Link

รูปกิจกรรม

YouTube

YOU Tube

Link

ทำเนียบบุคลกร

Link

ทำเนียบนักเรียน

Link

เอกสาร

ห้องเรียน Online /การจัดการเรียนการสอน 

บทความ 

หลายท่านคงสงสัยว่าทำไมต้องใช้โปรแกรม deep freeze มาลงในเครื่องคอมพิวเตอร์ของท่าน โดยเฉพาะถ้าท่านอยู่ในหน่วยงานหรือองค์กรที่ต้องมีให้บริการเครื่องคอมพิวเตอร์กับผู้ใช้บริการ เช่น ห้องสมุด เป็นต้น หรือบางทีศูนย์คอมพิวเตอร์ หรือหน่วยที่ให้บริการคอมพิวเตอร์ ก็จะมีการลงโปรแกรมนี้ เพื่อสะดวกในการบริหารจัดการ และดูแลเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เจ้าหน้าที่ศูนย์คอมพิวเตอร์ ไม่มีจำนวนมากพอที่จะมาตามดูแลได้ทั้งหมด จึงต้องมีการลงโปรแกรม deep freeze เพื่อช่วยในการดูแลเครื่องคอมพิวเตอร์

ถ้าจะถามว่า  Deep Freeze แปลว่า อะไร คงต้องแปลแบบพร้อมอธิบายแบบง่ายๆ ว่า คือ การแช่แข็งไดรฟ์ ให้คงอยู่ในสภาพเดิมตลอดเวลา และมีประโยชน์อย่างไร

ประโยชน์ของโปรแกรม Deep Freeze

เมื่อลงโปรแกรมเสร็จแล้วเราจะสังเกตการทำงานได้จาก icon รูปหมีขาว ว่าอยู่ในสถานะใด

 โปรแกรมอยู่ในสถานะทำงาน เรียกว่า Frozen  state

โปรแกรมอยู่ในสถานะหยุดทำงาน เรียกว่า thaw

ในการทำงานบนเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มี โปรแกรม นี้ ต้องทราบว่าเครื่องนี้ป้องกัน ไดรฟ์ไหนไว้บ้าง เพราะเวลาที่เรา save งานลงไปในเครื่อง เมื่อทำการปิดเครื่องหรือทำการรีสตาร์ท เครื่อง ไฟล์ ต่างๆที่เซฟไว้จะหายไปทั้งหมด ทางที่ดี ควรใช้ ไดรฟ์ส่วนตัว ของเรามาเสียบ แล้วเก็บงานสำคัญของตนเองไว้ อย่าไว้ใจเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ไม่ใช่เครื่องส่วนตัวมากนะคะ


ฟิล์มไฮโดรเจลคืออะไร? ดีกว่าฟิล์มชนิดอื่นยังไง?

ฟิล์มไฮโดรเจลคืออะไร

ฟิล์มไฮโดรเจล (Hydrogel Film) คือฟิล์มกันรอยรูปแบบใหม่ที่พัฒนาต่อยอดขึ้นมาจากฟิล์ม TPU โดยผสานคุณสมบัติหลาย ๆ อย่างที่เหนือกว่า ลักษณะเด่นของฟิล์มชนิดนี้คือเนื้อฟิล์มมีความบางและยืนหยุ่นสูงเหมือนแผ่นเจลเหลว ๆ ทำให้สามารถติดลงบนหน้าจอสมาร์ตโฟนมีที่ลักษณะขอบโค้งได้แนบสนิท บางแห่งเรียกฟิล์มชนิดนี้ว่าฟิล์มน้ำจากชื่อไฮโดรที่แปลว่าของเหลวนั่นเอง 

