1. อาชีพนักโฆษณา - ประชาสัมพันธ์
เป็นอาชีพที่ผู้ประกอบการ ต้องเพิ่มพูนความรู้ในเรื่องการเขียน และการพูดแบบสร้างสรรค์ รวมทั้งฝึกประสบการณ์ โดยการฝึกเขียนบ่อย ๆ ตลอดจนการศึกษาดูงานของหน่วยงาน หรือบริษัทเอกชนที่ประสบความสำเร็จ ในเรื่องของการโฆษณาและประชาสัมพันธ์
องค์ความรู้ที่ควรศึกษาเพิ่มเติม
ในการเพิ่มพูนองค์ความรู้ในด้านการเขียนและการพูด ผู้ประกอบอาชีพด้านนี้ ควรศึกษาเนื้อหาความรู้ที่จะนำไปใช้ในการพัฒนาอาชีพ ในเรื่องต่อไปนี้
1) ศิลปะการพูดและศิลปะการเขียน เพราะอาชีพนักโฆษณาประชาสัมพันธ์เป็นอาชีพที่ต้องอาศัยศาสตร์ทั้งสองด้านประกอบกัน ในการพูดน้ำเสียงต้องนุ่มนวลหรือเร้าใจขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ของเรื่องที่จะโฆษณาหรือประชาสัมพันธ์ รู้จักเลือกใช้ถ้อยคำที่เป็นการให้เกียรติแก่ผู้ฟัง หรือเคารพข้อมูลที่เจ้าของงานให้มา
2) ระดับของภาษา ซึ่งเป็นเรื่องของการศึกษาถึงความลดหลั่นของถ้อยคำ และการเรียบเรียง ถ้อยคำที่ใช้ตามโอกาส กาลเทศะและความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลที่เป็นผู้สื่อสารและผู้รับสาร ซึ่งกลุ่มบุคคลในสังคมแบ่งออกเป็นหลายกลุ่ม หลายชนชั้นตามสภาพอาชีพถิ่นที่อยู่อาศัย ฯลฯ ภาษาจึงมีความแตกต่างกันเป็นระดับตามกลุ่มคนที่ใช้ภาษา เช่น ถ้อยคำที่ใช้กับพระภิกษุสงฆ์และพระราชวงศ์ อาจใช้ถ้อยคำอย่างหนึ่ง ภาษาของนักเขียนหรือกวีที่สื่อสารถึงผู้อ่าน ก็อาจจะใช้ภาษาอีกอย่างหนึ่ง เป็นต้น ดังนั้น ผู้ใช้ภาษาจึงต้องคำนึงถึงความเหมาะสมและเลือกใช้ให้ถูกต้องเหมาะสมกับกาลเทศะและบุคคล
ในภาษาไทย จะแบ่งระดับของภาษาเป็น 5 ระดับ คือ
2.1) ภาษาระดับพิธีการ เป็นภาษาที่ใช้ในงานพระราชพิธีหรืองานพิธีของรัฐ
2.2) ภาษาระดับทางการ เป็นภาษาที่ใช้ในที่ประชุมที่มีแบบแผนการบรรยาย การอภิปรายที่เป็นทางการ เป็นต้น
2.3) ภาษาระดับกึ่งทางการ เป็นภาษาที่ใช้ในการอภิปราย ประชุมกลุ่มในห้องเรียน การพูดทางวิทยุและโทรทัศน์ ข่าว และบทความในหนังสือพิมพ์
2.4) ภาษาระดับสนทนาทั่วไป เป็นภาษาที่ใช้สนทนาทั่ว ๆ ไป กับคนที่ไม่คุ้นเคยมากนัก เช่น ครูพูดกับผู้เรียน เป็นต้น
2.5) ภาษาระดับกันเอง เป็นภาษาระดับที่เรียกว่าระดับภาษาปาก เป็นภาษาสนทนาของครอบครัว ในหมู่เพื่อนสนิท หรือญาติพี่น้อง พูดอยู่ในวงจำกัด
3) เรื่องของน้ำเสียงในภาษา ซึ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับอารมณ์ความรู้สึกของผู้ส่งสารที่ปรากฏ ให้รู้สึกหรือเป็นร่องรอยในภาษาหรือเนื้อหาที่ผู้ส่งสารต้องการจะสื่อออกมาเป็นความรู้สึกแฝงที่ปรากฎในการสื่อสาร ซึ่งนักโฆษณาประชาสัมพันธ์ต้องระมัดระวังมิให้มีน้ำเสียงของภาษาออกมาในทางที่ไม่พึงประสงค์ หรือสร้างความรู้สึกที่ไม่ดีแก่ผู้ฟัง
