แนวทางการเขียนเรียงความ
เมื่อได้ศึกษาองค์ประกอบอันจะนำไปใช้ในการเขียนเรียงความแล้ว ก่อนที่จะลงมือเขียนเรียงความผู้เขียนต้องเลือกเรื่องและประเภทของเรื่องที่จะเขียน หลังจากนั้นจึงวางโครงเรื่องให้ชัดเจนเพื่อเรียบเรียงเนื้อหา ซึ่งการเรียบเรียงเนื้อหานี้ต้องอาศัยความสามารถในการเขียนย่อหน้าและการเชื่อมโยงย่อหน้าให้เป็นเนื้อหาเดียวกัน
1. การเลือกเรื่อง ปัญหาสำคัญประการหนึ่งของผู้เขียนที่ไม่สามารถเริ่มต้นเขียนได้ คือ ไม่ทราบจะเขียนเรื่องอะไร วิธีการแก้ปัญหาดังกล่าวคือ หัดเขียนเรื่องใกล้ตัวของผู้เขียน หรือเรื่องที่ผู้เขียนมีประสบการณ์ดีรวมทั้งเรื่องที่ผู้เขียนมีความรู้เป็นอย่างดี หรือเขียนเรื่องที่สนใจ เป็นเรื่องราวหรือเหตุการณ์ที่กำลังอยู่ในความสนใจของบุคคลทั่วไป นอกจากนี้ผู้เขียนอาจพิจารณาองค์ประกอบ 4 ประการ เพื่อเป็นแนวทางในการตัดสินใจเลือกเรื่องที่จะเขียนดังต่อไปนี้
1.1 กลุ่มผู้อ่าน ผู้เขียนควรเลือกเขียนเรื่องสำหรับกลุ่มผู้อ่านเฉพาะและควรเป็นกลุ่มผู้อ่านที่ผู้เขียนรู้จักดี ทั้งในด้านการศึกษา ประสบการณ์ วัย ฐานะ ความสนใจและความเชื่อ
1.2 ลักษณะเฉพาะของเรื่อง เรื่องที่มีลักษณะพิเศษจึงดึงดูดใจให้ผู้อ่านสนใจ ลักษณะพิเศษดังกล่าว ได้แก่ ความแปลกใหม่ ความถูกต้องแม่นยำ แสดงความมีรสชาติ
1.3 เวลา เรื่องที่จะเขียนหากเป็นเรื่องที่อยู่ในกาลสมัยหรือเป็นปัจจุบัน จะมีผู้สนใจ อ่านมาก ส่วนเรื่องที่พ้นสมัยจะมีผู้อ่านน้อย นอกจากนี้การให้เวลาในการเขียนของผู้เขียนก็เป็นสิ่งสำคัญถ้าผู้เขียนมีเวลามาก ก็จะมีเวลาค้นคว้าหาข้อมูลเพื่อการเขียนและการอ้างอิงได้มาก ถ้าผู้เขียนมี เวลาน้อย การเขียนด้วยเวลาเร่งรัดก็อาจทำให้เนื้อหาขาดความสมบูรณ์ด้วยการอ้างอิง
1.4 โอกาส การเขียนเรื่องประเภทใดขึ้นอยู่กับโอกาสด้วย เช่น ในโอกาสเทศกาลและวันสำคัญทางราชการและทางศาสนา ก็เลือกเขียนเรื่องที่เกี่ยวกับโอกาสหรือเทศกาลนั้น ๆ เป็นต้น
2. ประเภทของเรื่องที่จะเขียน การแบ่งประเภทของเรื่องที่จะเขียนนั้นพิจารณาจากจุดมุ่งหมายในการเขียน ซึ่งแบ่งได้เป็น 3 ประเภท คือ
2.1 เรื่องที่เขียนเพื่อความรู้ เป็นการถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ รวมทั้งหลักการตลอดจนข้อเท็จจริงต่าง ๆ ใช้วิธีเขียนบอกเล่าหรือบรรยายรายละเอียด
