วัดพระธาตุอุปมุง

แหล่งท่องเที่ยว

1. ประเภท แหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม

2. ประวัติความเป็นมาของแหล่งท่องเที่ยว

วัดป่าวัดธาตุอุปมุงตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของหมู่บ้านสร้างบุ ตำบลโพธิ์ศรีสว่าง อำเภอโพนทอง จังหวัดร้อยเอ็ด โดยวัดป่าวัดธาตุอุปมุงห่างจากหมู่บ้านสร้างบุประมาณ 500 เมตร เป็นวัดที่เก่าแก่แห่งหนึ่งของจังหวัดร้อยเอ็ด ซึ่งมีอายุร่วม 2000 ปี (ประมาณ พ.ศ. 11) แรกเริ่มเดิมทีพระธาตุแห่งนี้จะนำไปบรรจุไว้ที่พระธาตุพนม จังหวัดนครพนม แต่เนื่องจากการเดินทางในสมัยนั้นกว่าจะถึงที่หมายต้องใช้การเดินทางเป็นเวลานาน เมื่อมาถึงสถานที่แห่งนี้(บ้านสร้างบุ) ก็ได้ทราบข่าวจากทางนครพนมว่าสร้างพระธาตุพนมเสร็จแล้วจึงได้ซ่อนพระธาตุไว้ในป่าแห่งนี้ ซึ่งเป็นป่ารกทึบ คำว่า“อุปมุง” มีที่มาว่า เมื่อก่อนเพระธาตุเป็นแค่ “อูป” (มีลักษณะคล้ายเตาถ่าน) ในสมัยนั้นสถานที่แห่งนี้เป็นป่าดงดิบไม่ค่อยมีคนหรือสัตว์เลี้ยงเข้าไป เพราะมันน่ากลัวมากคนแก่คนเฒ่าเล่าว่า ถ้าหากว่ามีสัตว์เลี้ยงไม่ว่าจะเป็นช้างม้าวัวควายเข้าไปในเขตสถานที่นี้ แล้วจะชักตายโดยไม่ทราบสาเหตุเล่ากันว่าในดงแห่งนี้มี “เม่ง” (เม่งเป็นสัตว์คล้ายงูจงอางแต่ตัวใหญ่มาก) ในคืนวันพระพระจันทร์เต็มดวงจะมีเสียงกังวานมากภายในป่าแห่งนี้และมีเสียงร้องดังเหมือนเสียงของงูจงอางหรือแมงง่วง (จักจั่นใหญ่) ถ้าหากในวันพระวันใดได้ยินเสียงร้องของตัวเม่งจะมีคนนอนตายโดยไม่ทราบสาเหตุในคืนนั้น ทำให้ไม่มีใครเข้าไปในป่าแห่งนั้น ต่อมามีผู้พบเห็นพระธาตุอุปมุงเป็นคนแรกคือ หลวงปู่สิงห์ทอง เล่าว่า หลวงปู่ท่านเป็นพระธรรมยุติ เดินธุดงค์ มาปักกลดที่ป่าแห่งนี้ ท่านได้นั่งสมาธิในระหว่างนั้นมีผีสางนางไม้มารบกวนท่านอยู่มิได้ขาด ท่านได้เทศนาบอกกล่าว แล้วจิตวิญญาณเหล่านั้นก็หายไป คงเหลือแต่เม่งที่ไม่ยอมฟังท่านเลย มีการต่อสู้กันทางใน (สมาธิจิต) เป็นเวลานาน ในที่สุดตัวเม่งเป็นฝ่ายที่ยอมแพ้และยอมที่จะไม่รังแกสัตว์และมนุษย์อีก ต่อมาท่านก็ปฏิบัติธรรมไปเรื่อยๆ ท่านก็รู้ทางสมาธิจิตว่าที่นี่มีพระธาตุและสารีริกธาตุอยู่ในที่แห่งนี้ ท่านจึงอยู่ประจำและสร้างวัดขึ้นในที่แห่งนี้ และตั้งชื่อวัดว่า วัดป่าพระธาตุอุปมุง ท่านได้พาชาวบ้านสร้างที่สถิตพระธาตุขึ้นใหม่จากแต่ก่อนเป็นอูปเหมือนเต่าถ่านและได้ต่อเติมให้สูงขึ้น โดยนำดินเหนียวจากหนองผำ ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของวัด โดยนำดินเหนียวมาปั้นบนพิมพ์สี่เหลี่ยม แกะพิมออกแล้วตากแดดให้แห้ง แล้วนำไปเผาไฟอีกทีหนึ่ง เสร็จแล้วนำไปก่อเป็นสถูปเจดีย์ โดยใช้ยางโบ่ง (เป็นยางไม้ชนิดหนึ่งที่มีความเหนียวมาก) เพราะว่าในสมัยนั้นไม่มีปูนซีเมนต์ จึงเอายางไม้มาใช้แทน ท่านได้สร้างพระธาตุเพียงครึ่งองค์เท่านั้น ท่านก็มรณะเสียก่อน