4) ด้านการพัฒนาบุคลิกภาพ ในบางครั้งนักโฆษณา - ประชาสัมพันธ์ต้องปรากฎตัวต่อบุคคลทั่วไปในงานต่าง ๆ จึงควรต้องแต่งกายให้สุภาพเรียบร้อย เหมาะกับกาลเทศะของสถานที่และงานทั่วไป ซึ่งจะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือแก่ผู้พบเห็นได้ส่วนหนึ่ง
5) การพัฒนาองค์ความรู้ในตนเอง นักโฆษณา - ประชาสัมพันธ์ ต้องหมั่นแสวงหาความรู้ติดตามข่าวสารข้อมูลทุกด้านอย่างสม่ำเสมอ เพื่อนำมาใช้เป็นข้อมูลในการพัฒนาการโฆษณา -ประชาสัมพันธ์ให้น่าสนใจอยู่ตลอดเวลา รวมทั้งต้องแสวงหาความรู้ในด้านการประเมินผล เพื่อใช้ประโยชน์ในการประเมินผลการปฏิบัติหน้าที่ของตนเองด้วยรูปแบบวิธีการต่าง ๆ ที่จะก่อให้เกิดการพัฒนาอาชีพให้ดียิ่งขึ้น
แหล่งที่ควรศึกษาเพิ่มเติม
แหล่งที่ควรศึกษาเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มพูนความรู้ในอาชีพนี้ ได้แก่
1) สถาบันฝึกอบรมของเอกชน ซึ่งผู้เรียนสามารถหาข้อมูลรายชื่อได้จากอินเตอร์เน็ต
2) หน่วยงานของทางราชการ ได้แก่ กรมประชาสัมพันธ์ สถาบันส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยภาคต่าง ๆ
3) สถานศึกษาต่าง ๆ ของรัฐบาล เช่น ผู้ที่จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ต้องศึกษาต่อในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย และเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา คณะนิเทศศาสตร์ คณะวารสาร-ศาสตร์ คณะศิลปะศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ ถ้าศึกษาต่อใน 2 คณะหลัง ต้องฝึกอบรมทางอาชีพเพิ่มเติมจากสถาบันฝึกอบรมต่าง ๆ
2. อาชีพนักจัดรายการวิทยุ
เป็นอาชีพที่ผู้ประกอบการต้องเป็นคนที่ตรงต่อเวลา มีจรรยาบรรณวิชาชีพ มีความเป็นกลาง ในการนำเสนอข่าวสารข้อมูล รู้จักแก้ปัญหาเฉพาะหน้าและต้องเพิ่มพูนความรู้ในเรื่องการเขียนและ การพูด เพราะการเป็นนักจัดรายการวิทยุ ผู้จัดต้องเขียนสคริปท์ที่จะใช้ในการดำเนินรายการได้เองและพูดตามสคริปท์ได้อย่างเป็นธรรมชาติ รวมทั้งต้องอ่านมาก ฟังมาก เพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลไว้ใช้ ในการจัดทำรายการวิทยุ ซึ่งมีสถานที่ที่ผู้ประกอบการสามารถฝึกอบรมและศึกษาดูงานได้ทั้งของภาครัฐและเอกชน
องค์ความรู้ที่ควรศึกษาเพิ่มเติม
ในการเพิ่มพูนความรู้เพื่อการเป็นนักจัดรายการวิทยุที่ดี ผู้ประกอบอาชีพด้านนี้ควรศึกษาเนื้อหาความรู้ที่จะนำมาใช้ในการพัฒนาอาชีพ ในเรื่องต่อไปนี้
1) ศิลปะการพูดและศิลปะการเขียน เพราะเป็นอาชีพที่ต้องอาศัยศาสตร์ทั้งสองด้านประกอบกัน
