีจะจมน้ำมองไม่เห็นข้าวเลยเห็นแต่น้ำขาวไปหมด
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถได้รับสั่งให้ข้าราชการในสำนักออกตระเวนไปในท้องที่ต่างๆทุกตำบลและทุกอำเภอในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพื่อสอบถามทุกข์สุขของราษฎรจึงมาพบตำบลน้ำเต้า ประชาชนยากจนมาก จึงโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้องคมนตรี ผู้ว่าราชการจังหวัด หัวหน้าส่วนราชการ เช่น พัฒนากร กลุ่มสนใจหลายกลุ่ม เช่น กลุ่มเกษตร กลุ่มประมง กลุ่มทอผ้า ฯลฯกลุ่มทอผ้าที่ตั้งขึ้นนั้น ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ พระราชทานทั้ง กี่ สี เส้นด้าย และอุปกรณ์การย้อมทอทุกอย่าง โดยมีครูจากกองอุตสาหกรรมสิ่งทอ กระทรวงอุตสาหกรรมเป็นผู้อบรม และนางสนองพระโอษฐ์เป็นผู้ดูแลโครงการกลุ่ม ทอผ้า วัดน้ำเต้าก็ได้ตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ . 2519 มีชื่อเรียกว่า “ โครงการทอผ้าในพระบรมราชินูปถัมภ์วัดน้ำเต้า ”ในการทอผ้านั้น อุปกรณ์ทุกอย่างล้วนแต่เป็นของพระราชทานทั้งสิ้น เมื่อ ทอผ้าได้แล้วสมเด็จ ฯ พระบรมราชินีทรงพระกรุณารับซื้อทั้งสิ้น ถึงแม้จะมีตำหนิ ผ้าที่ทอนั้น มีผ้าขาวม้า ผ้าริ้ว ผ้าชิ้น และผ้าลายดอกจอก หรือที่เรียกว่าผ้าดอกจอกลายดอกจอก เป็นศิลปลวดลายแบบไทยที่คิดขึ้นมาจากการเลียนแบบธรรมชาติมีทั้งลวดลายพรรณพฤกษา และลวดลายสัตว์ ลายพรรณพฤกษานั้น มีลายเครือเถา ลายก้านขด ลายดอกไม้ ใบไม้ เช่น ดอกชัยพฤกษ์ ดอกจอก เป็นต้น ลายดอกจอกนี้มีปรากฏอยู่เป็นลายเครื่องปั้นดินเผาสังคโลก สมัยสุโขทัย ลายเหล่านี้ก็ได้มีอิทธิพลต่อการทอผ้าไทยด้วย ลายดอกจอกจึงนับว่าเป็นลายโบราณที่สมควรได้รับการอนุรักษ์เป็นอย่างยิ่งประธานกลุ่มทอผ้าวัดน้ำเต้าคนปัจจุบันคือนางพยับ บุญเหลือ ได้เล่าว่า นางทับ อภิวันท์ ชาวบ้านน้ำเต้าซึ่งตอนนี้ได้ถึงแก่กรรมแล้ว เป็นคนแรกที่ได้ ทอผ้าลายดอกจอก นำขึ้นทูลเกล้า ฯ ถวายให้ทอดพระเนตร และสมเด็จพระนางเจ้าฯ ทรงมีมีพระราชเสาวนีย์ให้อนุรักษ์ผ้าดอกจอกไว้ที่วัดน้ำเต้าอำเภอมหาราชนี้เป็น แห่งเดียว การทอผ้าดอกจอกนั้นใช้วิธีการการทอแบบ 7 ตะกอเพื่อทำให้เกิดลวดลายเหลี่ยมนูนคล้ายขนมดอกจอกบนผืนผ้า ลายจะมีลักษณะเนื้อหนา มีลวดลายโดดเด่นมีชายครุยที่สวยงาม ผู้ทอต้องมีประสบการณ์และมีความชำนาญในการเก็บตะกอและ คัดดอกระหว่างทอ ในอดีตชาวบ้านนิยมทอผ้าดอกจอกขึ้นเพื่อใช้นุ่งห่มในชีวิตประจำวัน เช่น ผ้าซิ่น ผ้าขาวม้า และผ้าขนหนู บัดนี้ผ้าดอกจอกได้พัฒนารูปแบบและลวดลายให้มีลายละเอียดสวยงามขึ้น และนำไปดัดแปลงใช้ให้เกิดประโยชน์ในการดำเนินชีวิตในปัจจุบันนำไปทำเป็นผ้าห่ม ผ้าคลุมเตียง ผ้าขนหนู ผ้าเช็ดตัว ผ้าปูโต๊ะ ผ้าคลุมไหล่ออกงาน ตัดเย็บเป็นเสื้อคลุมสวยงาม สีที่ได้รับความนิยมมีสีครีม ขาว เหลือง ชมพู ฟ้า ผลิตภัณฑ์ผ้าดอกจอกนี้หาซื้อได้ที่ร้านจิตรลดาทั่วประเทศ
จากชาวบ้านที่ยากไร้ไม่มีโอกาสได้รับการศึกษา ไม่มีอาชีพที่มั่นคง แต่ด้วยพระบารมีแห่งองค์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต์พระบรมราชินีนาถกลุ่มทอผ้าของบ้านน้ำเต้า ได้มีอาชีพที่มั่นคง ขอเพียงแต่ให้มีความมานะพยายาม อดทนซื่อสัตย์ สุจริต และจงรักภักดี เป็นการช่วยเหลือชาวบ้านให้มีอาชีพมีรายได้ก็จะประสบความสงบสุขร่มเย็น เป็นเอกลักษณ์ของหมู่บ้าน และความภาคภูมิใจของชาวบ้านน้ำเต้า อำเภอมหาราช จังหวัดพระนครศรีอยุธยาตลอดไป
การทอผ้านับเป็นหัตถกรรมอย่างหนึ่งที่ทำสืบต่อกันมาเป็นเวลานาน ตั้งแต่ก่อนสมัยสุโขทัย เป็นราชธานี สันนิษฐานจากประวัติศาสตร์ไทยได้กล่าวไว้ จากหลักฐานการแต่งกายของพระมหากษัตริย์ เจ้านาย ข้าราฃการ คหบดี ในสมัยนั้นและ ได้กล่าวไว้เกี่ยวกับเรื่องการส่งส่วย มักกล่าวว่า "ส่งผ้าทอเป็นมัด น้ำผึ้ง ไม้หอม" และอื่น ๆ เป็นเครื่องราชบรรณาการ การทอผ้านับว่าเป็นศิลปะอย่างหนึ่งที่ผู้เป็นช่างทอจะต้องมีความสามารถในการใช้สีของเส้นด้ายประกอบกันให้เกิดความสวยงามเหมาะสม และการแต่งแต้มสีทำให้เกิดลวดลาย การย้อม โดยเฉพาะผ้าที่เรียกว่า "ผ้ามัดหมี่" หากผู้ใดได้จับชมแล้วยากที่จะวางลงได้
การทอผ้านับเป็นสถาปัตยกรรมอีกด้วย เพราะช่างทอผ้าต้องออกเบบลายผ้าของตนเองขึ้นมา โดยการนำลักษณะต่าง ๆ ของธรรมชาติเช่น ดอกไม้ ดาว เดือน สัตว์ของใช้ มาคิดประดิษฐ์ประดอยเป็นลายผ้า จนมีชื่อเรียกตามลักษณะของสิ่งเหล่านั้น เช่น ดอกแก้ว บ่าง กระเบี้ย (ผีเสื้อ) รันร่ม ขอคำเดือน ขิด สำรวจ(จรวด) หงส์ และมีการพัฒนาลายผ้าจากที่คิดให้มีความซับซ้อนสวยงามยิ่งขึ้น เช่น ลายขอซ้อนน้อย(เล็ก) ซ้อนใหญ่ ลายด่านน้อย ด่านกลาง ด่านใหญ่ หงส์น้อย ลายหงส์ใหญ่
การสืบทอด การถ่ายทอด ในสมัยโบราณผู้คนเรียนรู้หนังสือน้อยหรือแทบไม่ได้ศึกษาเล่าเรียนเลย โดยเฉพาะผู้หญิง ซึ่งต้องมีหน้าที่ในงานบ้านเลี้ยงลูก ทำงานทอผ้า เพื่อใช้ในการนุ่งห่มของคนในครอบครัวหลังจากเวลาว่างจากการทำไร่ทำนา อาศัยเวลากลางคืนบ้าง เวลาหยุดพักเพื่อรอคอยการเก็บเกี่ยวผลผลิตบ้าง นับว่าเป็นงานหนักพอสมควรสำหรับหญิงไทย เพราะเมื่อเลิกงานประจำวันแล้วยังต้องมาประกอบอาหารดูแลลูก ๆ และสามีให้รับประทานอาหารจนอิ่มและเข้านอนแล้ว ตนเองก็ยังมิได้พักผ่อนหลับ นอนยังต้องนั่งเก็บฝ้าย (เก็บสิ่งเจือปนออกจากปุยฝ้าย) เข็นฝ้าย ดีดฝ้าย มัดหมี่ เพื่อเตรียมไว้เมื่อว่างเว้นจาการทำงานจริง ๆ แล้วจึงจะทำการทอผ้าการถ่ายทอดเทคโนโลยีต่าง ๆ ในสมัยนั้น ต้องอาศัยความจำจากการปฎิบัติ จึงทำให้เกิดความชำนาญ ไม่มีการบันทึกเป็นภาพหรือลายลักษณ์อักษรแต่อย่างใด ถ่ายทอดจากแม่สู่ลูก หรือเครือญาติใกล้ชิด จึงเปรียบเสมือนเป็นการสืบสายเลือดเลยก็ว่าได้การทอผ้าแต่โบราณจะใช้ไยไหม และใยฝ้ายเป็นวัตถุดิบหลักในการทอผ้า เพราะไม่มีเส้นใย สังเคราะห์อื่นใดที่จะมาแทนเส้นใยไหมและฝ้ายได้ดี บางกลุ่มบางสถานที่ได้ นำวัสดุอื่นมาใช้ เช่น ป่าน ใบสับปะรด ใบเตยหนามปอ มาทำเป็นวัสดุในการทอผ้า แต่ก็ไม่ได้รับความนิยมเพราะ ไม่เกิดความนิ่ม ทำให้ระคายเคืองร่างกาย สู้ใยไหมและฝ้ายไม่ได้
ชาวอิสลามเชื้อสายปัตตานีและไทรบุรีเปอร์เซีย ได้อพยพมาทางเรือในสมัยศรีวิชัยรุ่งเรือง และได้ตั้งถิ่นฐานบริเวณเมืองไชยา คือบริเวณบ้านสงขลา ปัจจุบันคือหมู่ที่ 2 บ้านหัวเลน ตำบลพุมเรียง อำเภอไชยาชาวไทยอิสลามในตำบลพุมเรียง สืบทอดเชื้อสายมาจากชาวอิสลาม เชื้อสายมาจากอิสลามสายเปอร์เซีย และเชื้อสายปัตตานีไทรบุรีมาตั้งแต่สมัยกรุงรัตนโกสิทธิ์รุ่งเรืองจนถึงปัจจุบันหลังจากชาวอิสลามได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานบริเวณอ่าวพุมเรียงแล้ว กอรปกับความเจริญรุ่งเรืองของอาณาจักรศรีสิชัย อ่าวพุมเรียงยังเป็นเมืองเก่า เมืองเศรษฐกิจ ท่าเทียบเรือ ซึ่งเป็นทางผ่านไปสู่เมืองตะกั่วป่า เมืองนครศรีธรรมราช ปัตตานี โดยเรือสำเภาผ่านมาและพักแรมและตั้งถิ่นฐานบริเวณอ่าวพุมเรียง เพื่อทำอาชีพค้าขายในแถบนั้น “ชาวจีนคนหนึ่งยึดอาชีพทำทอง(ค้าทองคำ) อีกคนหนึ่งทำอาชีพทอผ้าไหม” ซึ่งสันนิฐานว่าเป็นผู้นำวิธีการทอผ้า มาเผยแพร่ที่พุมเรียงเป็นคนแรกหลังจากเดินทางเข้ามาตั้งถิ่นฐานของชาวจีนไหหลำ ก็มาถึงยุคกรุงรัตนโกสิทธิ์ได้มีชาวอินเดียเดินทางมาที่พุมเรียงและได้นำผ้าซึ่งมีลวดลายต่าง ๆ มาเผยแพร่จนทำให้เป็นที่นิยมของคนในยุคสมัยนั้นต่อมาสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้ทรงนำผ้าไหมมาเผยแพร่ทางภาคอีสานที่จังหวัดบุรีรัมย์ เป็นแห่งแรกและต่อจากนั้นได้เผยแพร่สู่จังหวัดต่าง ๆ รวมทั้งที่ชุมชนพุมเรียงและได้สร้างความเจริญรุ่งเรืองและชื่อเสียงให้กับผ้าไหมพุมเรียงจนเป็นที่รู้จักและเป็นที่ยอมรับของประชาชนทั่วไปหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สมัยจอมพล ป.พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรี ได้มีการก่อตั้งโรงเรียนการทอผ้า เพื่อส่งเสริมอาชีพการทอผ้าและพัฒนาการทอผ้าหลากหลายชนิด เช่น การทอผ้าพื้น ผ้าลาย ผ้ายกดอก โดยเฉพาะผ้าลายต่าง ๆ ตามแบบชาวอินเดีย โดยนางเมียด ทิพย์ธารักษ์ ได้เล่าให้ทีมงานบันทึกตำนานว่า “ประมาณปี พ.ศ.2489 ในขณะนี้มี จอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ได้มี “นายมานิตย์(ไม่ทราบนามสกุล ซึ่งเป็นปลัดตำบลพุมเรียง นำครูสอนการทอผ้าชื่อ นายหมัด ถิ่นวาศ มาสอนการทอผ้าด้วยกี่(กี่กระตุก) ให้กับชาวพุมเรียง โดยนางเมียด เข้ามาเป็นนักเรียนทอผ้าพุมเรียง รุ่นที่ 1 และในเวลาเดียวกันที่อำเภอไชยาก็ได้มีการจัดตั้งโรงเรียนสอนการทอผ้า โดยใช้บริเวณที่เป็นตลาดเข้าของเทศบาลตำบลตลาดไชยาในปัจจุบันเป็นสถานที่ตั้งของโรงเรียนตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาราษฎรทั้งในเขตตลาดไชยาและพุมเรียงบริเวณบ้านหัวเลนก็ได้ยึดอาชีพทอผ้าแถบทุกครัวเรือน ซึ่งยังนิยมทอได้แก่ผ้าห่ม ผ้าขาวม้า ผ้าปูที่นอน และมุ้ง เป็นต้น รวมทั้งมีการพัฒนารุ่น แบบ ฝีกมือทั้งเรื่องความสวยงาม สีสัน ลายผ้า โดยมีบุคคลที่นับว่าเป็นครูแห่งปัญญาหรืออัจฉริยะของกาสรทอผ้าที่เป็นที่ยกย่องและยอมรับของชาวพุมเรียงในยุคนั้น ได้แก่ นางติม๊ะ จบสมัย ได้นำลายผ้าต่าง ๆ มาเผยแพร่ต่อ ๆ มาต้นปี พ.ศ.2491 สมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรี นับเป็นยุครุ่งเรืองแห่งการทอผ้ายก โดยนายสุเทพ จบสมัย ซึ่งเป็นบุตรของนางติม๊ะ จบสมัย ได้สืบทอดการทอผ้าโดยใช้ชื่อว่า ส.ไหมไทย และสร้างชื่อเสียงเกี่ยวกับผ้ายกดอก เพื่อจำหน่ายให้แก่นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ ทั้งจำหน่ายในเขตพุมเรียงและส่งไปจำหน่ายที่กรุงเทพฯ ถือเป็นยุคทองของการทอผ้าด้วยมือของชาวพุมเรียงต่อมาในยุคจอมพลถนอม กิติขจร เป็นนายกรัฐมนตรี การทอผ้า เนื่องจากวัสดุที่ใช้ในการทอผ้าเริ่มหายากมีราคาแพง ประกอบกับความเจริญทางด้านอุตสาหกรรมได้มีผ้าทอด้วยเครื่องจักรส่งเข้ามาขายเป็นจำนวนมากและมีราคาถูก ชาวบ้านสามารถซื้อได้ง่ายและสะดวกกว่าการทอผ้าใช้เองชาวไทยพุทธส่วนใหญ่และชาวอิสลามในอำเภอไชยา จึงละทิ้งการทอผ้าและกลับไปประกอบอาชีพอื่น เช่น การเกษตร การค้าขาย เป็นต้น ส่วนสตรีชาวพุมเรียงยังคงยึดอาชีพการทอผ้า ทั้งทอไว้ใช้เองและสำหรับขายคนทั่วไปมาจนถึงปัจจุบันเอกลักษณ์/จุดเด่นผลิตภัณฑ์
ที่มา https://sites.google.com/a/nadeewit.ac.th/kar-thx-him/khwam-pen-ma-khxng-kar-thx-pha-him