Stories of poor animals

🌔U🌖

🦎            🐣     🦢🦆         🐢       🐪🐂🐖🐄🐏🦙🐘  🐁       🐀

This website is about poor animals. Anyone with a weak heart should not recommend it.


เว็บไซต์นี้เกี่ยวกับสัตว์ที่น่าสงสาร
ใครใจไม่ถึงไม่แนะนำ

หน่วยที่ 1

ประวัติศาสตร์

นับตั้งแต่อดีตมนุษย์ต่างทำร้ายทำสงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่พบได้ทั่วไปในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ และนอกจากนี้ในประวัติศาสตร์ยังได้บันทึกเกี่ยวกับการสังหารสัตว์จำนวนมาก ในวันนี้เราจะพาทุกท่านมาชม 9 อันดับเหตุการณ์การสังหารที่น่าสงสารที่สุด

#9 การฆ่าสุนัขลากเลื่อนที่แคนาดาในปี 2011


หลังจากเสร็จสิ้นการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวในปี ค.ศ 2010 ที่แวนคูเวอร์จำนวนนักท่องเที่ยวที่ต้องการนั่งรถลากเลื่อนโดยสุนัขลดน้อยลงมาก

อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวสุนัขลากเลื่อนเข้าสู่ภาวะวิกฤตและบริษัทบางแห่งไม่สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้หากไม่ลดค่าใช้จ่ายซึ่งหมายถึงการลดจำนวนสุนัขลง  จากเหตุการณ์นี้นำไปสู่การฆ่าสุนัขจำนวนมาก พวกมันถูกยิงและถูกปาดคอจนตาย

สุนัขหลายสิบตัวถูกฆ่าตายในคืนเดียวสิ่งที่น่าแปลกใจก็คือเรื่องนี้ถูกค้นพบเพราะว่าผู้จัดการของบริษัทยื่นข้อเรียกร้องกับคณะกรรมการของคนงานเพื่อขอค่าชดเชยจากการได้รับความเดือดร้อนที่เกิดขึ้น ความเครียดทำให้เขาโพสต์ภาพบาดแผลของสุนัขที่เขาเพิ่งฆ่า ต่อมามีการค้นพบหลุมฝังศพสุนัขจำนวน 56 ศพ แม้ว่าจะมีสุนัขเป็นเหยื่อกว่า 100 ตัวก็ตาม

#8 การสังหารหมู่สัตว์ที่เปอร์โตริโกในปี 2007


ในปี ค.ศ 2007 ในเปอร์โตริโกบริษัทที่มีชื่อว่า Animal Control Solutions ได้รับการว่าจ้างจากรัฐท้องถิ่นให้ช่วยควบคุมจำนวนสุนัขและแมวจรจัด น่าเสียดายที่ทางออกของพวกเขาเกี่ยวข้องกับการต้องสังหารสุนัขและแมวจำนวนมาก ที่แย่กว่านั้นคือส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นสุนัขหรือแมวจรจัดแต่เป็นสัตว์เลี้ยงที่มีเจ้าของ แม้ว่าคนส่วนใหญ่จะเป็นคนที่อาศัยอยู่ในโครงการที่ยากจนในเมือง

เมื่อพวกเขาตื่นขึ้นมาและพบว่าสัตว์เลี้ยงอันเป็นที่รักของพวกเขาถูกฆ่าตาย หรือหากพวกมันโชคดีมีชีวิตรอดก็จะมีอาการกระดูกหัก หลังจากเหตุการณ์นั้นชาวเปอร์โตริโกหลายพันคนต่างพากันออกไปประท้วงตามท้องถนน และท้ายที่สุดบริษัทดังกล่าวก็ต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้น