2) ระดับของภาษา ซึ่งเป็นเรื่องของการศึกษาถึงความลดหลั่นของถ้อยคำ และการเรียบเรียง ถ้อยคำที่ใช้ตามโอกาส กาลเทศะ และความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลที่เป็นผู้ส่งสารและผู้รับสาร ซึ่งกลุ่มบุคคลในสังคมแบ่งออกเป็น หลายกลุ่ม หลายชนชั้น ตามสภาพอาชีพ ถิ่นที่อยู่อาศัย ฯลฯ ภาษาจึงมีความแตกต่างกันเป็นระดับตามกลุ่มคนที่ใช้ภาษา เช่น ถ้อยคำที่ใช้กับพระภิกษุสงฆ์และพระราชวงศ์ อาจใช้ถ้อยคำภาษาอย่างหนึ่ง ภาษาของนักเขียนหรือกวีที่สื่อสารถึงผู้อ่าน ก็จะใช้ภาษา อีกอย่างหนึ่ง เป็นต้น ดังนั้นผู้ใช้ภาษาจึงต้องคำนึงถึงความเหมาะสม และเลือกใช้ให้ถูกต้องเหมาะสมกับกาลเทศะและบุคคล
ในภาษาไทยจะแบ่งระดับของภาษาเป็น 5 ระดับ คือ
2.1 ภาษาระดับพิธีการ เป็นภาษาที่ใช้ในงานพระราชพิธี หรืองานพิธีของรัฐ
2.2 ภาษาระดับทางการ เป็นภาษาที่ใช้ในที่ประชุมที่มีแบบแผน ในการบรรยาย การอภิปรายที่เป็นทางการ เป็นต้น
2.3 ภาษาระดับกึ่งทางการ เป็นภาษาที่ใช้ในการอภิปราย ประชุมกลุ่มในห้องเรียน การพูดทางวิทยุและโทรทัศน์ ข่าว และบทความในหนังสือพิมพ์ เป็นต้น
2.4 ภาษาระดับสนทนาทั่วไป เป็นภาษาที่ใช้สนทนาทั่ว ๆ ไปกับคนที่ไม่คุ้นเคยมากนัก เช่น ครูพูดกับผู้เรียน เป็นต้น
2.5 ภาษาระดับกันเอง เป็นภาษาระดับที่เรียกว่าระดับปาก เป็นภาษาสนทนาของครอบครัว ในหมู่เพื่อนสนิท หรือญาติพี่น้อง พูดอยู่ในวงจำกัด
3) เรื่องของน้ำเสียงในภาษา ซึ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับอารมณ์ความรู้สึกของผู้ส่งสารที่ปรากฏให้รู้สึกหรือเป็นร่องรอยในภาษาหรือเนื้อหาที่ผู้ส่งสารต้องการจะสื่อออกมาเป็นความรู้สึกแฝงที่ปรากฎในการสื่อสาร ซึ่งนักจัดรายการวิทยุต้องระมัดระวังมิให้มีน้ำเสียงของภาษาออกมาในทางที่ไม่พึงประสงค์ หรือสร้างความรู้สึกที่ไม่ดีแก่ผู้ฟัง
4) เรื่องของหลักการใช้ภาษา เช่น เรื่องของคำสรรพนามที่เกี่ยวกับบุคคล คำลักษณะนาม คำราชาศัพท์ การออกเสียง ร ล และการออกเสียงคำควบกล้ำ
5) ด้านการพัฒนาบุคลิกภาพ ในบางครั้งนักจัดรายการวิทยุต้องปรากฏตัวต่อบุคคลทั่วไปในงานต่าง ๆ จึงควรต้องแต่งกายให้สุภาพเรียบร้อย เหมาะกับกาลเทศะของสถานที่และงานที่ไป ซึ่งจะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือแก่ผู้พบเห็นได้ส่วนหนึ่ง
6) การพัฒนาองค์ความรู้ในตนเอง นักจัดรายการวิทยุ ต้องหมั่นแสวงหาความรู้ติดตามข่าวสารข้อมูลทุกด้านอย่างสม่ำเสมอ เพื่อนำมาใช้เป็นข้อมูลในการพัฒนาการจัดรายการวิทยุให้น่าสนใจอยู่ตลอดเวลา รวมทั้งต้องแสวงหาความรู้ในด้านการประเมินผล เพื่อใช้ประโยชน์ ในการประเมินผลการปฏิบัติหน้าที่ของตนเองด้วยรูปแบบวิธีการต่าง ๆ ที่จะก่อให้เกิดการพัฒนาอาชีพให้ดียิ่งขึ้น