2.2 เรื่องที่เขียนเพื่อความเข้าใจ เป็นการอธิบายให้ผู้อื่นเข้าใจความรู้ หลักการหรือประสบการณ์ต่าง ๆ การเขียนเพื่อความเข้าใจมักควบคู่ไปกับการเขียนเพื่อให้เกิดความรู้
2.3 การเขียนเพื่อโน้มน้าวใจ เป็นการเขียนเพื่อให้ผู้อ่านเชื่อถือและยอมรับ เพื่อให้ผู้อ่านได้รับอรรถรสทางใจ ให้สนุกสนาน เพลิดเพลินไปกับข้อเขียนนั้น ๆ
3. การวางโครงเรื่องก่อนเขียน การเขียนเรียงความเป็นการเสนอความคิดต่อผู้อ่าน ผู้เขียนจึงต้องรวบรวมเลือกสรรและจัดระเบียบความคิด แล้วนำมาเรียบเรียงเป็นโครงเรื่อง การรวบรวมความคิดอาจจะรวบรวมข้อมูลจากประสบการณ์ของผู้เขียนเอง นำส่วนที่เป็นประสบการณ์ตรงและประสบการณ์ทางอ้อม ซึ่งเกิดจาก การฟัง การอ่าน การพูดคุย ซักถาม เป็นต้น เมื่อได้ข้อมูลแล้วก็นำข้อมูลนั้นมาจัดระเบียบความคิด โดยจัดเรียงลำดับตามเวลา เหตุการณ์ ความสำคัญและเหตุผล แล้วจึงเขียนเป็นโครงเรื่อง เพื่อเป็นแนวทางให้งานเขียนอยู่ในกรอบ ไม่ออกนอกเรื่อง และสามารถนำมาเขียนขยายความเป็นเนื้อเรื่องที่สมบูรณ์ เขียนชื่อเรื่องไว้กลางหน้ากระดาษ เลือกหัวข้อที่น่าสนใจที่สุดเป็นคำนำ และเลือกหัวข้อ ที่น่าประทับใจที่สุดเป็นสรุป นอกนั้นเป็นเนื้อเรื่อง
3.1 ชนิดของโครงเรื่อง การเขียนโครงเรื่องนิยมเขียน 2 แบบ คือ โครงเรื่องแบบหัวข้อและโครงเรื่องแบบประโยค
3.1.1 โครงเรื่องแบบหัวข้อ เขียนโดยใช้คำหรือวลีสั้น ๆ เพื่อเสนอประเด็นความคิด
3.1.2 โครงเรื่องแบบประโยค เขียนเป็นประโยคที่สมบูรณ์ โครงเรื่องแบบนี้มีรายละเอียดที่ชัดเจนกว่าโครงเรื่องแบบหัวข้อ
3.2 ระบบในการเขียนโครงเรื่อง การแบ่งหัวข้อในการวางโครงเรื่องอาจแบ่งเป็น 2 ระบบ คือ
3.2.1 ระบบตัวเลขและตัวอักษร เป็นระบบที่นิยมใช้กันทั่วไป โดยกำหนดตัวเลขหรือประเด็นหลัก และตัวอักษรสำหรับประเด็นรอง ดังนี้
1)
(1)
(2)
2)
(1)
(2)
3.2.2 ระบบตัวเลข เป็นการกำหนดตัวเลขหลักเดียวให้กับประเด็นหลักและตัวเลขสองหลักและสามหลัก ให้กับประเด็นรอง ๆ ลงไป ดังนี้
1)
(1.1)
(1.2)
2)
(2.1)
(2.2)
3.3 หลักในการวางโครงเรื่อง หลักในการวางโครงเรื่องนั้นควรแยกประเด็นหลักและประเด็นย่อจากกันให้ชัดเจน โดยประเด็นหลักทุกข้อควรมีความสำคัญเท่ากัน ส่วนประเด็นย่อยจะเป็นหัวข้อที่สนับสนุนประเด็นหลัก ทั้งนี้ ทุกประเด็นต้องต่อเนื่องและสอดคล้องกัน จึงจะเป็นโครงเรื่องที่ดี
