ใบความรู้ที่ 4 ครั้งที่ 21
เรื่องที่ 6 กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองผู้บริโภค
ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น
พระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ.2522
สาระสำคัญ และรายละเอียดที่คณะกรรมการว่าด้วยสัญญากำหนดไว้ ดังนี้
1. กำหนดให้มีการประกาศให้มีการกำหนดอาหารวบคุมเฉพาะ
2. กำหนดให้มีคณะกรรมการอาหารและยา ทำหน้าที่ให้คำปรึกษาในกรณีต่างๆ เพื่อควบคุมคุมคุณภาพของอาหาร
3. กำหนดให้มีการขออนุญาติเพื่อผลิต จำหน่าย หรือนำเข้าเพื่อจำหน่ายอาหาร
4. กำหนดลักษณะของอาหารลักษระต่างๆที่ผิดกฏหมาย หรือห้ามผลิต จำหน่ายหรือนำเข้าเพื่อจำหน่าย ได้แก่
1. อาหารไม่บริสุทธิ์ ในมาตรา 26 อาหารที่มีลักษณะดังต่อไปนี้ให้ถือว่าเป็นอาหารไม่บริสุทธิ์
(1) อาหารที่มีสิ่งที่น่าจะเป็นอันตรายแก่สุขภาพเจือปนอยู่ด้วย
(2) อาหารที่มีสารหรือวัตถุเคมีเจือปนอยู่ในอัตราที่อาจเป็นเหตุให้คุณภาพของอาหารนั้นลดลง
(3) อาหารที่ได้ผลิต บรรจุ หรือเก็บกักมาไว้โดยไม่ถูกสุขลักษณะ
(4) อาหารที่ผลิตจากสัตว์ที่เป็นโรคอันอาจติดต่อกับคนได้
(5) อาหารที่มีภาชนะบรรจุประกอบด้วยวัตถุที่น่าจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพ
2. อาหารปลอม ในมาตรา 27 อาหารที่มีลักษณะดังต่อไปนี้ ให้ถือว่าเป็นอาหารปลอม
(1) อาหารที่ได้สับเปลี่ยนใช้วัตถุอื่นแทนบางส่วน
(2) วัตถุหรืออาหารที่ผลิตขึ้นเทียมอาหารอย่างหนึ่งอย่างใดและจำหน่ายเป็นอาหารแท้อย่างนั้น
(3) อาหารที่ได้ผสมหรือปรุงแต่งด้วยวิธีใดๆ โดยประสงค์จะปกปิดซ่อนเร้น ความชำรุดบกพร่องหรือความด้อยคุณภาพของอาหารนั้น
(4) อาหารที่มีฉลาก เพื่อหลอกหลวงหรือพยายามลวงผู้ซื้อให้เข้าใจผิดในเรื่องคุณภาพ ปริมาณ ประโยชน์ หรือลักษณะะพิเศษอย่างอื่น
(5) อาหารที่ผลิตขึ้นไม่ถูกต้องตามคุณภาพหรือมาตรฐานที่รัฐมนตรีประกาศ
กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคที่มีหน้าที่คุ้มครองผู้บริโภค โดยการเข้าไปควบคุมตรวจสอบ และกำกับดูแลผู้ประกอบธุรกิจที่ผลิตสินค้าหรือบริการ เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับความเป็นธรรมและได้รับความปลอดภัยในการใช้สินค้าและ การรับบริการ โดยสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้
2.1 กฎหมายคุ้มครองเพื่อให้ผู้บริโภค ได้รับความปลอดภัยในการใช้สินค้าและการรับบริการ เช่น
กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคโดยกระทรวงสาธารณสุข
§ พระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545
§ พระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522
§ พระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510
กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคโดยกระทรวงอุตสาหกรรม
§ พระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พ.ศ. 2511
§ พระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535
2.2 กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคเพื่อให้ผู้บริโภคได้รับความเป็นธรรมในการใช้สินค้าและการรับบริการ เช่น
กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคโดยกระทรวงพาณิชย์
§ พระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2542
§ พระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542
กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคโดยกระทรวงยุติธรรม
§ พระราชบัญญัติว่าด้วยข้อสัญญาไม่เป็นธรรม พ.ศ. 2540
เครื่องหมาย อย.คืออะไร? ทำไมถึงต้องมี?
เครื่องหมาย อย. คือ เครื่องหมายที่แสดงให้ผู้บริโภคทราบว่า ผลิตภัณฑ์สุขภาพนั้น ๆ ได้ผ่านการพิจารณาด้านประสิทธิภาพ คุณภาพ และความปลอดภัย ถูกต้องตรงตามมาตรฐานเกณฑ์การผลิต หรือการนำเข้า จากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่ในการปกป้อง และคุ้มครองผู้บริโภค ตัวย่อ อย. ที่เราเห็นนี้ ย่อมาจากสํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา (Food and Drug Administration) นั่นเอง
แต่ไม่ได้หมายความว่าเครื่องหมาย อย. จะรับประกันคุณภาพสินค้าตามคำโฆษณาของผลิตภัณฑ์นะคะ เครื่องหมาย อย. แสดงให้เห็นว่าผลิตภัณฑ์นั้น ๆ ได้มีการขึ้นทะเบียน หรือรับอนุญาตเลขสารบบอาหาร ถูกต้องตามที่กฎหมายกำหนดเท่านั้นค่ะ
ประโยชน์ของเครื่องหมาย อย.
