สวนออนซอน

ประวัติพ่อเลี่ยม

นายทองเลี่ยม บุตรจันทา หรือพ่อเลี่ยม ของใครหลายๆ คน เป็นบุคคลต้นเรื่องของวลีดัง "จน เครียด กินเหล้า" จากโฆษณาชุด "เลิกเหล้า เลิกจน เริ่มต้นเข้าพรรษานี้" ของสสส.ชุดนี้ แม่ตุ๋ย (นางสมบูรณ์ บุตรจันทา-ภรรยา) เล่าอย่างอารมณ์ดีว่าทางสสส.มาขออนุญาตว่าจะมีโครงการรณรงค์เลิกเหล้าโดยทำสื่อโฆษณา เอาชีวิตของพ่อเลี่ยมเป็นคนต้นเรื่อง ทางนี้ก็บอกว่าได้ ไม่เห็นต้องขออนุญาตอะไร ใช้ได้เลย ตอนแรกจะให้ครอบครัวพ่อเลี่ยมแสดงเองด้วยซ้ำ แต่เนื่องจากการเดินทางที่เป็นปัญหา ทางสสส.จึงหาตัวแสดงแทน ซึ่งก็แสดงได้ดีจนถูกใจใครหลายๆ คน และกลายเป็นวลีเด็ดที่ใครๆ ชอบพูดกันในยุคนั้น


ก่อนที่จะมาเป็นพ่อเลี่ยมในปัจจุบันที่เป็นปราชญ์ชาวบ้าน เป็นที่รู้จักในวงกว้าง โดยเฉพาะผู้ที่สนใจวิถีชีวิตแบบพอเพียง ในอดีต พ่อเลี่ยมเคยมีวิถีชีวิตแบบเกษตรกรไทยส่วนใหญ่ บ้านเดิมอยู่จังหวัดบุรีรัมย์ที่ทั้งร้อนและแล้ง ทำไร่มันสำปะหลังก็ขายไม่ได้ราคา ประสบปัญหาภัยธรรมชาติ มีแต่หนี้ค่าปุ๋ย ค่ายา และติดอบายมุข เล่นการพนัน แม่ตุ๋ยด่าก็หนีไปกินเหล้า เมื่อได้ผลผลิตนำไปขาย ก็ต้องใช้หนี้ เหลือเงินซื้ออาหารกินเพียงไม่กี่มื้อ ก็ต้องกู้เงินมาอีก เพราะต้องกินต้องใช้ในครอบครัว


ชีวิตวนเวียนเป็นวัฏจักร จนถึงวันที่หนี้พอกพูนจนไม่สามารถหยิบยืมเงินใครได้อีก จำเป็นต้องขายที่ดินเพื่อนำมาใช้หนี้ พ.ศ.๒๕๓๐ จึงได้อพยพครอบครัวมาอยู่ที่จังหวัดฉะเชิงเทรา ช่วงแรกๆ ก็ยังคงใช้ชีวิตแบบเดิม ปลูกอ้อย ปลูกมันสำปะหลัง ข้าวโพด เพื่อรอเก็บเกี่ยวผลผลิต จะได้นำไปขายและนำเงินมาเลี้ยงดูครอบครัว (และลงอบายมุขเหมือนเดิม) แต่ในช่วงที่ยังเก็บเกี่ยวผลผลิตไม่ได้ ก็ต้องไปกู้หนี้ยืมสินมาเพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้องประทังชีวิต พอเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ ก้อต้องหักส่วนหนึ่งไปใช้หนี้ เหลือเงินไม่พอเลี้ยงครอบครัว ก็ถูกแม่ตุ๋ยบ่นด่าเป็นกิจวัตรประจำวันไป


ชีวิตของพ่อเลี่ยมพลิกกลับจากหน้ามือเป็นหลังมือเมื่อวันหนึ่ง ได้ไปเข้ารับการอบรมร่วมกับตชด.ที่มีพ่อผู้ใหญ่วิบูลย์ เข็มเฉลิมเป็นวิทยากร พ่อผู้ใหญ่วิบูลย์บอกว่าเกษตรกรไทยไม่รู้จักตัวเอง ถึงได้จนอยู่อย่างทุกวันนี้ไง พ่อเลี่ยมนึกเถียงอยู่ในใจว่าทำไมจะไม่รู้จักตัวเอง พ่อผู้ใหญ่สอนให้เรารู้จักตัวเอง ว่าเราอยู่อย่างไร กินอย่างไร ใช้อย่างไร ด้วยวิธีการทำบัญชีครัวเรือน จะได้รู้ว่าเราได้เงินมาเท่าไหร่ นำไปใช้จ่ายอย่างไร เพื่อที่จะได้ตัดรายจ่ายในส่วนที่ไม่จำเป็นออกไป ได้มีเงินเหลือมากขึ้น