ตัวอย่างโครงเรื่องแบบหัวข้อ
เรื่อง ปัญหาการติดยาเสพติดของวัยรุ่นไทย
1. สาเหตุของการติดยาเสพติด
ก. ตามเพื่อน
ข. การหย่าร้างของบิดา มารดา
ค. พ่อแม่ไม่มีเวลาให้ลูก
ง. การบังคับขู่เข็ญ
2. สภาพปัญหาของการติดยาเสพติดของวัยรุ่นไทย
ก. จำนวนผู้ติดยา
ข. การก่ออาชญากรรม
ค. การค้าประเวณี
3. แนวทางการแก้ไขปัญหา
ก. การสร้างภูมิต้านทานในครอบครัว
ข. การสร้างชุมชนให้เข้มแข็ง
ค. กระบวนการบำบัดรักษาแบบผสมผสาน
ตัวอย่างโครงเรื่องแบบประโยค
เรื่อง ปัญหาการติดยาเสพติดของวัยรุ่นไทย
1. สาเหตุของการติดยาเสพติด มีหลายสาเหตุทั้งสาเหตุที่เกิดจากตัวเองและจากสิ่งแวดล้อม
ก. เสพตามเพื่อน เพราะความอยากลอง คิดว่าลองครั้งเดียวคงไม่ติด
ข. บิดา มารดา หย่าร้างกัน ลูกต้องอยู่กับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทำให้รู้สึกว้าเหว่ เหงา และเศร้าลึก ๆ
ค. พ่อแม่ให้เวลากับการทำงานหาเงินและการเข้าสังคม ไม่มีเวลาให้ครอบครัว
ง. ในโรงเรียนมีกลุ่มนักเรียนที่ทั้งเสพและค้ายาเสพติดเอง ใช้กำลังข่มขู่บีบบังคับให้ซื้อยา
2. สภาพปัญหาของการติดยาเสพติดของวัยรุ่นไทย
ก. จำนวนวัยรุ่นที่ติดยาเสพติดในปัจจุบันมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
ข. ปัญหาที่ตามมาของการติดยาเสพติด คือ การก่ออาชญากรรมทุกประเภท
ค. ในหมู่วัยรุ่นหญิงที่ติดยาเสพติด มักตกเป็นเหยื่อของการค้าประเวณีในที่สุด
3. แนวทางการแก้ไขปัญหา
ก. การให้ความรัก ความอบอุ่น และความเอื้ออาทร รวมทั้งการมีเวลาให้กับคนในครอบครัวเป็นภูมิต้านทานปัญหายาเสพติดได้อย่างดี
ข. การทำให้คนในชุมชนรักชุมชน ช่วยเหลือแก้ปัญหาในชุมชนจะเป็นเกราะป้องกันปัญหายาเสพติดได้อย่างดี เพราะเขาร่วมกันสอดส่องดูแลป้องกันชุมชนของตนเองจาก ยาเสพติด
ค. สังคมใดที่มีผู้คนสนใจใฝ่รู้ ใฝ่แสวงหาข้อมูลข่าวสาร ผู้คนจะมีความรู้เพียงพอที่จะพาตัว
ให้พ้นจากภัยคุกคามทุกรูปแบบด้วยปัญญาความรู้ที่มี
ง. กระบวนการบำบัดผู้ติดยามิให้กลับมาติดใหม่ ทำได้ด้วยการให้การรักษาทางยาควบคู่กับการบำบัดทางจิตใจ ด้วยการใช้การปฏิบัติทางธรรม ซึ่งจะเป็นภูมิต้านทานทางใจที่ถาวร
4. การเขียนย่อหน้า การย่อหน้าเป็นสิ่งจำเป็นอีกอย่างหนึ่ง เพราะจะช่วยให้ผู้อ่าน อ่านเข้าใจง่ายและอ่านได้เร็วมีช่องว่างให้ได้พักสายตา ผู้เขียนเรียงความได้ดีต้องรู้หลักในการเขียนย่อหน้าและนำย่อหน้าแต่ละหน้ามาเชื่อมโยงให้สัมพันธ์กัน ในย่อหน้าหนึ่ง ๆ ต้องมีสาระเพียงประการเดียว ถ้าจะขึ้นสาระสำคัญใหม่ต้องขึ้นย่อหน้าใหม่ ดังนั้น การย่อหน้าจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับสาระสำคัญที่ต้องการเขียนถึง ในเนื้อเรื่อง แต่อย่างน้อยการเขียนเรียงความต้องมี 3 ย่อหน้า คือ ย่อหน้าที่เป็นคำนำ เนื้อเรื่องและสรุป
4.1 ส่วนประกอบย่อหน้า 1 ย่อหน้า ประกอบด้วย ประโยคใจความสำคัญและประโยคขยายใจความสำคัญหลาย ๆ ประโยค มาเรียบเรียงต่อเนื่องกัน
4.2 ลักษณะของย่อหน้าที่ดี ย่อหน้าที่ดีควรมีลักษณะ 3 ประการ คือ เอกภาพ สัมพันธภาพ และสารัตถภาพ
4.2.1 เอกภาพ คือ ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน มีประโยคใจความสำคัญในย่อหน้าเพียงหนึ่ง ส่วนขยายหรือสนับสนุนต้องกล่าวถึงใจความสำคัญนั้น ไม่กล่าวนอกเรื่อง
4.2.2 สัมพันธภาพ คือ การเรียบเรียงข้อความในย่อหน้าให้เกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กัน มีการลำดับความอย่างมีระเบียบ นอกจากนี้ ยังควรมีความสัมพันธ์กับย่อหน้าที่มีมาก่อนหรือย่อหน้าที่ตามมาด้วย
4.2.3 สารัตถภาพ คือ การเน้นความสำคัญของย่อหน้าแต่ละย่อหน้าและของเรื่องทั้งหมดโดยใช้ประโยคสั้น ๆ สรุปกินความทั้งหมด อาจทำได้โดยการนำประโยคใจความสำคัญมาไว้ตอนต้นหรือตอนท้าย ย่อหน้า หรือใช้สรุปประโยคหรือวลีที่มีลักษณะซ้ำ ๆ กัน
5. การเชื่อมโยงย่อหน้า การเชื่อมโยงย่อหน้า ทำให้เกิดสัมพันธภาพระหว่างย่อหน้า การเรียงความเรื่องหนึ่งย่อมประกอบด้วยหลายย่อหน้า การเรียงลำดับย่อหน้าตามความเหมาะสมจะทำให้ข้อความเกี่ยวเนื่องเป็นเรื่องเดียวกัน วิธีการเชื่อมโยงย่อหน้าแต่ละย่อหน้าก็เช่นเดียวกับการจัดระเบียบความคิดในการวางโครงเรื่อง ซึ่งมีด้วยกัน 3 วิธี คือ
5.1 การลำดับย่อหน้าตามเวลา อาจลำดับตามเวลาในปฏิทินหรือตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนไปยังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายหลัง
5.2 การลำดับย่อหน้าตามสถานที่ เรียงลำดับข้อมูลตามสถานที่หรือตามความเป็นจริง ที่เกิดขึ้น
5.3 การลำดับย่อหน้าตามเหตุผล อาจเรียงลำดับจากเหตุไปหาผล หรือผลไปหาเหตุ
6. สำนวนภาษา