แหล่งที่ควรศึกษาเพิ่มเติม
แหล่งที่ควรศึกษาเพิ่มเติม เพื่อเพิ่มพูนความรู้ในอาชีพนี้ ได้แก่
1. สถาบันฝึกอบรมของเอกชน ซึ่งผู้เรียนสามารถหาข้อมูลรายชื่อได้จากอินเตอร์เน็ต
2. หน่วยงานของทางราชการ ได้แก่ กรมประชาสัมพันธ์ สถาบันส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยภาคต่าง ๆ
3. สถานศึกษาต่าง ๆ ของรัฐบาล เช่น ผู้ที่จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ต้องศึกษาต่อในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย และเข้าศึกษาต่อในคณะนิเทศศาสตร์ คณะวารสารศาสตร์ คณะศิลปะศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ ถ้าเข้าศึกษาในคณะศิลปะศาสตร์ หรืออักษรศาสตร์ต้องอบรมเพิ่มเติมในเรื่องเทคนิคการจัดรายการวิทยุเพิ่มเติม
3. อาชีพพิธีกร
เป็นอาชีพที่ผู้ประกอบอาชีพต้องมีพื้นฐานความรู้ในเรื่องการพูดเป็นอย่างดี เพราะเป็นอาชีพ ที่ต้องใช้การพูดเป็นเครื่องมือในการสื่อสารกับผู้อื่น การใช้คำพูดและถ้อยคำภาษาจึงเป็นเรื่องสำคัญต่อการสร้างความรู้สึกที่ดีหรือไม่ดีต่อผู้ฟัง นอกจากนี้บุคลิกภาพและการแต่งกายของผู้ทำหน้าที่พิธีกรก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่จะดึงดูดความสนใจของผู้ฟัง รวมทั้งควรเป็นผู้ที่ตรงต่อเวลา เพื่อเป็นความเชื่อถือในวิชาชีพได้ส่วนหนึ่ง
องค์ความรู้ที่ควรศึกษาเพิ่มเติม
ในการเพิ่มพูนองค์ความรู้ในการประกอบอาชีพพิธีกร ควรศึกษาเนื้อหาความรู้ที่จะนำไปใช้ในการพัฒนาอาชีพ ในเรื่องต่อไปนี้
1) ศิลปะการพูดหรือศิลปะการใช้ภาษา เพราะอาชีพพิธีกร เป็นอาชีพที่ต้องอาศัยศาสตร์ (ความรู้) และศิลป์ของการพูดเป็นอย่างมาก ซึ่งต้องอาศัยการฝึกฝนบ่อย ๆ
2) ระดับของภาษา ซึ่งเป็นเรื่องของการศึกษาถึงความลดหลั่นของถ้อยคำ และการเรียบเรียงถ้อยคำที่ใช้ตามโอกาส กาลเทศะ และความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลที่เป็นผู้ส่งสารและผู้รับสาร ซึ่งกลุ่มบุคคลในสังคมแบ่งออกเป็นหลายกลุ่มหลายชนชั้นตามสภาพอาชีพถิ่นที่อยู่อาศัย ฯลฯ ภาษาจึงมีความแตกต่างกันเป็นระดับตามกลุ่มคนที่ใช้ภาษา เช่น ถ้อยคำที่ใช้กับพระภิกษุสงฆ์และพระราชวงศ์ อาจใช้ถ้อยคำภาษาอย่างหนึ่ง ภาษาของนักเขียนหรือกวีที่สื่อสารถึงผู้อ่าน ก็จะใช้ภาษาอีกอย่างหนึ่ง เป็นต้น ดังนั้น ผู้ใช้ภาษาจึงต้องคำนึงถึงความเหมาะสม และเลือกใช้ให้ถูกต้องเหมาะสม กับกาลเทศะและบุคคล
ในภาษาไทยจะแบ่งระดับของภาษาเป็น 5 ระดับ คือ
2.1 ภาษาระดับพิธีการ เป็นภาษาที่ใช้ในงานพระราชพิธี หรืองานพิธีของรัฐ