ฟิล์มไฮโดรเจลในปัจจุบันมีอยู่ด้วยกัน 3 รูปแบบ ได้แก่ แบบใส แบบด้าน และแบบถนอมสายตา อนาคตน่าจะมีรูปแบบอื่น ๆ เพิ่มเข้ามาอีก ด้วยความยืดหยุ่นนี่เองทำให้การติดตั้งฟิล์มชนิดนี้ก็ไม่ยุ่งยากเท่าฟิล์มกระจก ไม่ต้องใช้กาวหรือน้ำ เมื่อแปะลงจอแล้วสามารถไล่ฟองอากาศได้ง่าย และเมื่อลอกออกจะไม่ทิ้งคราบใด ๆ บนหน้าจอ

คุณสมบัติของฟิล์มไฮโดรเจลมีทั้งความยืดหยุ่น กระจายแรงกระแทกได้ดี สมานรอยขีดข่วนเบา ๆ ได้ เนื้อฟิล์มไม่แตกไม่ร้าวแบบฟิล์มกระจกทำให้ไม่เป็นอันตรายในการทัช รอยนิ้วมือติดน้อยกว่าฟิล์มใสทั่วไปและยังเช็ดทำความสะอาดง่าย แถมยังไม่ลดทอนความคมชัดของหน้าจอ ช่วยให้ทัชแม่น สแกนไว ฟิล์มไฮโดรเจลจึงเหมาะกับสมารํตโฟนทุกรุ่น 

ข้อดีของฟิล์มไฮโดรเจล

ฟิล์มไฮโดรเจลมีจุดเด่นที่ความบางและยืดหยุ่นดังนั้นมันจึงติดลงบนหน้าจอสมาร์ตโฟนได้แนบสนิททั้งจอแบนปกติและจอขอบโค้ง ฟิล์มจะเต็มขอบหน้าจอ ไม่มีปัญหาฟิล์มขอบลอย และด้วยความบางของฟิล์มทำให้ไม่มีปัญหาฟิล์มดันเคสโทรศัพท์ด้วย ขณะที่ความยืดหยุ่นสูงของชั้นฟิล์มไฮโดรเจลยังช่วยให้สามารถรับแรงกระแทกจากของแข็งได้ดีไม่แพ้ฟิล์มกระจกแต่จะไม่มีการแตกเป็นเศษเล็ก ๆ มาบาดนิ้ว นอกจากนี้ยังป้องกันรอยขีดข่วนได้ดีไม่แพ้กัน และสามารถสมานรอยขีดข่วนเบา ๆ ได้เอง ฟิล์มหนึ่งแผ่นจึงใช้งานได้นานจนลืม ไม่ต้องเปลี่ยนบ่อย ๆ

ความบางของชั้นฟิล์มยังไม่ไปลดทอนคุณภาพการแสดงผลข้องหน้าจอสมาร์ตโฟน ภาพจึงสวย คมชัด สีสันสดใส 100% เหมือนไม่ได้ติดฟิล์ม ทั้งยังให้สัมผัสที่ลื่น ช่วยให้ทัชง่าย ลื่นไหล และว่องไวคล่องมือ เล่นเกมไม่เป็นอุปสรรค นอกจากนี้ยังติดคราบรอยนิ้วมือน้อยกว่าฟิล์มชนิดอื่นและเช็ดออกได้ง่าย ๆ ด้วยผ้าไมโครไฟเบอร์

ปัจจุบันฟิล์มไฮโดรเจลทำออกมาครอบคลุมสมาร์ตโฟนหลายรุ่นมาก และที่สำคัญคือราคาถูกกว่าฟิล์มกระจกพอสมควรอีกด้วย ถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมาก ๆ ในยุคนี้

ข้อเสียของฟิล์มไฮโดรเจล

ดูเหมือนฟิล์มไฮโดรเจลจะมีข้อดีเต็มไปหมดแต่ใช่ว่ามันจะไม่มีข้อเสียเลย ด้วยความยืดหยุ่นและความบางของชั้นฟิล์ม หากแปะลงหน้าจอไปแล้วเวลาลอกออกฟิล์มจะยืดและเสียรูปทันที ทำให้ไม่สามารถแก้ไขหรือดึงออกแล้วแปะซ้ำลงไปใหม่ได้ ดังนั้นก่อนจะแปะลงหน้าจอต้องกะขนาดให้พอดีเป๊ะ ๆ ยิ่งเป็นรุ่นที่เต็มขอบจอยิ่งต้องใช้ความละเอียดในการติดตั้ง พลาดแล้วต้องเปลี่ยนแผ่นใหม่เท่านั้น