6.1 ใช้ภาษาให้ถูกหลักภาษา เช่น การใช้ลักษณะนาม ปากกาใช้ว่า “ด้าม” รถใช้ว่า “คัน” พระภิกษุใช้ว่า “รูป” เป็นต้น นอกจากนี้ไม่ควรใช้สำนวนภาษาต่างประเทศ เช่น
ขณะที่ข้าพเจ้าจับรถไฟไปเชียงใหม่ ควรใช้ว่า ขณะที่ข้าพเจ้าโดยสารรถไฟไปเชียงใหม่ บิดาของข้าพเจ้าถูกเชิญไปเป็นวิทยากร ควรใช้ บิดาของข้าพเจ้าได้รับเชิญไปเป็นวิทยากร
6.2 ไม่ควรใช้ภาษาพูด เช่น ดีจัง เมื่อไหร่ ทาน ฯลฯ ควรใช้ภาษาเขียน ได้แก่ ดีมาก เมื่อไร รับประทาน
6.3 ไม่ควรใช้ภาษาแสลง เช่น พ่น ฝอย แจวอ้าว สุดเหวี่ยง ฯลฯ
6.4 ควรหลีกเลี่ยงการใช้คำศัพท์ยากที่ไม่จำเป็น เช่น ปริเวทนากร ฯลฯ ซึ่งมีคำที่ง่ายกว่า ที่ควรใช้คือคำว่า วิตก หรือใช้คำที่ตนเองไม่ทราบความหมายที่แท้จริง เช่น บางคนใช้คำว่าใหญ่โตรโหฐาน คำว่า รโหฐาน แปลว่า ที่ลับ ที่ถูกต้องใช้ ใหญ่โตมโหฬาร เป็นต้น
6.5 ใช้คำให้ถูกต้องตามกาลเทศะและบุคคล เช่น คำสุภาพ คำราชาศัพท์ เป็นต้น
6.6 ผูกประโยคให้กระชับ รัดกุม เช่น “ถ้าเจ้าเดินช้าเช่นนี้ เมื่อไรจะไปถึงที่ที่จะไปสักที” ควรใช้ให้กระชับว่า “ถ้าเจ้าเดินช้าเช่นนี้เมื่อไรจะไปถึงที่หมายสักที” หรือประโยคว่า “อันธรรมดาคนเราเกิดมาในโลกนี้ บ้างก็เป็นคนดี บ้างก็เป็นคนชั่ว” ควรใช้ว่า “คนเราย่อมมีทั้งดีและชั่ว” เป็นต้น
7. การใช้หมายเลขกำกับ หัวข้อในเรียงความจะไม่ใช้หมายเลขกำกับ ถ้าจะกล่าวแยกเป็นข้อ ๆ จะใช้ว่า ประการที่ 1........ประการที่ 2.............หรือประเภทที่ 1..............ประเภทที่ 2.............แต่จะไม่ใช้เป็น 1............2............เรียงลำดับ แบบการเขียนทั่วไป
8. การแบ่งวรรคตอนและเครื่องหมายวรรคตอน เครื่องหมายวรรคตอน เช่น มหัพภาค ( . ) อัฒภาค (; ) จุลภาค ( , ) นั้น ไทยเลียนแบบฝรั่งมาจะใช้หรือไม่ใช้ก็ได้ ถ้าใช้ต้องใช้ให้ถูกต้อง ถ้าไม่ใช้ก็ใช้แบบไทยเดิม คือ การเว้นวรรคตอนโดยเว้นเป็นวรรคใหญ่ วรรคน้อย ตามลักษณะประโยคที่ใช้
9. สำนวนกับโวหาร สำนวนกับโวหารเป็นคำที่มีความหมายอย่างเดียวกันนำมาซ้อนกัน หมายถึง ชั้นเชิง ในการเรียบเรียงถ้อยคำ ในการเขียนเรียงความสำนวนโวหารที่ใช้มี 5 แบบ คือ
9.1 แบบบรรยาย หรือที่เรียกกันว่าบรรยายโวหาร เป็นโวหารเชิงอธิบายหรือเล่าเรื่องอย่างถี่ถ้วนโวหารแบบนี้เหมาะสำหรับเขียนเรื่องประเภทให้ความรู้ เช่น ประวัติ ตำนาน บันทึกเหตุการณ์ ฯลฯ
