เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2558 บรรณาธิการและบุคลากรในกองบรรณาธิการ เข้าร่วมจัดทำ DOI (Digital Object Identifier) ซึ่งจัดทำโดยสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) เพื่อการเข้าถึงข้อมูลสารสนเทศดิจิทัล Open Access (OA) หรือ การเข้าถึงแบบเปิด โดยทางวารสารนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร (Naresuan University Law Journal - NULJ) ได้นำข้อมูลบทความในวารสารลงในฐานข้อมูลดังกล่าว ฉบับเต็ม (Full Text) ทั้งนี้ โดยเริ่มลงบทความ ตั้งแต่ ปีที่ 7 ฉบับที่ 2 (พฤศจิกายน) 2557 เป็นต้นไป หรือเข้าเว็บวารสารนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวรได้โดยตรง ตั้งแต่ปีที่ 7 ฉบับที่ 2 (พฤศจิกายน) 2557 ซึ่งได้เพิ่มชุดเลข DOI มาใส่เพื่อทำลิ้งค์จากบทความที่แสดงหน้าบทคัดย่อ ไปยังเว็บไซต์ที่แสดงเอกสารของเลข DOI โดยผู้สนใจสามารถดาวน์โหลดบทความวารสารฉบับเต็ม เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในการศึกษาค้นคว้าวิจัย โดยมิได้มีวัตถุประสงค์เพื่อการค้าหากำไร
เจตนารมณ์การเข้าร่วมจัดทำฐานข้อมูลกับสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) นั้น ก็เพื่อเป็นการส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาทางเทคโนโลยีโดยเฉพาะเทคโนโลยีแบบเปิด และอินเทอร์เน็ตที่เป็นช่องทางในการเผยแพร่ข้อมูลออกไปได้อย่างรวดเร็วไม่จำกัดเวลาและสถานที่ ซึ่งจะเกิดความเปลี่ยนแปลงในเรื่องของการผลิตและเผยแพร่ผลงานวิจัยไปสู่รูปแบบออนไลน์มากขึ้น ทำให้ผู้ใช้ปลายทางสามารถค้นหา นำไปอ่าน ภายใต้เงื่อนไขของการอ้างอิงที่ถูกต้อง การเผยแพร่ผลงานนี้ยังส่งผลต่อความก้าวหน้าในอาชีพ และชื่อเสียงในวงวิชาการ อันจะทำให้นักวิจัยตระหนักถึงเรื่องสิทธิ์ในตัวผลงานมากยิ่งขึ้น เหล่านี้จึงเป็นที่มาให้เกิด OA ที่มุ่งเน้นให้ผลงานไปสู่ผู้ใช้ประโยชน์มากที่สุดผ่านช่องทางของเทคโนโลยีและการจัดเก็บในรูปแบบของคลังความรู้ หรือฐานข้อมูลออนไลน์ โดยที่สิทธิ์ยังเป็นของเจ้าของผลงาน
ความเป็นมาของ DOI (Digital Object Identifier)
สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) เป็นหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบด้านการพัฒนาระบบวิจัยของประเทศ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องติดตามและพัฒนาการดำเนินงานให้สอดคล้องต่อความก้าวหน้าของเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ในแง่ของการเผยแพร่ผลงานวิจัย วช. มีหน่วยงานตามโครงสร้างที่รับผิดชอบโดยตรง ได้แก่ ศูนย์สารสนเทศการวิจัย (ศสจ.) ซึ่งทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางข้อมูลและสารสนเทศทางการวิจัยของประเทศ มีการดำเนินงานทั้งในรูปแบบของฐานข้อมูลเพื่อการสืบค้น ได้แก่ ศูนย์ข้อมูลการวิจัยดิจิทัล (Digital Research Information Center (www.dric.nrct.go.th)) ที่ให้บริการสืบค้นข้อมูลพร้อมเอกสารฉบับเต็ม ได้ทุกที่ทุกเวลา ปัจจุบันมีข้อมูลฉบับเต็มของงานวิจัยและวิทยานิพนธ์ให้บริการกว่า 33,000 ไฟล์ และบทคัดย่อกว่า 187,000 ไฟล์ การเป็นแหล่งรวบรวมข้อมูลทางการวิจัยนี้ วช. ดำเนินการอยู่ภายใต้กรอบของ มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2550 ที่ “เห็นชอบให้กระทรวง กรม รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานอื่นของรัฐ และหน่วยงานในกำกับของรัฐต่าง ๆ จัดส่งผลงานวิจัยที่สำเร็จเป็นเอกสารรายงานการวิจัย วิทยานิพนธ์ วารสารการวิจัย บทความวิจัยและวิชาการ ไปให้สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติเป็นประจำตลอดไปฯ” นอกจากนี้ วช. โดย ศสจ. ยังมีการดำเนินงานในรูปแบบของคลังข้อมูลเพื่อการเชื่อมโยง ได้แก่ คลังข้อมูลงานวิจัยไทย (Thai National Research Repository (www.tnrr.in.th)) ที่เกิดจากความร่วมมือของภาคีเครือข่ายองค์กรบริหารงานวิจัยแห่งชาติ (คอบช.) เพื่อประโยชน์ทั้งในด้านของการสืบค้น และการประมวลผลเพื่อการตรวจสอบความซ้ำซ้อน การจัดสรรงบประมาณและพิจารณาแนวโน้มการทำวิจัยของประเทศ ปัจจุบันมีหน่วยงานร่วมเชื่อมโยงแล้ว 50 หน่วยงาน มีผลงานวิจัยที่ร่วมเชื่อมโยงแล้วกว่า 300,000 รายการ
นอกจากลักษณะของฐานข้อมูลและคลังข้อมูลแล้ว วช. ยังเปิดเวทีสำหรับเผยแพร่บทความวิจัยที่มีคุณภาพ เพื่อเป็นการส่งเสริมการวิจัยเพื่อพัฒนาประเทศ โดยการจัดพิมพ์วารสารสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ 2 ฉบับ ได้แก่ ฉบับวิทยาศาสตร์และสังคมศาสตร์ เพื่อตีพิมพ์และเผยแพร่ผลงานทั้งที่เป็นผลงานวิจัยที่ได้รับทุนอุดหนุนการวิจัยจาก วช. และจากแหล่งทุนอื่น ดำเนินการมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2503 จากความก้าวหน้าของเทคโนโลยีดังที่ได้กล่าวมาข้างต้น ได้เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นในวงการวารสาร ที่มุ่งเน้นให้ไปในทิศทางของการเป็น OA มากขึ้น ในปี พ.ศ. 2554 วช. จึงได้หยุดดำเนินการตีพิมพ์วารสารในรูปแบบตัวเล่ม และปรับสู่การให้บริการในรูปแบบ e-Journal ในลักษณะของการให้ทุนอุดหนุนการจัดทำวารสารวิชาการทั้งทางด้านวิทยาศาสตร์และสังคมศาสตร์ โดยที่สิทธิ์ของผลงานยังเป็นของเจ้าของผลงานเฉกเช่นเดิม
ไม่เพียงแต่การเป็นแหล่งรวบรวมเผยแพร่และตีพิมพ์ผลงานวิจัย วช. ยังพัฒนาให้เกิดการทำงานร่วมกัน (Interoperability) ของเทคโนโลยีที่มีมาตรฐาน เป็นการต่อยอดไปสู่ความมั่นคงของข้อมูลใน ยุคอินเทอร์เน็ต ด้วยการเป็นหน่วยงานที่ริเริ่มดำเนินการในเรื่องของ รหัสมาตรฐานประจำทรัพยากรสารสนเทศดิจิทัล (Digital Object Identifier – DOI) (ราชบัณฑิตยสถานบัญญัติคำศัพท์ว่า ตัวระบุวัตถุดิจิทัล (ดีโอไอ)) ที่ทำหน้าหน้าที่เป็นตัวบ่งชี้ถาวรเพื่อการเข้าถึงข้อมูลสารสนเทศดิจิทัลได้แม้มีการเปลี่ยนที่อยู่ของเว็บไซต์ก็ตาม ไม่เพียงกำหนดรหัสดีโอไอให้แก่ทรัพยากรสารสนเทศทางการวิจัยที่ถูกจัดเก็บในฐานข้อมูล แต่ วช. ยังเปิดกว้างให้หน่วยงานต่าง ๆ สามารถส่งข้อมูลเพื่อขอรหัสดีโอไอให้แก่ทรัพยากรสารสนเทศดิจิทัลได้ โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ทั้งนี้ ให้อยู่ภายใต้ข้อตกลงที่ยอมรับร่วมกัน
การดำเนินการของ วช. ดังที่กล่าวมา นอกจากจะดำเนินการให้สอดคล้องกับความก้าวหน้าของเทคโนโลยี โดยยึดหลักการเพื่อผลักดันผลงานวิจัยไปสู่การใช้ประโยชน์อย่างสูงที่สุด และคำนึงถึงการคุ้มครองสิทธิ์ของเจ้าของผลงานแล้ว ยังเป็นไปตามแนวทางหลัก ของการพัฒนาระบบวิจัยของโลก ดังจะเห็นได้ว่า สภาวิจัยของโลก (Global Research Council - GRC ) ก็ได้หยิบยกเอาประเด็นของ OA มาแลกเปลี่ยนและผลักดันอย่างเป็นทางการตั้งแต่ปี ค.ศ. 2013 (พ.ศ. 2556) และผลักดันเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
ที่มา : สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.)