#7 การสังหารสุนัขจรจัดในช่วงที่ยูเครนเป็นเจ้าภาพฟุตบอลยูโรในปี 2012


สมาคมสิทธิสัตว์หลายแห่งประณามการฆ่าสุนัขจรจัดที่นำโดยรัฐบาลยูเครนในช่วงฟุตบอลยูโร 2012 ในยูเครนมีสุนัขเร่ร่อนอยู่เป็นจำนวนมากและเจ้าหน้าที่กล่าวว่าจะมีผลกระทบในทางลบต่อผู้มาเยือนประเทศ ดังนั้นพวกเขาจึงวางแผนที่จะล้างภาพลักษณ์ที่ไม่ดีเหล่านั้นและจัดการกับแมวและสุนัขจรจัด

อย่างไรก็ตามเหตุการณ์ดังกล่าวไม่ได้ผลพวกเขาได้รับชื่อเสียงในด้านที่ไม่ดีจากการฆ่าสุนัข บางคนบอกว่ามีสัตว์อย่างน้อย 9,000 ตัวที่ถูกฆ่าตายใน 3 เมืองที่แตกต่างกัน ภาพถ่าย 2-3 ภาพแสดงซากสัตว์ที่ตายแล้วกลายเป็นไวรัลไปทั่ว

เมื่อถูกกดดันรัฐบาลยูเครนสั่งให้เทศบาลท้องถิ่นสร้างที่พักพิงสัตว์ให้มากขึ้นสำหรับสุนัขจรจัดแทนที่จะกำจัดพวกมัน

#6 การสังหารสัตว์เลี้ยงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่อังกฤษในปี 1930


เรื่องราวนี้เกิดขึ้นในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 จะมาถึงอังกฤษ ชาวอังกฤษตื่นตระหนกกับสงครามที่กำลังจะมาถึง รัฐบาลอังกฤษจึงได้จัดทำแคมเปญขนาดใหญ่เพื่อให้คำปรึกษาประชาชนในการกำจัดสัตว์เลี้ยงอันเป็นที่รัก เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียชีวิตหรือทรมานระหว่างการทิ้งระเบิด มีสัตว์เลี้ยงที่เข้าร่วมโครงการถึง 750,000 ตัวภายใน 1 สัปดาห์ในปี 1939 แต่มีบางคนแย้งว่ามันไม่จำเป็นเลย พวกเขาแค่ตื่นตระหนกมากไปก็เท่านั้น

สิ่งที่น่ากลัวมากกว่าภัยคุกคามจากระเบิดสำหรับสัตว์เลี้ยงคือการขาดอาหารเนื่องจากไม่มีการแบ่งปันส่วนสำหรับสัตว์และอาหารเป็นสิ่งที่หายากในช่วงสงคราม อย่างไรก็ตามสัตว์เลี้ยงจำนวนมากไม่ได้ถูกทอดทิ้งโดยเจ้าของ แล้วพวกเขายังได้สร้างเขตรักษาพันธุ์ที่จัดตั้งขึ้นสำหรับสุนัขและแมวในช่วงสงครามและได้ช่วยชีวิตสัตว์นับแสน

#5 การสังหารสัตว์ในสวนสัตว์อุเอโนะประเทศญี่ปุ่นในปี 1943


เรื่องราวต่อไปนี้เป็นเรื่องราวของการฆ่าสัตว์เพื่อป้องกันอันตรายในช่วงสงครามเท่านั้นไม่เกี่ยวข้องกับแมวและสุนัขเป็นสัตว์ที่อยู่ในสวนสัตว์ รัฐบาลญี่ปุ่นเชื่อว่าสัตว์สามารถหลบหนีออกจากสวนสัตว์ได้ในระหว่างการทิ้งระเบิด และจะเป็นอันตรายต่อประชาชนดังนั้นพวกเขาจึงวางแผนที่จะฆ่าพวกมันก่อนที่เรื่องดังกล่าวจะเกิดขึ้น