9.2 แบบพรรณนา หรือที่เรียกว่า พรรณนาโวหาร คือ โวหารที่กล่าวเป็นเรื่องราว อย่างละเอียดให้ผู้อ่านนึกเห็นเป็นภาพ โดยใช้ถ้อยคำที่ทำให้ผู้อ่านเกิดภาพในใจ มโนภาพขึ้น โวหารแบบนี้สำหรับชมความงามของบ้านเมือง สถานที่ บุคคล เกียรติคุณ คุณความดีต่าง ๆ ตลอดจนพรรณนา อานุภาพของกษัตริย์และพรรณนาความรู้สึกต่าง ๆ เช่น รัก โกรธ แค้น ริษยา โศกเศร้า เป็นต้น ตัวอย่างพรรณนาโวหาร เช่น
“เมื่อถึงตอนน้ำตื้นพวกฝีพายต่างช่วยกันถ่อ ทางน้ำค่อยกว้างออกไปเป็นหนองน้ำใหญ่ แต่น้ำสงบนิ่ง น่าประหลาด ป่าร่นแนวไปจากริมหนองปล่อยให้ต้นหญ้าสีเขียวจำพวกอ้อคอยรับแสงสะท้อนสีน้ำเงินแก่จากท้องฟ้า ปุยเมฆสีม่วงลอยไปมาเหนือศีรษะทอดเงาลงมาใต้ใบบัวและดอกบัว สีเงิน เรือนเล็กหลังหนึ่งสร้างไว้บนเสาสูง แลดูดำเมื่อมมาแต่ไกล ตัวเรือนมีต้นชะโอนสองต้น ซึ่งดูเหมือนจะขึ้นอยู่ในราวป่าเบื้องหลัง เอนต้นลงเหนือหลังคา ทั้งต้นและใบคล้ายจะเป็นสัญญาณว่ามีความเศร้าโศกสุดประมาณ”
จากทองสุข เกตุโรจน์ "ทะเลใน" แปลและเรียบเรียงจากเรื่อง "The Lagoon" ของ Joseph Conrad การเขียนแบบสร้างสรรค์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง 2519
9.3 แบบอุปมา หรือที่เรียกว่าอุปมาโวหาร คือ โวหารที่ยกเอาข้อความมาเปรียบเทียบเพื่อประกอบความให้เด่นชัดขึ้น ในกรณีที่หาถ้อยคำมาอธิบายให้เข้าใจได้ยาก เช่น เรื่องที่เป็นนามธรรมทั้งหลาย การจะทำให้ผู้อ่านเข้าใจเด่นชัด ควรนำสิ่งที่มีตัวตนหรือสิ่งที่คิดว่าผู้อ่านเคยพบมาเปรียบเทียบหรืออาจนำกิริยาอาการของสิ่งต่าง ๆ มาเปรียบเทียบก็ได้ เช่น เย็นเหมือนน้ำแข็ง ขาวเหมือนดั่งสำลี ไวเหมือนลิง บางทีอาจนำความรู้สึกที่สัมผัสได้ทางกายมาเปรียบเทียบเป็นความรู้สึกทางใจ เช่น ร้อนใจดังไฟเผา รักเหมือนแก้วตา เป็นต้น โวหารแบบนี้มักใช้แทรกอยู่ในโวหารแบบอื่น ตัวอย่างอุปมาโวหาร เช่น ความสวยเหมือนดอกไม้ เมื่อถึงเวลาจะร่วงโรยตามอายุขัย แต่ความดีเหมือนแผ่นดิน ตราบใดที่โลกดำรงอยู่ ผืนดินจะไม่มีวันสูญหายได้เลย ความดีจึงเป็นของคู่โลก และถาวรกว่าความสวย ควรหรือไม่ถ้าเราจะหันมาเทิดทูนความดีมากกว่าความสวย เราจะได้ทำแต่สิ่งที่ถูกเสียที
