พระราชประวัติ และ พระราชกรณียกิจ
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง
พระราชประวัติ และ พระราชกรณียกิจ
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง
ห้องสมุดประชาชนอำเภอแม่ออน สังกัด สกร.ระดับอำเภอแม่ออน จังหวัดเชียงใหม่ ขอเผยแพร่พระราชประวัติ และ พระราชกรณียกิจ
เพื่อน้อมถวายความอาลัย ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้
พระราชประวัติ
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง พระบรมราชินีนาถใน พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เป็นพระธิดาองค์ใหญ่ของพลเอก พระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นจันทบุรีสุรนาถ กับหม่อมหลวงบัว กิติยากร สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานนามว่า “สิริกิติ์” ซึ่งมีความหมายว่า “ผู้เป็นศรี แห่งกิติยากร” ทรงพระราชสมภพเมื่อวันศุกร์ที่ ๑๒ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๔๗๕ ที่บ้านพลเอก เจ้าพระยาวงศานุประพัทธ์ (หม่อมราชวงศ์สท้าน สนิทวงศ์) ผู้เป็นบิดาของหม่อมหลวงบัว ณ บ้านเลขที่ ๑๘๐๘ ถนนพระรามหก ตำบลวังใหม่ อำเภอปทุมวัน จังหวัดพระนคร ขณะนั้นเป็นระยะที่ประเทศเพิ่งเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นระบอบประชาธิปไตย ก่อนหน้านั้นพระบิดาของพระองค์ทรงดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเสนาธิการทหารบก มียศเป็นพันเอก หม่อมเจ้านักขัตรมงคล กิติยากร
พระราชกรณียกิจ
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง
ในตลอดระยะเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจมากมาย เพื่อให้ประชาชนอยู่ดีกินดีขึ้นและประเทศชาติมีความเจริญก้าวหน้า หนึ่งในพระราชกรณียกิจนั้นคือการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งถือว่าเป็นฐานทรัพยากรอาหารทางธรรมชาติของประเทศ เกิดแหล่งผลิตอาหารกระจายทั่วประเทศ สร้างความมั่นคงด้านอาหารให้แก่ประชาชนและประเทศชาติสืบมาจนทุกวันนี้
“…เราเรียกแผ่นดินนี้ว่า “แผ่นดินแม่” เพราะแผ่นดินนี้เป็นที่เกิด และเลี้ยงดูคนไทยมากว่า 700 ปี ควรที่เราทั้งหลายจะบำรุงรักษาแผ่นดินให้คงความอุดมสมบูรณ์ไว้ ถ้าเรามัวแต่ตักตวงผลประโยชน์จากผืนดิน เช่น เอาแต่ตัดไม้ขายจนป่าสูญสิ้นไป ใช้ยาฆ่าแมลงและฆ่าวัชพืชจนดินเสียหมด หรือทิ้งของเสียสิ่งปฏิกูลลงไปในแม่น้ำลำคลองโดยไม่ห่วงใยแผ่นดินเลย
…สักวันหนึ่งแผ่นดินแม่คงตายจากเราไปโดยไม่มีวันหวนกลับคืนมา คงเหลือไว้ซึ่งพื้นดินที่แห้งแล้ง สิ้นสภาพจากการเป็นดินที่จะทำการเพาะปลูกได้…”
พระราชดำรัส 11 สิงหาคม 2535
“…ได้ใช้เงินของมูลนิธิศิลปาชีพและทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ไปเช่า และซื้อที่ดินจากชาวบ้านตั้งเป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ติดต่อเชื่อมโยงกับหมู่บ้านใหญ่ และให้ราษฎรที่หมู่บ้านใหญ่เป็นผู้ตัดสินเองว่าคนยากจนในหมู่บ้านของเขาคนใดบ้างที่สมควรได้รับการสนับสนุนให้มาอยู่ในหมู่บ้านป่ารักน้ำ
…โดยที่สมาชิกฝ่ายชายหัวหน้าครอบครัว มีอาชีพปลูกป่าไม้ เพาะกล้าไม้ต่าง ๆ ซึ่งเป็นต้นไม้โตเร็วทั้งนั้น จุดมุ่งหมายแรกคือ มุ่งให้รากของต้นไม้รักษาความชุ่มชื้นในแผ่นดิน จุดที่สองคือ ต้องการให้ชาวบ้านมีไม้สำหรับเป็นเชื้อเพลิงในการหุงหาอาหาร นับว่าเป็นการช่วยตัวเอง โดยไม่ต้องไปซื้อหาจากข้างนอก
…จุดที่สาม ในเมื่อต้นไม้อายุได้ 3 ปีขึ้นไป สามารถใช้ไม้นั่นซ่อมแซมหรือปลูกเพิ่มเติมที่อยู่อาศัยได้ นอกจากการปลูกป่าและเพาะกล้าต้นไม้แล้ว ก็ยังสนับสนุนให้ผู้ชายเลี้ยงสัตว์ มีบ่อปลา บ่อกุ้ง เป็นช่างไม้ ช่างปั้น ในขณะที่ภรรยาเป็นสมาชิกทอผ้า ตัดเย็บเสื้อผ้า ทอผ้าห่ม ทอผ้าฝ้ายปนไหมพรม ทำนวมสำหรับขายและสำหรับใช้ในหน้าหนาว
…ด้วยประการเช่นนี้ เราทั้งหลายที่ได้รับความสุขความสมบูรณ์จะสบายใจได้ว่า เรามีส่วนช่วยกันจัดสังคมที่สามารถเลี้ยงตัวเองเป็นอิสระ…”
พระราชดำรัส 11 สิงหาคม 2527