เหตุการณ์นี้อาจทำให้รู้สึกปวดใจไม่มากนักเพราะจำนวนสัตว์ที่ถูกฆ่าอยู่ที่ 25 ถึง 50 ตัวเท่านั้น แต่วิธีการที่พวกมันต้องตายนั้นโหดร้ายและทารุณ สัตว์ขนาดใหญ่รวมถึงช้าง 3 ตัวและฮิปโป 2 ตัว ถูกปล่อยให้อดอาหารจนตาย ช้างใช้เวลาหลายสัปดาห์กว่าจะตาย สัตว์อื่นๆ เช่นเสือถูกวางยาพิษ เหตุการณ์นี้ยังถูกใช้เป็นโฆษณาชวนเชื่อในช่วงสงครามเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการโจมตีทางอากาศที่กำลังจะมาถึง สัตว์ต่างๆถูกยกย่องว่าตายเพื่อประเทศถึงแม้ว่าพวกมันจะไม่ได้เลือกชะตากรรมนั้นเองก็ตาม

#4 การสังหารแมวครั้งใหญ่ในปารีสปี 1730


ในปี 1730 กรุงปารีสมีแรงงานกลุ่มหนึ่งพวกเขาได้ทรมานและฆ่าแมวทั้งหมดที่หาได้รวมถึงสัตว์เลี้ยงอันเป็นที่รักของภรรยาเจ้านาย เรื่องจริงเรื่องนี้ถูกบันทึกไว้ในสมุดบันทึกของเด็กฝึกงานด้านการพิมพ์ที่ร่วมกับผู้สมคบคิดฆ่าแมวหลายร้อยตัวในคืนเดียว ชายหนุ่มที่ทำงานในโรงพิมพ์ได้รับเพียงเศษอาหาร แต่กับแมวนั้นภรรยาเจ้านายกลับเลี้ยงดูพวกมันอย่างดี ดังนั้นพวกเขาจึงตัดสินใจแก้แค้นแมวหลายตัว รวมถึงสัตว์เลี้ยงของภรรยาเจ้านายถูกจับและนำไปใส่ในกระสอบหลายตัวถูกฆ่าตายในจุดที่มีแท่งเหล็ก บางตัวก็ถูกแขวนคอตาย

#3 เทศกาลเผาแมวและการขว้างปาแมวในยุโรปยุคกลาง


ในยุคกลางแมวมีส่วนเกี่ยวข้องกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์และซาตาน ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่พวกมันจะถูกฆ่าตายเป็นจำนวนมาก ในกรณีส่วนใหญ่พวกมันถูกเผาด้วยไฟในจัตุรัสกลางเมือง ขณะที่มีผู้คนเต้นและเชียร์รอบๆ ในโอกาสดังกล่าวแม้แต่กษัตริย์แห่งฝรั่งเศสก็มีส่วนร่วม อย่างไรก็ตามในบางที่พวกมันก็ต้องตายในรูปแบบอื่นๆตัวอย่างเช่นในเมือง Ypres พวกมันถูกโยนลงจากหอระฆังในจัตุรัสและมีผู้คนมารอชมเหตุการณ์ดังกล่าว ทุกวันนี้ทุกๆ 3 ปีระหว่างการเดินขบวน Kattenstoet ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เป็นมิตรกับแมวจะมีผู้คนที่แต่งตัวเหมือนแมวและเต้นรำบนถนนเพื่อรำลึกถึงอดีตที่ผ่านมา