9.4 แบบสาธก หรือสาธกโวหาร สาธก หมายถึง ยกตัวอย่างมาอ้างให้เห็น สาธกโวหาร จึงหมายถึงโวหารที่ยกตัวอย่างมาประกอบอ้าง เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจเรื่องได้ชัดเจนขึ้น ตัวอย่างที่ยกมาอาจจะเป็นตัวอย่างบุคคล เหตุการณ์หรือนิทาน โวหารแบบนี้มักแทรกอยู่โวหารแบบอื่น เช่นเดียวกับอุปมาโวหาร ตัวอย่าง สาธกโวหาร “....พึงสังเกตการบูชาในทางที่ผิดให้เกิดโทษ ดังต่อไปนี้
ในสำนักอาจารย์ทิศาปาโมกข์ เมืองตักศิลา มีเด็กวัยรุ่นเป็นลูกศิษย์อยู่หลายคน เรียนวิชาต่างกันตามแต่เขาถนัด มีเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งชื่อ สัญชีวะ อยู่ในหมู่นั้นเรียนเวทย์มนต์เสกสัตว์ตาย ให้ฟื้นคืนชีพได้ตามธรรมเนียมการเรียนเวทย์มนต์ต้องเรียนผูกและเรียนแก้ไปด้วยกัน แต่เขาไม่ได้เรียนมนต์แก้”
มาวันหนึ่ง สัญชีวะกับเพื่อนหลายคนพากันเข้าป่าหาฟืนตามเคย ได้พบเสือโคร่งตัวหนึ่งนอนตายอยู่ “นี่แน่ะเพื่อน เสือตาย” สัญชีวะเอ่ยขึ้น “ข้าจะเสกมนต์ให้เสือตัวนี้ฟื้นคืนชีพขึ้นคอยดูนะเพื่อน” “แน่เทียวหรือ” เพื่อนคนหนึ่งพูด “ลองปลุกมันให้คืนชีพลุกขึ้นดูซิ ถ้าเธอสามารถ” แล้วเพื่อน ๆ คน อื่น ๆ ปีนขึ้นต้นไม้คอยดู “แน่ซีน่า” สัญชีวะยืนยัน แล้วเริ่มร่ายมนต์เสกลงที่ร่างเสือ
พอเจ้าเสือฟื้นคืนชีพขึ้นยืนรู้สึกหิว มองเห็นสัญชีวะพอเป็นอาหารแก้หิวได้ จึงสะบัดแยกเขี้ยวอวดสัญชีวะและคำรามวิ่งปราดเข้ากัดก้านคอสัญชีวะล้มตายลง
เมื่ออาจารย์ได้ทราบข่าวก็สลดใจและอาลัยรักในลูกศิษย์มาก จึงเปล่งอุทานขึ้นว่า “นี่แหละผลของการยกย่องในทางที่ผิด ผู้ยกย่องคนเลวร้าย ยอมรับนับถือเขาในทางมิบังควรต้องได้รับทุกข์ถึงตายเช่นนี้เอง”
จาก ฐะปะนีย์ นาครทรรพ การประพันธ์ ท 041 อักษรเจริญทัศน์ 2519 หน้า 9
9.5 แบบเทศน์ หรือเทศนาโวหาร คือ โวหารที่อธิบายชี้แจงให้ผู้อ่านเชื่อถือตาม โดยยกเหตุผลข้อเท็จจริง อธิบายคุณ โทษ แนะนำสั่งสอน ตัวอย่างเช่น
“คนคงแก่เรียนย่อมมีปรีชาญาณ ฉลาดคิด ฉลาดทำ ฉลาดพูดและมีความรู้สึกสูง สำนึกในผิดชอบชั่วดี ไม่กล้าทำในสิ่งที่ผิดที่ชั่ว เพราะรู้สึกละอายขวยเขินแก่ใจและรู้สึกสะดุ้งหวาดกลัวต่อผลร้ายอันพึงจะได้รับ รู้สึกอิ่มใจในความถูกต้อง รู้สึกเสียใจในความผิดพลาด และรู้เท่าความถูกต้องนั้นว่า มิได้อยู่ที่ดวงดาวประจำตัว แต่อยู่ที่การกระทำของตัวเอง พึงทราบว่า ความฉลาดคิด ฉลาดทำ ฉลาดพูดและความรู้สึกสูงทำให้คิดดี ที่จริงและคิดจริงที่ดี ทำดีที่จริง ทำจริงที่ดี และพูดดีที่จริง พูดจริง ที่ดี นี่คือวิธีจรรยาของคนแก่เรียน