อีกหนึ่งข้อจำกัดของฟิล์มไฮโดรเจลคือไม่ค่อยฟิล์มตรงรุ่นของสมาร์ตโฟนรุ่นเก่า ๆ ต้องอาศัยเทียบรุ่นหรือตัดแต่งให้พอดีกับหน้าจอก่อนทำการติดตั้ง

ฟิล์มไฮโดรเจลเหมาะกับใคร

จากจุดเด่นด้านความยืดหยุ่นและความบาง ฟิล์มไฮโดรเจลเหมาะอย่างยิ่งกับคนใช้สมาร์ตโฟนรุ่นที่เป็นจอขอบโค้งเพราะมันสามารถติดลงหน้าจอได้แนบสนิทเต็มจอ ไม่เกิดปัญหาขอบลอยและปัญหาฟิล์มดันเคสที่น่ารำคาญ นอกจากนี้ยังเหมาะกับคนที่ชอบฟิล์มหน้าจอบาง ๆ ใช้งานลื่น ทัชไว ตอบสนองดี ไม่ชอบกระจกแข็ง ๆ นูน ๆ ดูไม่เรียบเนียน ฟิล์มไฮโดรเจลยังไม่ทำให้การแสดงหน้าจอดร็อปลงดังนั้นจึงเหมาะกับคนที่ซีเรียสเรื่องภาพและสีสันของหน้าจอ ที่สำคัญราคายังถูกกว่ากระจกกันรอย ติดตั้งด้วยตัวเองได้ง่าย ๆ

ที่มา : https://www.mercular.com/review-article/what-is-hydrogel-screen-protector




14 ข้อคิดที่ได้จากหนังสือ แค่ ปฏิเสธ เป็น ชีวิตก็ดีขึ้นหลายเท่า ศิลปะ แห่งการ ปฏิเสธ "แบบไม่รู้สึกผิด"

14 ข้อคิดที่ได้จากหนังสือ

แค่ ปฏิเสธ เป็น ชีวิตก็ดีขึ้นหลายเท่า

ศิลปะ แห่งการ ปฏิเสธ "แบบไม่รู้สึกผิด"

1. ยึดมั่นในจุดยืนของคุณ

เอาเวลาที่มีค่าของคุณคืนมา

ปฏิเสธคนอื่นอย่างมีศิลปะ

2. ช่วยตัวคุณก่อน

ก่อนที่จะช่วยเหลือคนอื่น

3. การเป็นคนตรงไปตรงมา

เป็นสิ่งที่สามารถฝึกฝนได้

ความตรงไปตรงมา หมายถึง

การเป็นคนที่มีความมั่นใจ

ที่จะกล้าแสดงออกถึงจุดยืนและ

ความต้องการของคุณเอง แม้ว่า

จะต้องเผชิญหน้ากับการคัดค้านขัดขวางก็ตาม

และยังเป็นสิ่งที่ทำให้คนอื่น

ไม่สับสนในจุดยืนของคุณด้วย

4. เหตุผลที่ทำให้คุณไม่อยากปฏิเสธคำขอ ก็คือ ไม่อยากจะทำให้คนอื่นผิดหวัง เพราะคุณ รู้สึกกระดากอาย ที่จะทำให้คนอื่นผิดหวัง คุณรู้สึกไม่ดีที่ทำให้คนอื่นโศกเศร้าเพราะการปฏิเสธของคุณ การเห็นคนอื่นรู้สึกผิดหวังและโศกเศร้า ทำให้คุณรู้สึกว่าเป็นคนผิดของคุณ

