การอ่านจะเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ผู้อ่านได้นั้น ผู้อ่านจะต้องจับใจความสำคัญของเรื่องที่อ่านให้ได้แล้วนำไปปฏิบัติ

ใจความสำคัญ หมายถึง ข้อความที่เป็นแกนหรือหัวใจของเรื่อง

การจับใจความสำคัญในการอ่านก็คือ กรณีเอาข้อความหรือประโยคที่เป็นหัวใจของเรื่องนั้นออกมาให้ได้ เพราะใจความสำคัญของเรื่องจะเป็นใจความหลักของแต่ละบทแต่ละตอน หรือ แต่ละเรื่อง ให้รู้ว่าแต่ละบทตอนนั้นกล่าวถึงเรื่องอะไรเป็นสำคัญ ดังนั้น การจับใจความสำคัญของเรื่อง ที่อ่านจะทำให้มีความเข้าใจในเรื่องนั้น ๆ อย่างแจ่มแจ้ง

หลักการอ่านจับใจความ

1. การเข้าใจความหมาย

หลักเบื้องต้นในการจับใจความของสาระที่อ่าน คือ การเข้าใจความหมาย ความหมาย มีหลายระดับนับตั้งแต่ระดับคำ สำนวน ประโยค และข้อความ คำและสำนวนเป็นระดับภาษาที่ต้อง ทำความเข้าใจเป็นอันดับแรก เพราะนำไปสู่ความเข้าใจความหมายของประโยคและข้อความ

1.1 ความหมายของคำ ความหมายของคำโดยทั่วไปมี 2 อย่าง คือ ความหมายโดยตรง และความหมายโดยนัย

ก. ความหมายโดยตรง เป็นความหมายตามรูปคำที่กำหนดขึ้น และรับรู้ได้เข้าใจตรงกันความหมายประเภทนี้เป็นความหมายหลักที่ใช้สื่อสารทำความเข้าใจกันคำที่มีความหมายโดยตรงในภาษาไทยมีลักษณะอย่างหนึ่งที่อาจเป็นอุปสรรค ในการสื่อสารลักษณะดังกล่าว คือ การพ้องคำ คำพ้องในภาษาไทยมีอยู่ 3 อย่าง ได้แก่ คำพ้องรูป คำพ้องเสียง และคำพ้องรูปพ้องเสียง คำที่พ้องทั้ง 3 ลักษณะนี้มีความหมายต่างกัน

คำพ้องรูป คือ คำที่สะกดเหมือนกัน แต่ออกเสียงต่าง เช่น เพลารถ กับ เพลาเย็น คำแรก ออกเสียง เพลา คำหลังออกเสียง เพ ลา คำพ้องรูปเป็นอุปสรรคต่อการอ่านและทำความเข้าใจ คำพ้องเสียง คือ คำที่ออกเสียงเหมือนกัน แต่สะกดต่างกัน เช่น การ กาน กานต์ กานท์ กาล กาฬ กาญจน์ ทั้งหมดนี้ออกเสียง “กาน” เหมือนกัน การพ้องเสียงเป็นอุปสรรคต่อการอ่านเพื่อความเข้าใจ

คำพ้องรูปพ้องเสียง คือ คำที่สะกดเหมือนกันและออกเสียงอย่างเดียวกัน โดยรูปคำจะเห็นว่าเป็นคำเดียวกัน แต่มีความหมายแตกต่างกัน ดังตัวอย่างต่อไปนี้

ขัน หมายถึง การทำให้แน่น

ขัน หมายถึง ภาชนะตักน้ำ

ขัน หมายถึง ความรู้สึกชอบใจ

ขัน หมายถึง การส่งเสียงร้องของไก่ตัวผู้

ขัน หมายถึง การรับ ฯลฯ

คำพ้องรูป พ้องเสียงเป็นอุปสรรคต่อการฟังและอ่านเพื่อความเข้าใจ วิธีที่จะช่วยให้เข้าใจความหมายของคำพ้อง จะต้องดูคำข้างเคียงหรือคำที่ประกอบกันในประโยค หรือข้อความนั้น ที่เรียกว่าบริบท ดังตัวอย่างต่อไปนี้