จากฐะปะนีย์ นาครทรรพ การประพันธ์ ท 041 อักษรเจริญทัศน์ 2519 หน้า 8
โวหารต่าง ๆ ดังกล่าว เมื่อใช้เขียนเรียงความเรื่องหนึ่ง ๆ ไม่ได้หมายความว่าจะใช้เพียงโวหารใดโวหารหนึ่งเพียงโวหารเดียว การเขียนจะใช้หลาย ๆ แบบประกอบกันไป แล้วแต่ความเหมาะสม ตามลักษณะเนื้อเรื่องที่เขียน
การเขียนเรียงความเป็นศิลปะ หลักการต่าง ๆ ที่วางไม่ได้เป็นหลักตายตัว ตัวอย่าง คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ดังนั้น จึงเป็นเพียงแนวปฏิบัติและข้อเสนอแนะ ในการเขียนอาจพลิกแพลงได้ตามความเหมาะสมที่เห็นสมควร
ตัวอย่าง เรียงความเรื่อง สามเส้า
ครัวไทยแต่ก่อนครั้งหุงข้าวด้วยฟืนนั้น มีสิ่งสำคัญอย่างหนึ่ง คือ ก้อนเส้า เรายังหาครัวอย่างนี้ ดูได้ในชนบท ก้อนเส้านั้นอาจเป็นดินหรือก้อนหิน มีสามก้อนตั้งชนกันมีช่องว่างสำหรับใส่ฟืน ก้อนเส้าสามก้อนนี้เองเป็นที่สำหรับตั้งหม้อข้าวหม้อแกงอันเป็นอาหารประจำชีวิตของคนไทย ดู ๆ ไปก้อนเส้าสามก้อนนั้นก็เป็นสัญลักษณ์ของชาติไทย เพราะชาติไทยแต่ไหนแต่ไรก็ตั้งอยู่บนก้อนเส้าสามก้อนนั้น มีชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ พระพุทธศาสนาก็ประกอบด้วยก้อนเส้าสามก้อน คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
ก้อนเส้าสามก้อนหรือสามเส้านี้ เมื่อคิดไปอีกทีก็เป็นคติอันดีที่เราน่าจะยึดเป็นเครื่องเตือนใจ ภาษิตจีนมีว่า คนเราจะมีชีวิตมั่นคง จะต้องนั่งบนม้าสามขา ม้าสามขาตามภาษิตจีนนั้น หมายถึง สิ่งสำคัญสามอย่างที่พยุงชีวิตเรา สิ่งสำคัญนั้นจะเป็นอะไรก็ได้แต่ต้องมีสามขา ถ้ามีเพียงสองชีวิตก็ยังขาดความมั่นคง ภาษิตจีนนี้ฟังคล้าย ๆ “สามเส้า” คือว่าชีวิตของเราตั้งอยู่บนก้อนสามก้อน จึงมีความมั่นคง
ก็ก้อนเส้าทั้งสามสำหรับชีวิตนี้คืออะไร ต่างคนอาจหาก้อนเส้าทั้งสามสำหรับชีวิตของตัวเองได้ บางท่านอาจยึดพระไตรลักษณ์ คือ ความทุกข์ 1 ความไม่เที่ยง 1 และความไม่ใช่ตัวของเรา 1 เป็นการยึดเพื่อทำใจมิให้ชอกช้ำขุ่นมัวในยามที่ตกทุกข์ได้ยาก หรือจะใช้เป็นเครื่องเตือนมิให้เกิดความทะเยอทะยานตน ทำลายสันติสุขของชีวิตก็ได้ บางคนยึดไตรสิกขาเป็นก้อนเส้าทั้งสามแห่ง การยังมีชีวิต คือ ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นหลัก