ในปี พ.ศ. 2398 โดยมีการบูรณปฏิสังขรณ์

องค์พระธาตุโดยหลวงปู่ทองมา ถาวโร ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่สิงห์ทอง หลวงปู่ทองมาก็ได้จำพรรษาที่นี่ หลวงปู่ทองมาพร้อมทั้งชาวบ้านและญาติโยมได้สร้างสถูปครอบองค์พระธาตุจนสำเร็จ ว่ากันว่าสมัยตอนสร้างเสร็จใหม่ๆ ข้างในจะเป็นโพรงสามารถเข้าไปกราบไหว้พระข้างในองค์พระธาตุได้ และในนั้นจะมีพระพุทธรูปซึ่งแกะสลักจากไม้ประมาณสิบกว่าองค์ รวมทั้งพระพุทธรูปทองเหลืองและหอกดาบสมัยเก่า (ปัจจุบันนี้ก็ยังอยู่ในพระธาตุที่ปรักหักพังลงมาและทับโพรงนี้ไว้)

ในปี พ.ศ. 2450 เมื่อหลวงปู่ ทองมา ถาวโร ย้ายไปอยู่บ้านเกิดที่วัดบ้านท่าสี ตำบลเกาะแก้ว อำเภอโพนทอง จังหวัดร้อยเอ็ด (ในสมัยนั้นปัจจุบันคือ อำเภอเสลภูมิ) เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2518 พระธาตุอุปมุงได้พังลงมาพร้อมกับพระธาตุพนม แต่พระธาตุพนมพังตอนกลางคืน ส่วนพระธาตุอุปมุงพังตอนกลางวันเล่ากันว่าในคืนวันพระชาวบ้านจะเห็นแสงลอยออกจากพระธาตุไปทางทิศใต้ของวัดแสงนั้นมีลักษณะเป็นแสงสีขาวใสคล้อยแสงดาวหาง เวลากลางคืนช่วงที่เห็นมักจะเป็น20.00 – 21.00 น. แสงที่ว่านี้จะลอยสูงจากพื้นดินประมาณ 200 – 300 เมตร ลอยไปอย่างช้าๆ พื้นดินจะสว่างในระยะห่าง 150 เมตรจะมองเห็นลายมือได้อย่างสบาย

นี่เป็นส่วนหนึ่งของคำบอกเล่าของคนเฒ่าคนแก่ เท็จจริงอย่างไรควรใช้วิจารณญานในการรับชม-รับฟัง และยังมีเรื่องลี้ลับปาฏิหาริย์เกิดขึ้นอีกมากมาย ถ้ามีโอกาสจะเล่าสู่กันฟังคราวหน้าครั้งต่อไป

3. สถานที่ ที่ตั้ง (พิกัด) ของแหล่งท่องเที่ยว

ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของหมู่บ้านสร้างบุ ตำบลโพธิ์ศรีสว่าง อำเภอโพนทอง จังหวัดร้อยเอ็ด

4. สื่อประกอบ ภาพประกอบด้านบน

5. ผู้บันทึกข้อมูล นางสาวธัญชนก หลักคำ

6. ข้อมูลอื่นๆ