ขันชะเนาะให้แน่น

หยิบขันให้ทีซิ

เขารู้สึกขัน

ไก่ขันแต่เช้ามืด

เขาขันอาสาจะไปติดต่อให้

นอกจากดูคำข้างเคียง หรือคำประกอบในประโยคแล้ว บางที่ต้องอาศัยสถานการณ์ เช่น ประโยคที่ว่า

“ทำไมต้องดูกัน”

คำว่า “ดู” ในสถานการณ์ทั่วไป หมายถึง การมอง แต่ในสถานการณ์เฉพาะ เช่น การสอบ ดูจะมีความหมายว่า ลอกกัน เอาอย่างกัน

ในบทร้อยกรอง ต้องอาศัยฉันทลักษณ์ เช่น สัมผัส เป็นต้น ตัวอย่างเช่น

อย่าหวงแหนจอกแหนให้แก่เรา แหน แ หน

พอลมเพลาก็เพลาสายัณห์ เพลา เพ ลา

คำที่มีความหมายโดยตรงได้แก่ คำศัพท์ คำศัพท์ คือ คำที่ต้องแปลความ เป็นคำไทยที่มาจากภาษาอื่น สันสกฤต เขมร เป็นต้น เช่น สมโภช รโหฐาน สุคติ โสดาบัน บุคคล จตุราบาย เป็นต้น รวมทั้งศัพท์บัญญัติทั้งหลายที่ใช้ในวงวิชาการหรือกิจบางอย่าง เช่น มโนทัศน์ เจตคติ กรมธรรม์ ฟเป็นต้น คำศัพท์ดังกล่าวนี้จำเป็นต้องศึกษาว่ามีมูลมาอย่างไร ประกอบขึ้นอย่างไร และมีความหมายอย่างไร

ข. ความหมายโดยนัย เป็นความหมายที่สื่อหรือนำความคิดให้เกี่ยวโยงถึงบางสิ่งบางอย่างที่มีลักษณะหรือคุณสมบัติเหมือนกับคำที่มีความหมายโดยตรง บางท่านเรียกว่า ความหมายรอง หรือความหมายแฝง

ความหมายโดยนัย มีหลายลักษณะ กล่าวคือ มีความหมายเป็นเชิงเปรียบเทียบ เช่น เปรียบเทียบโดยอาศัยนัยของความหมายของคำเดิม ตัวอย่างเช่น

เธอมีใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส

เขาทำงานเอาหน้า หมายถึง ทำงานเพื่อผลประโยชน์ของตน

เด็กสาดโคลนกันเลอะเทอะ

เขาสาดโคลนคุณพ่อ หมายถึง ใส่ร้าย

ต้นไม้ต้นนี้เปลือกสวย

หล่อนรวยแต่เปลือก หมายถึง ไม่ร่ำรวยจริง

มีการเปรียบเทียบกับคุณสมบัติของสิ่งที่นำมากล่าว เช่น เขาเป็นสิงห์สนาม หมายถึง เป็นคนเล่นกีฬาเก่ง

1.2 ความหมายของสำนวน

สำนวนเป็นข้อความที่มีความหมายพิเศษไปจากคำที่ประกอบอยู่ในข้อความนั้น ไม่ได้มีความหมายตามรูปคำ ความหมายของสำนวนมีลักษณะเป็นเชิงเปรียบเทียบโดยอาศัยนัยของความหมายตามลักษณะหรือคุณสมบัติของข้อความนั้น เช่น

อ้อยเข้าปากช้าง หมายถึง ของตกไปอยู่ในมือผู้อื่นแล้วไม่มีทางได้คืน

ไก่แก่แม่ปลาช่อน หมายถึง ผู้ที่มีความจัดจ้านเจนสังเวียน

วัวหายล้อมคอก หมายถึง เมื่อเกิดความเสียหายแล้วจึงหาทางป้องกัน

กินข้าวต้มกระโจมกลาง หมายถึง การพูดถึงสิ่งสุดวิสัยที่จะทำได้

ส่วนต่าง ๆ ที่นำไปกล่าวเปรียบเทียบให้เข้ากับสถานการณ์ เรียกว่า คำพังเพย เช่น เมื่อของหายแล้วจึงคิดหาทางป้องกัน ก็เปรียบว่า วัวหายล้อมคอก เป็นต้น

ความหมายของสำนวนมีลักษณะเหมือนความหมายโดยนัย คือ ต้องตีความ หรือ แปลความหมายตามนัยของคำหรือข้อความนั้น ๆ