#2 ไข้หวัดหมูในอียิปต์ปี 2009


ในช่วงที่ไข้หวัดหมูระบาดในปี 2009 ได้สั่งให้มีการฆ่าประชากรหมูทั้งหมด สัตว์มากกว่า 3 แสนตัวถูกฆ่าตายในเวลาอันสั้น แม้ว่าจะไม่มีกรณีของโรคไข้หวัดหมูที่เคยบันทึกไว้ในอียิปต์ก็ตาม การประกาศใช้มาตรการป้องกันเพื่อหลีกเลี่ยงการปนเปื้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ อย่างไรก็ตามคนอื่นๆกล่าวว่านี่คือมาตรการการลงโทษคนที่นับถือศาสนาอื่น เนื่องจากประชากรส่วนใหญ่ในประเทศนับถือศาสนาอิสลาม โดยศาสนาอิสลามห้ามบริโภคเนื้อสุกร ไม่ว่าหมูจะมีไข้หวัดหรือไม่พวกมันก็จะถูกฆ่า อย่างไรก็ตามมาตรการภายหลังได้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อรัฐบาล ปกติหมูในอียิปต์นั้นได้รับการเลี้ยงแบบดั้งเดิมโดยพวกมันจะกินเศษอาหารที่ถูกทิ้งตามขยะ เปรียบเสมือนเป็นเครื่องรีไซเคิล หลังจากที่พวกมันหายไปถนนในกรุงไคโรนั้นก็เต็มไปด้วยขยะจำนวนมากทำให้ผู้คนต้องเจอกับโรคร้ายประเภทต่างๆ

#¹ เทศกาล Gadhimai ในเนปาล


เทศกาลสังเวยสัตว์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกเกิดขึ้นทุกๆ 5 ปีในเนปาล มันถูกเรียกว่าเทศกาล Gadhimai เพื่อบูชาแก่เทพธิดาแห่งอำนาจของชาวฮินดูซึ่งก็คือ Gadhimai

เรามักจะนึกถึงชาวฮินดูในฐานะนักกินมังสวิรัติที่ไม่ทำร้ายวัว แต่เห็นได้ชัดว่าไม่สามารถใช้กับควาย ไก่ แพะ หมูและหนูได้ มีสัตว์จำนวนหลายแสนตัวที่ถูกฆ่าตาย โดยในปี 2009 มีการประมาณว่ามีสัตว์ที่ถูกฆ่าตาย 250,000 ถึง 500,000 ตัวซึ่งถูกฆ่าตายในช่วง 3 วันของเทศกาลที่มีผู้นับถืออย่างน้อย 1 ล้านคนเข้าร่วม วิธีการคือผู้เข้าร่วมนำสัตว์ของตัวเองมาร่วมงาน สัตว์จะถูกฆ่าด้วยมีด kukukuri เลือดของสัตว์เหล่านั้นว่ากันว่าจะนำมาซึ่งความโชคดี หลังจากนั้นก็จะมีการขายซากสัตว์ให้กับผู้ที่ต้องการ เทศกาลนี้จะเกิดขึ้นอีกครั้งในปี 2024



หน่วยที่ 2

เข้าใจผิต+ทารนกรรม

งูแสงอาทิตย์ (อังกฤษ: Sunbeam snake) เป็นงูไม่มีพิษ มีลำตัวยาวทรงกระบอก หัวแบนเรียว ตามีขนาดเล็ก ลำตัวมีความยาวประมาณ 120 เซนติเมตร ลำตัวสีดำถึงสีน้ำตาลเข้ม ส่วนท้องมีสีขาว ส่วนหัวแบนเรียว ตาเล็ก ลักษณะเด่นคือเกล็ดลำตัวเรียบเป็นเงาแวววาบสะดุดตาเมื่อสะท้อนแสงแดด อันเป็นที่มาของชื่อ พบได้ตั้งแต่ภาคใต้ของจีน และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยไม่มีชนิดย่อย[3] ตัวอย่างต้นแบบแรกพบที่ชวา[2] จัดเป็นงูโบราณจากลักษณะที่ยังคงปอดทั้งสองข้างเอาไว้ ซึ่งงูทั่วไปจะเหลือปอดซ้ายเพียงข้างเดียวเพื่อความสะดวกในการเก็บปอดภายในลำตัวแคบๆ ยาว ๆ [4]มักพบเห็นได้ในพื้นที่ที่มีกิ้งก่า, กบ, หนู และสัตว์มีกระดูกสันหลังอื่น ๆ ซึ่งเป็นอาหาร รวมถึงกินงูด้วยกัน เช่น ลูกงูเห่าและงูกะปะ เป็นอาหารได้ด้วย เป็นงูที่มีพละกำลังพอสมควร เมื่อพบเหยื่อจะจัดการเหยื่อด้วยการรัดให้หมดแรงและค่อย ๆ กลืนลงไป[5]

