บทคัดย่อ
ในปัจจุบันธุรกิจอัญมณีและเครื่องประดับได้มีการแข่งขันสูง และได้มีการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ด้วยเทคนิคและวิธีใหม่ ๆ เทคนิคพาตินาทำให้เกิดสีบนผิวโลหะชิ้นงาน ซึ่งสามารถให้ลักษณะเฉพาะและเป็นอีกประโยชน์หนึ่งในการผลิตเครื่องประดับ ในการศึกษานี้เตรียมโลหะทองเหลือง ทองแดง และเงิน ขนาด 15 × 15 มิลลิเมตร หนา 0.5 มิลลิเมตร รวมทั้งหมด 120 ชิ้น โดยแบ่งเป็น 2 พื้นผิว คือผิวแบบหยาบและผิวเรียบ ทดสอบตัวอย่างด้วยสารละลาย 2 ความเข้มข้น โดยความเข้มข้นที่ 1 ใช้สารแอมโมเนียมคลอไรด์ปริมาณ 0.5 กรัม และใช้สารคอปเปอร์ซัลเฟต 0.6 กรัม ต่อน้ำกลั่น 50 มิลลิลิตร ความเข้มข้นที่ 2 ใช้สารแอมโมเนียมคลอไรด์ปริมาณ 1 กรัม และใช้สารคอปเปอร์ซัลเฟต 1.2 กรัม ต่อน้ำกลั่น 50 มิลลิลิตร ที่อุณหภูมิห้อง โดยใช้ระยะเวลาในการแช่ตัวอย่าง 20, 30, 40, 50 และ 60 นาที ตามลำดับ ผลที่ได้ออกมาคือเกิดสีม่วง สีน้ำตาลอมแดง และสีชมพูบนชิ้นงานทองเหลือง เกิดสีน้ำตาล สีน้ำตาลอมเขียวเล็กน้อย บนชิ้นงานทองแดง และเกิดสีเทาบนชิ้นงานเงิน เมื่อนำชิ้นงานทั้งหมดวัดด้วยเครื่องวัดสี พบว่าสีส่วนใหญ่ไปในทิศทางสีเหลืองและแดง ซึ่งมีความสอดคล้องกันกับสีที่มองเห็นด้วยตาเปล่า ความหนาของชิ้นงานแต่ละชิ้นที่ทดลองในสภาวะที่แตกต่างกัน มีความหนาไม่เท่ากันและไม่มีแนวโน้มที่ชัดเจนสำหรับการเกิดฟิล์ม แต่ชิ้นงานที่มีผิวแบบเรียบจะให้ความหนาของฟิล์มค่อนข้างมากกว่าชิ้นงานที่มีผิวแบบขรุขระ การยึดเกาะของฟิล์มเมื่อทดสอบด้วยวิธี Tape test พบว่าไม่มีฟิล์มหลุดลอกออกมากจากชิ้นงาน เมื่อนำไปเปรียบเทียบกับมาตรฐาน ASTM D 3359 – 02 มีค่าเท่ากับ 0 % จึงได้ข้อสรุปว่าเลือกใช้ชิ้นงานที่มีผิวแบบหยาบในการทำเครื่องประดับ โดยใช้สารละลายความเข้มข้น ที่ 1 เวลา 20 นาที ในการทำเครื่องประดับชิ้นงานทองเหลือง ใช้สารละลายความเข้มข้นที่ 2 เวลา 60 นาที ในการทำเครื่องประดับทองแดงและเงิน ตามลำดับ ซึ่งสภาวะที่เลือกนี้มีคุณสมบัติที่เหมาะสำหรับการนำมาประยุกต์ทำเครื่องประดับ โดยทำเครื่องประดับ 2 ชิ้นคือต่างหู 1 คู่ ถูกผลิตขึ้นและตกแต่งให้มีลักษณะเฉพาะตัว