2. การเข้าใจลักษณะของข้อความ

ข้อความแต่ละข้อความต้องมีใจความอันเป็นจุดสำคัญของเรื่อง ใจความของเรื่องจะปรากฏที่ประโยคสำคัญ เรียกว่าประโยคใจความ ประโยคใจความจะปรากฏอยู่ในตอนใดของข้อความก็ได้โดยปกติจะปรากฏในตอนต่าง ๆ ดังนี้

ปรากฏอยู่ในตอนต้นของข้อความ ตัวอย่างเช่

ภัยอันตรายที่จะเป็นเครื่องทำลายชาติอาจเกิดขึ้นและมีมาได้ตั้งแต่ภายนอก ทั้งที่ภายในอันตรายที่จะมีมาตั้งแต่ภายนอกนั้นก็คือ ข้าศึกศัตรูยกมาย่ำยีตีบ้านตีเมืองเรา การที่ข้าศึกศัตรูจะมาตีนั้น เขาย่อมจะเลือกหาเวลาใดเวลาหนึ่งซึ่งชาติกำลังอ่อนแอและมิได้เตรียมตัวไว้พร้อม เพื่อต่อสู้ป้องกันตน เพราะฉะนั้นในบทที่ 2 ข้าพเจ้าจึงได้เตือนท่านทั้งหลายอย่าได้เผลอตัว แต่ข้อสำคัญที่สุดเป็นเครื่องทอนกำลังและเสียหลักความมั่นคงของชาติ คือ ความไม่สงบภายในชาตินั้นเอง จึงควรอธิบายความข้อนี้สักหน่อย

(พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ปลุกใจเสือป่า)

ปรากฏอยู่ในตอนกลางของข้อความ ตัวอย่างเช่น

“อันความรัก ความชัง ความโกรธ ความกลัว ความขบขัน เหล่านี้เป็นสามัญ ลักษณะของปุถุชนใครหัวเราะไม่เป็น ยิ้มไม่ออก ก็ออกจะพิกลอยู่ คนสละความรักความชังได้ก็มีแต่พระอรหันต์ อารมณ์ความรู้สึกดังนี้ เป็นธรรมชาติของมนุษย์ กวีและนักประพันธ์ย่อมจะแต่งเรื่องยั่วเย้าอารมณ์ ความรู้สึกเหล่านี้ และถ้าเขาแต่งเป็น แต่งดี ก็จะปลุกอารมณ์ของผู้อ่านผู้ฟังให้เกิดขึ้น ท่านคงจะเคยเห็นคนอ่านเรื่องโศกจับใจจนน้ำตาไหล สงสารตัวนางเอก พระเอก อ่านเรื่องขบขันจนหัวเราะท้องคัดท้องแข็ง ทั้ง ๆ ที่รู้ว่ามันเป็นเรื่องอ่านเล่น และคนที่อ่านก็ไม่ได้มีส่วนเสียอะไรกับตัวนาง ก็พลอยโศกเศร้าไปด้วยได้ อย่างไรก็ดีความเศร้าของอารมณ์อันเกิดจากความยั่วเย้าของศิลปะวรรณคดี ตลอดจนนาฏกรรมต่าง ๆ นั้น เป็นความสุขชนิดหนึ่ง มิฉะนั้นเรื่องทำนองโศกนาฏกรรมคงจะไม่มีใครดูเลย”

(นายตำรา ณ เมืองใต้ ภาษาและวรรณคดี)

ปรากฏใจความอยู่ท้ายย่อหน้า ตัวอย่างเช่น

“ท่านกล่าวว่า คนเป็นสัตว์ที่เรียนรู้ คือ รู้ดู เห็นอะไรแล้วเมื่อเห็นว่าดีก็เอาไว้ ถ้าเห็นว่าไม่ดีก็ไม่เอาและหลีกเลี่ยง เด็กรู้รสหวาน ก็อยากได้อีก ถ้ารู้รสขมของบอระเพ็ด หรือเมื่อถูกไฟก็รู้สึกร้อนจะไม่ต้องการกินบอระเพ็ดหรือเข้าใกล้ไฟอีก นี่เป็นเรื่องของการผ่านพบเคยรู้เคยเห็นเรื่องนี้ ต่อ ๆ มา หลาย ๆ ครั้ง เกิดความชำนาญชัดเจนขึ้น โลกมีความเจริญก้าวหน้าเรื่องวัฒนธรรมก็เพราะการผ่านพบและการจัดเจนของมนุษย์