2.2 ภาษาระดับทางการ เป็นภาษที่ใช้ในที่ประชุมที่มีแบบแผน ในการบรรยาย การอภิปรายที่เป็นทางการ เป็นต้น
2.3 ภาษาระดับกึ่งทางการ เป็นภาษาที่ใช้ในการอภิปราย ประชุมกลุ่มในห้องเรียน การพูดทางวิทยุและโทรทัศน์ ข่าว และบทความในหนังสือพิมพ์ เป็นต้น
2.4 ภาษาระดับสนทนาทั่วไป เป็นภาษาที่ใช้สนทนาทั่ว ๆ ไปกับคนที่ไม่คุ้นเคยมากนัก เช่น ครูพูดกับผู้เรียน เป็นต้น
2.5 ภาษาระดับกันเอง เป็นภาษาระดับที่เรียกว่าระดับปากเป็นภาษาสนทนาของครอบครัว ในหมู่เพื่อนสนิท หรือญาติพี่น้องพูดอยู่ในวงจำกัด
3) เรื่องของน้ำเสียงในภาษา ซึ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับอารมณ์ ความรู้สึกของผู้ส่งสารที่ปรากฏ
ให้รู้สึก หรือเป็นร่องรอยในภาษา หรือเนื้อหาที่ผู้ส่งสารต้องการจะสื่อออกมา เป็นความรู้สึกแฝงที่ปรากฎในการสื่อสาร
4) เรื่องของหลักการใช้ภาษา เช่น เรื่องของคำสรรพนามที่เกื่ยวกับบุคคล คำลักษณะนาม คำราชาศัพท์ การออกเสียง ร ล และการออกเสียงคำควบกล้ำ
5) เรื่องของการพัฒนาบุคลิกภาพและการแต่งกาย ผู้ทำหน้าที่พิธีกร เป็นผู้ที่ต้องปรากฏกาย ต่อหน้าคนจำนวนมาก บุคลิกภาพและการแต่งกายจึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะปรากฏเป็นสิ่งแรกให้ผู้ที่พบเห็นเกิดความประทับใจหรือไม่ ถ้าประทับใจผู้คนจะจดจ่อรอฟังการพูดเป็นประการต่อมา ถ้าผู้พูดสามารถพูดได้ประทับใจ จะก่อเกิดเป็นความนิยมชมชอบตามมาและจะก่อให้เกิดเป็นความสำเร็จของอาชีพในที่สุด
6) ด้านการพัฒนาองค์ความรู้ในตนเอง พิธีกรต้องหมั่นแสวงหาความรู้ที่เกี่ยวข้องกับการประกอบอาชีพ เพื่อนำไปสู่การพัฒนาอาชีพของตนเอง เช่น เรื่องของการวัดผลประเมินผลการทำหน้าที่ของตนเองด้วยรูปแบบวิธีการต่าง ๆ ซึ่งจะก่อให้เกิดการพัฒนาอาชีพให้ดียิ่งขึ้น
แหล่งที่ควรศึกษาพิ่มเติม
แหล่งที่ควรศึกษาเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มพูนความรู้ในอาชีพนี้ ได้แก่
1. สถาบันฝึกอบรมของเอกชน ซึ่งผู้เรียนสามารถหาข้อมูลรายชื่อได้จากอินเตอร์เน็ต
2. หน่วยงานของทางราชการ ได้แก่ กรมประชาสัมพันธ์ สถาบันส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยภาคต่าง ๆ
3. สถานศึกษาต่าง ๆ ของรัฐบาล เช่น ผู้ที่จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ต้องศึกษาต่อในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย และเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา คณะนิเทศศาสตร์ คณะวารสาร-ศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ ถ้าเข้าศึกษาในคณะศิลปศาสตร์หรืออักษรศาสตร์ต้องอบรมเพิ่มเติมในเรื่องเทคนิคการจัดรายการวิทยุเพิ่มเติม