การสร้างคำ
คำที่ใช้ในภาษาไทยดั้งเดิม ส่วนมากจะเป็นคำพยางค์เดียว เช่น พี่ น้อง เดือนดาว จอบ ไถ หมู หมา กิน นอน ดี ชั่ว สอง สาม เป็นต้น เมื่อโลกวิวัฒนาการ มีสิ่งแปลกใหม่เพิ่มขึ้น ภาษาไทยก็จะต้องพัฒนาทั้งรูปคำและการเพิ่มจำนวนคำ เพื่อให้มีคำในการสื่อสารให้เพียงพอกับการเปลี่ยนแปลงของวัตถุสิ่งของและเหตุการณ์ต่าง ๆ ด้วยการสร้างคำ ยืมคำและเปลี่ยนแปลงรูปร่างคำ ซึ่งจะมีรายละเอียด ดังนี้
แบบสร้างคำ
แบบสร้างคำ คือ วิธีการนำอักษรมาประสมเป็นคำเกิดความหมายและเสียงของแต่ละพยางค์ ใน 1 คำ จะต้องมีส่วนประกอบ 3 ส่วน เป็นอย่างน้อย คือ สระ พยัญชนะ และวรรณยุกต์ อย่างมากไม่เกิน 5 ส่วน คือ สระ พยัญชนะ วรรณยุกต์ ตัวสะกด ตัวการันต์
รูปแบบของคำ
คำไทยที่ใช้อยู่ปัจจุบันมีทั้งคำที่เป็นคำไทยดั้งเดิม คำที่มาจากภาษาต่างประเทศ คำศัพท์เฉพาะทางวิชาการ คำที่ใช้เฉพาะในการพูด คำชนิดต่าง ๆ เหล่านี้มีชื่อเรียกตามลักษณะและแบบสร้างของคำ เช่น คำมูล คำประสม คำสมาส คำสนธิ คำพ้องเสียง คำพ้องรูป คำเหล่านี้มีลักษณะพิเศษเฉพาะ ผู้เรียนจะเข้าใจลักษณะแตกต่างของคำเหล่านี้ได้จากแบบสร้างของคำความหมายและแบบสร้างของคำชนิดต่าง ๆ
ความหมายและแบบสร้างของคำชนิดต่าง ๆ
คำมูล
คำมูล คือ เป็นคำเดียวที่มิได้ประสมกับคำอื่น อาจมี 1 พยางค์ หรือหลายพยางค์ก็ได้ แต่เมื่อแยกพยางค์แล้วแต่ละพยางค์ไม่มีความหมายหรือมีความหมายเป็นอย่างอื่นไม่เหมือนเดิม คำภาษาไทยที่ใช้มาแต่เดิมส่วนใหญ่เป็นคำมูลที่มีพยางค์เดียวโดด ๆ เช่น พ่อ แม่ กิน เดิน เป็นต้น
ตัวอย่างแบบสร้างของคำมูล
คน มี 1 พยางค์ คือ คน
สิงโต มี 2 พยางค์ คือ สิง - โต
นาฬิกา มี 3 พยางค์ คือ นา - ฬิ - กา
ทะมัดทะแมง มี 4 พยางค์ คือ ทะ - มัด - ทะ - แมง
กระเหี้ยนกระหือรือ มี 5 พยางค์ คือ กระ - เหี้ยน - กระ - หือ - รือ
จากตัวอย่างแบบสร้างของคำมูล จะเห็นว่าเมื่อแยกพยางค์จากคำแล้ว แต่ละพยางค์ไม่มีความหมายในตัวหรืออาจมีความหมายไม่ครบทุกพยางค์ คำเหล่านี้จะมีความหมายก็ต่อเมื่อนำ
ทุกพยางค์มารวมเป็นคำ ลักษณะเช่นนี้ ถือว่าเป็นคำเดียวโดด ๆ
คำประสม
คำประสม คือ คำที่สร้างขึ้นใหม่โดยนำคำมูลตั้งแต่ 2 คำขึ้นไปมาประสมกัน เกิดเป็นคำใหม่ขึ้นอีกคำหนึ่ง
1. เกิดความหมายใหม่
2. ความหมายคงเดิม
3. ความหมายให้กระชับขึ้น
ตัวอย่างแบบสร้างคำประสม
แม่ยาย เกิดจากคำมูล 2 คำ คือ แม่กับยาย