แต่คุณอาจจะลืมไปว่า คุณไม่มีความจำเป็นที่จะต้องรู้สึกผิดเมื่อเห็นคนอื่นผิดหวัง เพราะคุณปฏิเสธพวกเขา คุณไม่จำเป็นที่จะต้องไปรับผิดชอบใด ๆ กับการที่พวกเขามาคาดหวังขอความช่วยเหลือจากคุณ

เช่น ตัวคุณเองมีงานที่ต้องทำอยู่มากมาย แทบจะไม่มีเวลาพักผ่อน หรือ แม้คุณจะไม่มีงานก็ตาม แต่คุณเหนื่อยจากการทำงานมาในวันก่อน ๆ คุณอยากจะพักผ่อน แล้วมีเพื่อนร่วมงานมาขอใหุ้ณช่วยเหลือ ด้วยความที่คุณไม่มีเวลา หรือ คุณต้องการพักผ่อน คุณจึงได้ปฏิเสธเขาหรือเธอนั้นไป ทำให้พวกเขาเหล่านั้นผิดหวังหน้าเหี่ยวกับไป คำถามคือ ความผิดหวังของเขาเหล่านั้นเป็นความผิดของคุณใช่ไหม? หรือ เป็นเพราะเพื่อนร่วมงานมาขอความช่วยเหลือจากคุณอย่างไม่สมเหตุสมผลและอาจจะไม่ถูกต้องว่าคุณจะให้ความช่วยเหลือเขา โดยที่ไม่ดูความสะดวกของคุณก่อนกันแน่?

แทบไม่ต้องคิดเลยว่าคำตอบคือข้อหลัง

การที่คุณเข้าใจและมีมุมมองในเรื่องนี้มากขึ้น จะช่วยให้คุณมีความกล้าที่จะบอกปัดคำขอจากคนอื่นได้ง่ายขึ้นมาก

5. การยอมจำนนต่อการข่มเหงทางอารมณ์ ก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้เราไม่อาจจะปฏิเสธคำขอได้ หากเราไม่มีความมั่นใจในตนเองมากพอ บางที คนที่ขอความเชื่อเหลือจากคุณ อาจจะพยายามข่มขู่ กดดัน เพื่อให้คุณเกิดความกลัว ความโกรธ ความประหม่า จะได้ทำตามที่เขาหือเธอได้โดยง่าย วิธีการข่มเหงทางอารมณ์นั้นก็มีหลายวิธีด้วยกันเช่น

การตะคอก

การตะโกนเรียก

การคุกคาม

การกล่าวโทษ

การบีบออกจากกลุ่ม เป็นต้น

เช่น เพื่อนร่วมงานของคุณ มาขอความช่วยเหลือ แล้วคุณได้ปฏิเสธไป แทนที่เขาจะเข้าใจและกลับไป เขากลับตะคอกใส่คุณ แสดงกิริยาก้าวร้าวใส่ หวังให้คุณเกิดความกลัวและรู้สึกแย่ เพื่อที่จะทำให้คุณยอมทำตามที่เขาต้องการ

การกระทำแบบนี้ คุณและเขารู้ดีอยู่แล้วว่า เป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมและไม่เป็นมืออาชีพ ให้คุณมีความมั่นใจในตนเองว่าการที่คุณปฏิเสธคำขอเขาไปนั้น คุณไม่ได้เป็นฝ่ายผิด บางครั้งคุณอาจจะลองถามเขากลับไปก็ได้ว่า ครั้งล่าสุดที่เขาขอความช่วยเหลือจากคนอื่นโดยใช้วิธีแสดงกิริยาแบบนี้แล้วได้ผลนั้นเมื่อไหร่?