(เสถียรโกเศศ ชีวิตชาวไทยสมัยก่อนและการศึกษาเรื่องประเพณีไทย)


ประโยคใจความอยู่ตอนต้นและตอนท้ายของข้อความ ตัวอย่างเช่น

“คนไทยนั้นถือว่าบ้านเป็นสิ่งจำเป็นต่อชีวิตตั้งแต่เกิดไปจนตาย เพราะคนไทยโบราณนั้นใช้บ้านเป็นที่เกิดการคลอดลูกจะกระทำกันที่บ้านโดยมีหมอพื้นบ้าน เรียกว่า หมอตำแย เป็นผู้ทำคลอด มิได้ใช้โรงพยาบาลหรือสถานผดุงครรภ์อย่างในปัจจุบันนี้ และที่สุดของชีวิตเมื่อมีการตายเกิดขึ้น คนไทยก็จะเก็บศพของผู้ตายที่เป็นสมาชิกของบ้านไว้ในบ้านก่อนที่จะทำพิธีเผา เพื่อทำบุญสวดและเป็นการใกล้ชิดกับผู้ตายเป็นครั้งสุดท้าย ดังนั้น บ้านจึงเป็นที่ที่คนไทยใช้ชีวิตอยู่เกือบตลอดเวลาตั้งแต่เกิดจนตาย”

(วิบูลย์ ลี้สุวรรณ “บ้านไทย” ศิลปะชาวบ้าน)


การเข้าใจถึงการปรากฏของประโยคใจความในตอนต่าง ๆ ของข้อความดังที่กล่าวแล้ว จะช่วยให้จับใจความได้ดียิ่งขึ้น

3. การเข้าใจลักษณะประโยคใจความ

เมื่อเข้าใจถึงลักษณะของข้อความว่าต้องมีประโยคใจความ และปรากฎอยู่ในตอนต่าง ๆ ของข้อความแล้ว ต้องเข้าใจต่อไปว่าประโยคใจความเป็นอย่างไร

ประโยคใจความ คือ ข้อความที่เป็นความคิดหลักของหัวข้อ หรือเรื่องของข้อความนั้น

ตัวอย่างเช่น

หัวข้อ บ้าน

ความคิดหลัก บ้านเป็นที่อยู่อาศัย

หัวข้อ ราชสีห์

ความคิดหลัก ราชสีห์ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าป่าในบรรดาสัตว์ทั้งหลาย

ความคิดหลักนี้ คือ ประโยคใจความที่จะปรากฏในตอนใดตอนหนึ่งของข้อความที่กล่าวแล้ว ฉะนั้นการที่จะทราบว่าประโยคใดเป็นประโยคใจความ ต้องพิจารณาจากหัวเรื่อง ประโยคใจความมักมีเนื้อหาสอดคล้องกับหัวเรื่อง

ในกรณีที่ไม่ทราบหัวข้อเรื่อง ต้องเข้าใจว่าส่วนที่เป็นประโยคใจความนั้นจะมีเนื้อความหลักของเนื้อความอื่นที่ประกอบกันขึ้นเป็นหัวข้อนั้น ถ้าขาดส่วนที่เป็นใจความ เนื้อความอื่นก็เกิดขึ้นไม่ได้หรือความหมายอ่อนลง

ความคิดหลักนี้ คือ ประโยคใจความที่จะปรากฏในตอนใดตอนหนึ่งของข้อความที่กล่าวแล้ว ฉะนั้นการที่จะทราบว่าประโยคใดเป็นประโยคใจความ ต้องพิจารณาจากหัวเรื่อง ประโยคใจความมักมีเนื้อหาสอดคล้องกับหัวเรื่อง

ในกรณีที่ไม่ทราบหัวข้อเรื่อง ต้องเข้าใจว่าส่วนที่เป็นประโยคใจความนั้นจะมีเนื้อความหลักของเนื้อความอื่นที่ประกอบกันขึ้นเป็นหัวข้อนั้น ถ้าขาดส่วนที่เป็นใจความ เนื้อความอื่นก็เกิดขึ้นไม่ได้หรือความหมายอ่อนลง