พอกลับมาบ้านได้ลงมือทำจริงจัง ก็เห็นภาพขัดเจนว่าที่เป็นหนี้เป็นสินอยู่ทุกวันนี้ ก็เพราะมีแต่รายจ่ายที่มาจากความต้องการเป็นส่วนใหญ่ รายจ่ายที่จำเป็นจริงๆ มีน้อยมาก หลังจากนั้นพ่อเลี่ยมจึงเลิกอบายมุขทั้งหลายด้วยการ "หักดิบ" และเริ่มลดรายจ่ายค่ากับข้าวด้วยการ "ปลูกทุกอย่างที่กิน และกินทุกอย่างที่ปลูก" และยังสอนให้ลูกๆ ได้คิดประหยัดด้วยการเลิกกินน้ำอัดลมเพื่อให้มีเงินเหลือ ความสุขในครอบครัวก็กลับมา ทุกคนช่วยกันปลูกต้นไม้ ทำสวนอย่างมีความสุข ซึ่งนั่นเป็นที่มาของชื่อ "สวนออนซอน"


ในสวนออนซอน พ่อเลี่ยมทำตามที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงมีพระราชดำรีเรื่องการปลูกป่า ๓ อย่าง ประโยชน์ ๔ อย่าง ที่เราเรียกกันว่า "วนเกษตร" ปลูกทั้งไม้ที่ไว้ใช้ประโยชน์ ไม้ผล ไม้ประดับ ไม้ดอก พืชกินหัว และสมุนไพร ปลูกแบบธรรมชาติ ให้ต้นไม้พึ่งพาอาศัยกันเอง มีเหลือกินเหลือใช้ก็ขาย ในที่สุดก็สามารถปลดหนี้ได้หมด

ทุกวันนี้ในสวนออนซอน มีต้นไม้มากกว่า ๓๐๐ ชนิด ที่พ่อเลี่ยมลงมือปลูกเองและรู้จักทุกต้น ต้นไม้อะไรที่แม่ตุ๋ยอยากได้ หรือคิดว่าแม่ตุ๋ยจะต้องชอบ พ่อเลี่ยมก็จะเอามาปลูกให้และรอคอยวันเติบโตด้วยความรัก และไม่นานมานี้ พ่อเลี่ยมต้องการแปลงปลูกป่าวนเกษตรเพิ่ม เพื่อต้องการคืนชีวิตให้ธรรมชาติให้มากที่สุด จึงได้เริ่มทำ "สวนออนซอน ๒" ขึ้นมา อยู่ใกล้ๆ กับสวนออนซอน ๑ แม่ตุ๋ยพาพวกเราเดินลัดไปตามคันนา ระหว่างทางเดิน ตรงคันนา มีต้น..... ต้นใหญ่อยู่ทางซ้ายมือ แม่ตุ๋ยชี้ให้ดูว่ามียอดเป็นรูปหัวใจ ที่เราดูยังไงก็ไม่เห็น คงเพราะไม่ได้มีความรักอยู่ในหัวใจเหมือนคนบ้านนี้ แต่บ่อน้ำใหญ่ทางด้านขวามือ ที่พ่อเลี่ยมตั้งใจขุดให้เป็นรูปหัวใจ อันนี้เห็นและชอบแล้วยังแอบอิจฉาด้วย ตลอดทางที่พวกเราเดินดูสวนออนซอนหรือไม่ว่าจะไปไหนๆ ในหมู่บ้านจะมี "พริกไทย" สุนัขพันธุ์ลาบราดอร์ รีทรีฟเวอร์ ไปเป็นเพื่อนตลอด และคอยชักชวนให้เล่นด้วยการคาบท่อนไม้ไว้ในปากแล้วส่งเสียงเล็กน้อย กระดิกหางเป็นสัญญาณว่าอยากให้เล่นด้วย พริกไทยฉลาดและน่ารักมากและยังทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยเจ้าบ้านได้เป็นอย่างดี

แปรรูปสมุนไพร


บ้านสวนออนซอน


เรียนรู้เรื่องการทำนา


บ้านสวนออนซอน


รูปภาพโดย http://www.bccchannel.com/

ข้อความโดย http://www.bccchannel.com/