1. รับรองผลิตภัณฑ์ที่มีมาตรฐานความปลอดภัย
2. สร้างความมั่นใจให้แก่ลูกค้า และผู้บริโภคในผลิตภัณฑ์
3. สามารถตรวจสอบแหล่งที่มาของสถานที่และชื่อบริษัทที่ทำการผลิตหรือจดแจ้งได้
4. สามารถรับสิทธิคุ้มครอง จากคณะกรรมการอาหารและยาได้ หากเกิดอันตรายจากผลิตภัณฑ์ที่มี อย.
5. ส่งเสริมให้ผู้บริโภคได้มีส่วนร่วมในการตรวจสอบ และรู้เท่าทันภัยที่มาจากสินค้าเหล่านี้ เพื่อความปลอดภัยของตนเองได้อีกด้วย
ผลิตภัณฑ์ที่ต้องมีเครื่องหมาย อย.
1. อาหาร แบ่งเป็น 3 กลุ่มอาหารที่ต้องมีเครื่องหมาย อย. คือ
1.1 อาหารควบคุมเฉพาะ เช่น เครื่องดื่ม อาหารบรรจุในภาชนะที่ปิดสนิท
1.2. อาหารที่กำหนดคุณภาพหรือมาตรฐาน เช่น น้ำบริโภคในภาชนะบรรจุปิดสนิท ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร น้ำมันพืช อาหารกึ่งสำเร็จรูป
1.3. อาหารที่ต้องมีฉลาก เช่น ผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์ หมากฝรั่งลูกอม อาหารสำเร็จรูปพร้อมบริโภคทันที อาหารพร้อมปรุงโดยเครื่องหมาย อย.ที่ปรากฏบนผลิตภัณฑ์ประเภทอาหาร จะมีเลข 13 หลัก อยู่ในกรอเครื่องหมาย ซึ่งจะถูกเรียกว่า “เลขสารบบอาหาร” เลขเหล่านั้น เป็นรหัสของข้อมูลเกี่ยวกับ สถานที่ผลิตและข้อมูลต่าง ๆ ของผลิตภัณฑ์ ซึ่งถูกกำหนดขึ้น เพื่อให้ง่ายต่อการตรวจสอบในกรณีที่เกิดปัญหา ซึ่งเลขแต่ละหลักมีความหมาย ดังนี้
เลขลำดับที่ 1 – 2 : เลขจังหวัดที่ตั้งของสถานที่ผลิต (ใช้ตัวเลข 10 – 96 แทนจังหวัดนั้น ๆ) เช่น ตัวเลข 10 แทนจังหวัดกรุงเทพฯ ตัวเลข 73 แทนจังหวัดนครปฐม
เลขลำดับที่ 3 : สถานะของสถานที่และหน่วยงานที่อนุญาต (ใช้ตัวเลข 1 – 4 แทนสถานะ)
หมายเลข 1 หมายถึง สถานที่ผลิตอาหาร ซึ่งสํานักงานคณะกรรมการอาหารและยาเป็นผู้อนุญาต
หมายเลข 2 หมายถึง สถานที่ผลิตอาหาร ซึ่งจังหวัดเป็นผู้อนุญาต
หมายเลข 3 หมายถึง สถานที่นําเข้าอาหาร ซึ่งสํานักงานคณะกรรมการอาหารและยาเป็นผู้อนุญาต
หมายเลข 4 หมายถึง สถานที่นําเข้าอาหาร ซึ่งจังหวัดเป็นผู้อนุญาต
เลขลำดับที่ 4 – 6 : เลขประจำสถานที่ผลิต กำหนดแล้วแต่กรณี (ใช้ตัวเลขสามหลัก) เช่น 002 แทนเลขสถานที่ผลิตอาหารหรือสถานที่นําเข้าอาหาร ซึ่งได้รับอนุญาตเป็นลำดับที่ 2
เลขลำดับที่ 7 – 8 : เลขท้ายของปี พ.ศ.ที่อนุญาต เช่น ตัวเลข 41 แทน พ.ศ.2541
เลขลำดับที่ 9 : หน่วยงานที่อนุญาตผลิตภัณฑ์ หรือหน่วยงานที่ออกเลขสารบบอาหารของผลิตภัณฑ์ (ใช้ตัวเลข 1 – 2 แทนหน่วยงาน)
หมายเลข 1 หมายถึง อาหารที่ได้รับเลขสารบบอาหารจากสํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา
หมายเลข 2 หมายถึง อาหารที่ได้รับเลขสารบบอาหารจากจังหวัด
เลขลำดับที่ 10 – 13 : เลขลำดับที่ของผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการอนุญาต (ใช้ตัวเลขสี่หลักแทนลำดับ) เช่น ตัวเลข 0001 แทนลำดับที่ 1 , ตัวเลข 0652 แทนลำดับที่ 652
2. เครื่องมือแพทย์ที่ต้องมีใบอนุญาต เช่น ถุงยางอนามัย ถุงมือยางสำหรับศัลยแพทย์ ชุดตรวจเชื้อ HIV
คอนแทคเลนส์ จะเป็นตัวอักษร ผ. หรือ น. แล้วตามด้วยตัวเลข
ผ. หมายถึง ผลิตภัณฑ์ถูกผลิต
น. หมายถึง ผลิตภัณฑ์นำเข้า
เลขสองตัวแรก หมายถึง เลขที่ใบอนุญาต
เลขสี่ตัวหลัง หมายถึง ปี พ.ศ. ที่ได้รับอนุญาต