ลูกน้ำ เกิดจากคำมูล 2 คำ คือ ลูกกับน้ำ
ภาพยนตร์จีน เกิดจากคำมูล 2 คำ คือ ภาพยนตร์กับจีน
จากตัวอย่างแบบสร้างคำประสม จะเห็นว่าเมื่อแยกคำประสมออกจากกัน จะได้คำมูลซึ่งแต่ละคำมีความหมายในตัวเอง
ชนิดของคำประสม
การนำคำมาประสมกัน เพื่อให้เกิดคำใหม่ขึ้นเรียกว่า “คำประสม” นั้น มีวิธีสร้างคำ
ตามแบบสร้างอยู่ 5 วิธีด้วยกัน คือ
คำประสมที่เกิดจากคำมูลที่มีรูป เสียง และความหมายต่างกัน เมื่อประสมกันเกิดเป็น
ความหมายใหม่ ไม่ตรงกับความหมายเดิม เช่น
แม่ หมายถึง หญิงที่ให้กำเนิดลูก
ยาย หมายถึง แม่ของแม่
แม่กับยาย ได้คำใหม่ คือ แม่ยาย หมายถึง แม่ของเมีย
คำประสมชนิดนี้มีมากมาย เช่น แม่ครัว ลูกเสือ พ่อตา มือลิง ลูกน้ำ ลูกน้อง ปากกา เป็นต้น
2. คำประสมที่เกิดจากคำมูลที่มีรูป เสียง และความหมายต่างกัน เมื่อประสมกันแล้วเกิดความหมายใหม่ แต่ยังคงรักษาความหมายของคำเดิมแต่ละคำ เช่น
หมอ หมายถึง ผู้รู้ ผู้ชำนาญ ผู้รักษาโรค
ดู หมายถึง ใช้สายตาเพื่อให้เห็น
หมอกับดู ได้คำใหม่ คือ หมอดู หมายถึง ผู้ทำนายโชคชะตาราศี
คำประสมชนิดนี้ เช่น หมอความ นักเรียน ชาวนา ของกิน ร้อนใจ เป็นต้น
3. คำประสมที่เกิดจากคำมูลที่มีรูป เสียง ความหมายเหมือนกัน เมื่อประสมแล้วเกิดความหมายต่างจากความหมายเดิมเล็กน้อย อาจมีความหมายทางเพิ่มขึ้นหรือลดลงก็ได้ การเขียนคำประสมแบบนี้จะใช้ไม้ยมก ๆ เติมข้างหลัง เช่น
เร็ว หมายถึง รีบ ด่วน
เร็ว ๆ หมายถึง รีบ ด่วนยิ่งขึ้น เป็นความหมายที่เพิ่มขึ้น
ดำ หมายถึง สีดำ
ดำ ๆ หมายถึง ดำไม่สนิท เป็นความหมายในทางลดลง
คำประสมชนิดนี้ เช่น ช้า ๆ ซ้ำ ๆ ดี ๆ น้อย ๆ ไป ๆ มา ๆ เป็นต้น
4. คำประสมที่เกิดจากคำมูลที่มีรูปและเสียงต่างกัน แต่มีความหมายเหมือนกัน เมื่อนำมาประสมกันแล้วความหมายไม่เปลี่ยนไปจากเดิม เช่น
ยิ้ม หมายถึง แสดงให้ปรากฏว่าชอบใจ
แย้ม หมายถึง คลี่ เผยอปากแสดงความพอใจ
ยิ้ม แย้ม ได้คำใหม่ คือ ยิ้มแย้ม หมายถึง ยิ้มอย่างชื่นบาน คำประสมชนิดนี้
มีมากมาย เช่น โกรธเคือง รวดเร็ว แจ่มใส เสื่อสาด บ้านเรือน วัดวาอาราม ถนนหนทาง เป็นต้น
5. คำประสมที่เกิดจากคำมูลที่มีรูป เสียง และความหมายต่างกัน เมื่อนำมาประสมจะตัดพยางค์ หรือย่นพยางค์ให้สั้นเข้า เช่น คำว่า ชันษา มาจากคำว่า ชนมพรรษา
ชนม หมายถึง การเกิด
พรรษา หมายถึง ปี
ชนม พรรษา ได้คำใหม่ คือ ชนมพรรษา หมายถึง อายุ