การอ่านอย่างวิเคราะห์

การอ่านอย่างวิเคราะห์ หมายถึง การอ่านที่มีการพิจารณาแยกรายละเอียดออกเป็นส่วน ๆ เพื่อทำความเข้าใจ และให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างส่วนต่าง ๆ เหล่านั้น

การอ่านอย่างวิเคราะห์เริ่มต้นจากพื้นฐานข้อมูลและความคิดจากการอ่านเองเป็นอันดับแรกเพื่อให้เข้าใจเนื้อเรื่องโดยตลอด ต่อจากนั้นจึงแยกเรื่องในบทอ่านออกเป็นส่วน ๆ ได้รู้ว่า ใครทำอะไร เพื่ออะไร อย่างไร ในเรื่องมีใครบ้าง หรือตัวละครกี่ตัว และที่มีบทบาทสำคัญมีกี่ตัว ทำไมเหตุการณ์ จึงเป็นอย่างนั้นหรือเพราะเหตุใด ต่อไปน่าจะเป็นอย่างไร ต่อไปนี้จะนำนิทานเรื่อง “กระต่ายบนดวงจันทร์” มาเล่าให้ฟัง


นิทานเรื่อง กระต่ายบนดวงจันทร์

กาลครั้งหนึ่งมีกระต่าย ลิง นกน้ำ และสุนัขจิ้งจอก สาบานร่วมกันว่าจะไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต และบำเพ็ญตนเป็นฤๅษีอยู่ในป่า พระอินทร์ขอทดสอบในศรัทธาของสัตว์ทั้งสี่ จึงปลอมตัวเป็นพราหมณ์ เที่ยวขอบริจาคทานโดยไปขอจากลิงเป็นตัวแรก ลิงมอบมะม่วงให้ จากนั้นพราหมณ์ไปขอทานจากนกน้ำ นกน้ำถวายปลาซึ่งมาเกยตื้นอยู่ริมฝั่งแม่น้ำ ส่วนสุนัขจิ้งจอกก็ถวายนมหม้อหนึ่งกับผลไม้แห้ง

เมื่อพราหมณ์ไปขอบริจาคทานจากกระต่าย กระต่ายพูดกับพราหมณ์ว่า “ข้ากินแต่หญ้าเป็นอาหารหญ้าก็ไม่มีประโยชน์ใด ๆ กับท่านเลย” พราหมณ์จึงเอ่ยขึ้นว่า ถ้ากระต่ายบำเพ็ญพรตเป็นฤๅษี

ที่แท้จริงขอให้สละชีวิตของตนเป็นอาหารแก่พราหมณ์ กระต่ายตอบตกลงทันทีและทำตามที่พราหมณ์ขอร้องว่าให้กระโดดลงกองไฟแดง พราหมณ์จะไม่ลงมือฆ่าและปรุงกระต่ายเป็นอาหาร กระต่ายปีนขึ้นยืนบนก้อนหินและกระโดดลงกองไฟ ในขณะที่กระต่ายกำลังจะตกสู่เปลวไฟนั้น พราหมณ์ได้คว้ากระต่ายไว้ แล้วเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงว่าคือใคร แล้วพระอินทร์ก็นำกระต่ายไปไว้บนดวงจันทร์

(จากนิตยสารสารคดี ฉบับที่ 147 ปีที่ 13 หน้า 30)


เมื่ออ่านเรื่องนี้อย่างวิเคราะห์ก็จะต้องให้ความคิดติดตามประเด็นต่าง ๆ ตัวละครในนิทานเรื่องนี้มีใครบ้าง มีลักษณะนิสัยอย่างไร ตัวละครแต่ละตัวได้กระทำสิ่งใดบ้าง ทำอย่างไร ผลของการกระทำเป็นอย่างไร ทำไมสัตว์ทั้ง 4 จึงสาบานร่วมกันว่าจะไม่ฆ่าสัตว์และบำเพ็ญตนเป็นฤๅษีอยู่ในป่า เพราะเหตุใดสัตว์ทั้ง 4 จึงบริจาคทานไม่เหมือนกัน ทำไมพราหมณ์จึงนำกระต่ายไปไว้บนดวงจันทร์เพียงตัวเดียว หากพระอินทร์นำสัตว์ทั้ง 4 ไปไว้บนดวงจันทร์เราจะเห็นรูปของสัตว์ทั้ง 4 บนดวงจันทร์ทั้งหมดหรือไม่