มักอาศัยอยู่ใต้ขอนไม้หรือก้อนหินที่เป็นดินร่วนและมีความชื้นเล็กน้อย ยามน้ำท่วมสามารถปีนขึ้นที่สูง เช่น ต้นไม้ หรือขื่อคาบ้านเพื่อหนีน้ำได้

งูแสงอาทิตย์มักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นงูพิษร้ายแรง มีความดุร้าย ที่เมื่อถูกกัดแล้วจะตายเพื่อพระอาทิตย์ขึ้น ซึ่งไม่เป็นความจริง แท้จริงแล้วงูแสงอาทิตย์เป็นงูที่เชื่องช้าและไม่มีพิษ เมื่อเผชิญหน้ากับมนุษย์จะไม่แสดงท่าทีดุร้าย แต่จะหมอบอยู่นิ่ง ๆ ทำตัวแบนราบกับพื้น หรือไม่ก็เลื้อยหนีไป อาจจะมีขู่บ้างทำให้ดูคล้ายงูเห่า แต่ไม่กัด

วางไข่ไว้ตามใต้เศษใบไม้แห้งที่ชื้น ๆ เพื่ออาศัยความร้อนจากขบวนการย่อยสลายซากใบไม้ในการฟักไข่ ใช้เวลานานประมาณ 3 เดือน ซึ่งนานพอที่จะให้พัฒนาการของตัวอ่อนในไข่กลายเป็นงูวัยอ่อนได้โดยสมบูรณ์ เมื่อฟักออกมาลูกงูมีลักษณะเหมือนงูตัวเต็มวัยทุกประการ เว้นแต่จะมีรอบคอเป็นสีขาวซึ่งแตกต่างจากงูตัวโตเต็มวัยปัจจุบันเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2535[6]

โดโด (อังกฤษ: Dodo) เป็นนกชนิดหนึ่ง อาศัยอยู่แถบหมู่เกาะมอริเชียสในมหาสมุทรอินเดีย เป็นนกที่บินไม่ได้อยู่ในตระกูลเดียวกับนกพิราบ

ในปี พ.ศ. 2048 ชาวโปรตุเกสเป็นชาวยุโรปพวกแรกที่พบ และเพียงประมาณปี พ.ศ. 2224 มันก็สูญพันธุ์อย่างรวดเร็วโดยมนุษย์ รวมถึงสุนัขล่าเนื้อ หมู หนู ลิง ที่ถูกนำเข้าโดยชาวยุโรป

โดโด ไม่ใช่นกเพียงชนิดเดียวในมอริเชียสที่สูญพนธุ์ในศตวรรษนี้ จากนกกว่า 45 ชนิดที่พบบนเกาะ มีเพียง 21 ชนิดเท่านั้นที่เหลือรอด นกสองชนิดซึ่งเป็นญาติใกล้ชิดกับโดโดก็สูญพันธุ์ไปเช่นกัน คือ Reunion solitaire (Raphus solitarius) ประมาณปี พ.ศ. 2289 และ Rodrigues solitaire (Pezophaps solitaria) ประมาณปี พ.ศ. 2333 เมื่อทศวรรษ พ.ศ. 2533 วิลเลียม จ. กิบบอนส์ นำคณะสำรวจขึ้นค้นหาบนเขาบนเกาะมอริเชียส แต่ก็ไม่มีใครค้นพบ จึงประกาศการสูญพันธุ์อย่างเป็นทางการ


Hello everyone, thank you for everyone who visited this story until the end. How was it when you read it? Do you feel sorry for them?


สวัสดีค่ะ ทุกคนขอขอบคุณที่ทุกคนที่เข้าชมนะคะเรืองราวต่อไปนี้จนจบอ่านแล้วเป็นอย่างไรบ้างคุณสงสารพวกเขาบ้างไหม

🌹             🌹            🌻               🌱                 🍀                🍁                🌳               🌲