คำประสมประเภทนี้ ได้แก่
เดียงสา มาจาก เดียง ภาษา
สถาผล มาจาก สถาพร ผล
เปรมปรีดิ์ มาจาก เปรม ปรีดา
คำสมาส
คำสมาสเป็นวิธีสร้างคำใหม่ในภาษาบาลีและสันสกฤต โดยนำคำตั้งแต่ 2 คำขึ้นไปมาประกอบกันคล้ายคำประสม แต่คำที่นำมาประกอบแบบคำสมาสนั้นนำมาประกอบหน้าศัพท์ การแปลคำสมาสจึงแปลจากข้างหลังมาข้างหน้า เช่น
บรม ยิ่งใหญ่ ครู บรมครู ครูผู้ยิ่งใหญ่
สุนทร ไพเราะ พจน์ คำพูด สุนทรพจน์ คำพูดที่ไพเราะ
การนำคำมาสมาสกัน อาจเป็นบาลีสมาสกับบาลี สันสกฤตสมาสกับสันสกฤต หรือบาลี สมาสสันสกฤตก็ได้
ในบางครั้งคำประสมที่เกิดจากคำไทยประสมกันกับคำบาลีหรือสันสกฤตบางคำมีลักษณะคล้ายคำสมาสเพราะแปลจากข้างหลังมาข้างหน้า เช่น ราชวัง แปลว่า วังของพระราชา อาจจัดว่าเป็นคำสมาสได้ส่วนคำประสมที่มีความหมายจากข้างหน้าไปข้างหลัง และมิได้ให้ความผิดแผกแม้คำนั้นประสมกับคำบาลีหรือสันสกฤตก็ถือว่าเป็นคำประสม เช่น มูลค่า ทรัพย์สิน เป็นต้น
การเรียงคำตามแบบสร้างของคำสมาส
1. ถ้าเป็นคำที่มาจากบาลีและสันสกฤต ให้เรียงบทขยายไว้ข้างหน้า เช่น
อุทกภัย หมายถึง ภัยจากน้ำ
อายุขัย หมายถึง สิ้นอายุ
2. ถ้าพยางค์ท้ายของคำหน้าประวิสรรชนีย์ ให้ตัดวิสรรชนีย์ออก เช่น
ธุระ สมาสกับ กิจ เป็น ธุรกิจ
พละ สมาสกับ ศึกษา เป็น พลศึกษา
3. ถ้าพยางค์ท้ายของคำหน้ามีตัวการันต์ให้ตัดการันต์ออกเมื่อเข้าสมาส เช่น
ทัศน์ สมาสกับ ศึกษา เป็น ทัศนศึกษา
แพทย์ สมาสกับ สมาคม เป็น แพทยสมาคม
4. ถ้าคำซ้ำความ โดยคำหนึ่งไขความอีกคำหนึ่ง ไม่มีวิธีเรียงคำที่แน่นอน เช่น
นร คน สมาสกับ ชน คน เป็น นรชน คน
วิถี ทาง สมาสกับ ทาง ทาง เป็น วิถีทาง ทาง
คช ช้าง สมาสกับ สาร ช้าง เป็น คชสาร ช้าง
การอ่านคำสมาส
การอ่านคำสมาสมีหลักอยู่ว่า ถ้าพยางค์ท้ายของคำลงท้ายด้วย สระอะ อิ อุ เวลาเข้าสมาสให้อ่านออกเสียง อะ อิ อุ นั้น เพียงครึ่ง เสียง เช่น
เกษตร สมาสกับ ศาสตร์ เป็น เกษตรศาสตร์ อ่านว่า กะ เสด ตระ สาด
อุทก สมาสกับ ภัย เป็น อุทกภัย อ่านว่า อุ ทก กะ ไพ
ประวัติ สมาสกับ ศาสตร์ เป็น ประวัติศาสตร์ อ่านว่า ประ หวัด ติ สาด
ภูมิ สมาสกับ ภาค เป็น ภูมิภาค อ่านว่า พู มิ พาก
เมรุ สมาสกับ มาศ เป็น เมรุมาศ อ่านว่า เม รุ มาด
ข้อสังเกต
1. มีคำไทยบางคำ ที่คำแรกมาจากภาษาบาลีสันสกฤต ส่วนคำหลังเป็นคำไทย คำเหล่านี้ได้แปลความหมายตามกฎเกณฑ์ของคำสมาส แต่อ่านเหมือนกับว่าเป็นคำสมาส ทั้งนี้ เป็นการอ่านตามความนิยม เช่น
เทพเจ้า อ่านว่า เทพ พะ เจ้า
พลเรือน อ่านว่า พล ละ เรือน
กรมวัง อ่านว่า กรม มะ วัง
2. โดยปกติการอ่านคำไทยที่มีมากกว่า 1 พยางค์ มักอ่านตรงตัว เช่น
บากบั่น อ่านว่า บาก บั่น
ลุกลน อ่านว่า ลุก ลน
มีแต่คำไทยบางคำที่เราอ่านออกเสียงตัวสะกดด้วย ทั้งที่เป็นคำไทยมิใช่คำสมาส ซึ่งผู้เรียนจะต้องสังเกต เช่น
ตุ๊กตา อ่านว่า ตุ๊ก กะ ตา
จักจั่น อ่านว่า จัก กะ จั่น
จั๊กจี้ อ่านว่า จั๊ก กะ จี้
ชักเย่อ อ่านว่า ชัก กะ เย่อ
สัปหงก อ่านว่า สับ ปะ หงก
คำสนธิ
คำสนธิ คือ การเชื่อมเสียงให้กลมกลืนกันตามหลักไวยกรณ์บาลีสันสกฤต เป็นการเชื่อมอักษรให้ต่อเนื่องกันเพื่อตัดอักษรให้น้อยลง ทำให้คำพูดสละสลวยนำไปใช้ประโยชน์ในการแต่งคำประพันธ์
คำสนธิ เกิดจากการเชื่อมคำในภาษาบาลีและสันสกฤตเท่านั้น ถ้าคำที่นำมาเชื่อมกันไม่ใช่ภาษาบาลีสันสกฤต ไม่ถือว่าเป็นสนธิ เช่น กระยาหาร มาจากคำ กระยา อาหาร ไม่ใช่สนธิ เพราะ กระยา เป็นคำไทยและถึงแม้ว่าคำที่นำมารวมกันแต่ไม่ได้เชื่อมกัน เป็นเพียงประสมคำเท่านั้น ก็ไม่ถือว่าสนธิ เช่น
ทิชาชาติ มาจาก ทิชา ชาติ
ทัศนาจร มาจาก ทัศนา จร
วิทยาศาสตร์ มาจาก วิทยา ศาสตร์
แบบสร้างของคำสนธิที่ใช้ในภาษาบาลีและสันสกฤต มีอยู่ 3 ประเภท คือ
1. สระสนธิ
2. พยัญชนะสนธิ
3. นิคหิตสนธิ
สำหรับการสนธิในภาษาไทย ส่วนมากจะใช้แบบสร้างของสระสนธิ
แบบสร้างของคำสนธิที่ใช้ในภาษาไทย
1. สระสนธิ
การสนธิสระทำได้ 3 วิธี คือ
1.1 ตัดสระพยางค์ท้าย แล้วใช้สระพยางค์หน้าของคำหลังแทน เช่น
มหา สนธิกับ อรรณพ เป็น มหรรณพ
นร สนธิกับ อินทร์ เป็น นรินทร์
ปรมะ สนธิกับ อินทร์ เป็น ปรมินทร์
รัตนะ สนธิกับ อาภรณ์ เป็น รัตนาภรณ์
วชิร สนธิกับ อาวุธ เป็น วชิราวุธ
ฤทธิ สนธิกับ อานุภาพ เป็น ฤทธานุภาพ
มกร สนธิกับ อาคม เป็น มกราคม
1.2 ตัดสระพยางค์ท้ายของคำหน้า แล้วใช้สระพยางค์หน้าของคำหลัง แต่เปลี่ยนรูป อะ เป็น อา อิ เป็น เอ อุ เป็น อู หรือ โอ ตัวอย่างเช่น
เปลี่ยนรูป อะ เป็นอา
เทศ สนธิกับ อภิบาล เป็น เทศาภิบาล
ราช สนธิกับ อธิราช เป็น ราชาธิราช
ประชา สนธิกับ อธิปไตย เป็น ประชาธิปไตย
จุฬา สนธิกับ อลงกรณ์ เป็น จุฬาลงกรณ์
เปลี่ยนรูป อิ เป็น เอ
นร สนธิกับ อิศวร เป็น นเรศวร
ปรม สนธิกับ อินทร์ เป็น ปรเมนทร์
คช สนธิกับ อินทร์ เป็น คเชนทร์
เปลี่ยนรูป อุ เป็น อู หรือ โอ
ราช สนธิกับ อุปถัมภ์ เป็น ราชูปถัมภ์
สาธารณะ สนธิกับ อุปโภค เป็น สาธารณูปโภค
วิเทศ สนธิกับ อุบาย เป็น วิเทโศบาย
สุข สนธิกับ อุทัย เป็น สุโขทัย
นัย สนธิกับ อุบาย เป็น นโยบาย
1.3 เปลี่ยนสระพยางค์ท้ายของคำหน้า อิ อี เป็น ย อุ อู เป็น ว แล้วใช้สระ พยางค์หน้าของคำหลังแทน เช่น
เปลี่ยน อิ อี เป็น ย
มติ สนธิกับ อธิบาย เป็น มัตยาธิบาย
รังสี สนธิกับ โอภาส เป็น รังสโยภาส รังสีโยภาส
สามัคคี สนธิกับ อาจารย์ เป็น สามัคยาจารย์
เปลี่ยน อุ อู เป็น ว
สินธุ สนธิกับ อานนท์ เป็น สินธวานนท์
ธนู สนธิกับ อาคม เป็น ธันวาคม
2. พยัญชนะสนธิ
พยัญชนะสนธิในภาษาไทยมีน้อย คือ เมื่อนำคำ 2 คำมาสนธิกัน ถ้าหากว่าพยัญชนะตัวสุดท้ายของคำหน้ากับพยัญชนะตัวหน้าของคำหลังเหมือนกัน ให้ตัดพยัญชนะที่เหมือนกันออกเสียงตัวหนึ่ง เช่น
เทพ สนธิกับ พนม เป็น เทพนม
นิวาส สนธิกับ สถาน เป็น นิวาสถาน
3. นิคหิตสนธิ
นิคหิตสนธิในภาษาไทย ใช้วิธีเดียวกับวิธีสนธิในภาษาบาลีและสันสกฤต คือ ให้สังเกตพยัญชนะตัวแรกของคำหลังว่าอยู่ในวรรคใด แล้วแปลงนิคหิตเป็นพยัญชนะตัวสุดท้ายของวรรคนั้น เช่น
สํ สนธิกับ กรานต์ เป็น สงกรานต์
ก เป็นพยัญชนะวรรค กะ พยัญชนะตัวสุดท้ายของวรรค กะ คือ ง
สํ สนธิกับ คม เป็น สังคม
ค เป็นพยัญชนะวรรค กะ พยัญชนะตัวสุดท้ายของวรรค กะ คือ ง
สํ สนธิกับ ฐาน เป็น สัณฐาน
ฐ เป็นพยัญชนะวรรค กะ พยัญชนะตัวสุดท้ายของวรรค กะ คือ ณ
สํ สนธิกับ ปทาน เป็น สัมปทาน
ป เป็นพยัญชนะวรรค กะ พยัญชนะตัวสุดท้ายของวรรค กะ คือ ม
ถ้าพยัญชนะตัวแรกของคำหลังเป็นเศษวรรค ให้คงนิคหิตตามรูปเดิม อ่านออกเสียง อังหรืออัน เช่น
สํ สนธิกับ วร เป็น สังวร
สํ สนธิกับ หรณ์ เป็น สังหรณ์
สํ สนธิกับ โยค เป็น สังโยค
ถ้า สํ สนธิกับคำที่ขึ้นต้นด้วยสระ จะเปลี่ยนนิคหิตเป็น ม เสมอ เช่น
สํ สนธิกับ อิทธิ เป็น สมิทธิ
สํ สนธิกับ อาคม เป็น สมาคม
สํ สนธิกับ อาส เป็น สมาส
สํ สนธิกับ อุทัย เป็น สมุทัย
คำแผลง
คำแผลง คือ คำที่สร้างขึ้นใช้ในภาษาไทยอีกวิธีหนึ่ง โดยเปลี่ยนแปลงอักษรที่ประสมอยู่ใน คำไทยหรือคำที่มาจากภาษาอื่นให้ผิดไปจากเดิม ด้วยวิธีตัด เติม หรือเปลี่ยนรูป แต่ยังคงรักษาความหมายเดิมหรือเค้าความเดิมแบบสร้างของการแผลงคำ
การแผลงคำทำได้ 3 วิธี คือ
1. การแผลงสระ
2. การแผลงพยัญชนะ
3. การแผลงวรรณยุกต์