เพราะการตะคอกของผู้ข่มเหงนั้น เป็นการแสดงออกของผู้ที่บกพร่องในทางบุคลิกภาพ การเข้าใจในจุดนี้ จะช่วยให้คุณมีความมั่นใจและแน่วแน่ในจุดยืนของคุณได้อย่างมั่นคงมายิ่งขึ้น

6. หากคุณไม่รู้ว่า คุณนั้นมีแนวโน้มที่จะเป็นคนที่ชอบทำให้คนอื่นพอใจมากน้อยแค่ไหน ในหนังสือเล่มนี้ มีแบบสอบถามให้คุณ 15 ข้อ เพื่อที่คุณจะได้ประเมินตนเองได้ถูกว่า คุณเป็นคนที่ชอบทำตามคำขอของคนอื่นมากน้อยแค่ไหน และมีข้อไหนบ้างที่คุณจะต้องปรับปรุงแก้ไขตนเองเพื่อที่จะให้กล้าปฏิเสธคำขอที่เข้ามา เพื่อที่จะสร้างพื้นที่ส่วนตัว และ เพิ่มเวลาให้กับตนเองให้มากยิ่งขึ้น

การเปลี่ยนนิสัยที่ชอบทำให้คุณอื่นพอใจ แต่ตัวเองกลับทุกข์ใจนั้น เป็นเรื่องที่ไม่ง่าย แต่ถ้ามีความเพียรมากพอก็สามารถทำได้ไม่ยากเช่นกัน บางคนอาจจะเปลี่ยนได้เร็ว บางคนอาจจะเปลี่ยนได้ช้า แต่ก็สามารถทำได้ทุกคน และหนังสือเล่มนี้ จะช่วยแนะนำวิธีการเปลี่ยนแปลงชีวิตของคุณไปแบบทีละขั้นตอน

7. เราสามารถที่จะปฏิเสธคำขอของคนได้ โดยไม่ต้องใช้คำว่า "ไม่" ก็ได้ ในบางสถานการณ์ ที่มีคนมาขอให้เราช่วย และเราไม่อาจจะช่วยได้ในเวลานั้น เราก็อาจจะบอกว่า "มีหลายคนที่ต้องการให้เราทำงานนี้ให้เสร็จ เขาจะต้องผิดหวังหรือเวสียเวลางานของเขาแน่ ๆ ถ้าเราปลีกตัวไปช่วยเขาในตอนนี้" จะเห็นได้ว่า การปฏิเสธนี้ ไม่มีคำว่า "ไม่" อยู่ในประโยคเลย นอกจากจะทำให้เราไม่ต้องเสี่ยงกับการปะทะกับคนอื่นแล้ว ยังช่วยให้เราดูเป็นคนมีความรู้มีการศึกษาอีกด้วย

การปฏิเสธ โดยไม่ต้องใช้คำว่า "ไม่" แบบนี้ สามารถนำไปปรับใช้ได้ในทุกสถานการณ์ ขึ้นอยู่กับความชำนาญของเราเอง และการที่จะทำแบบนี้ได้ เราจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีความรู้รอบตัวที่มากพอด้วย ยิ่งมีความรู้รอบตัวมาก เราก็ยิ่งหาคำพูดมาพูดในแต่ละสถานการณ์ได้มากขึ้นตามไปด้วย

8. หลีกเลี่ยงการโกหกว่า "ไม่ว่าง" การจะปฏิเสธคำขอใด ๆ ก็ตาม ถ้าเป็นไปได้ เราไม่ควรที่จะพูดโกหกเพื่อปฏเสธคำขอนั้น ๆ เพราะแม้ว่าจะทำให้เราสามารถปฏิเสธคำขอนั้นได้ และการพูดโกหกด้วยเรื่องเพียงเล็กน้อย ก็ไม่เห็นว่าจะเป็นอันตรายกับใคร ซึ่งก็อาจจะจริง

แต่การพูดโกหกเพื่อบอกปัดคำขอให้ช่วยเหลือนั้น แม้จะเป็นเรื่องเล็ก ๆ ก็ตาม แต่นั่นถือว่าเป็นการทำลายความมั่นใจในเหตุผลของคุณเอง วึ่งจะทำให้คุณมีความเกรงกลัวว่าคนอื่นจะไม่ยอมรับในเหตุผลของคุณ จนคุณต้องถึงกับโกหกเพราะที่จะให้คนอื่นยอมรับการปฏิเสธของคุณ ซึ่งถ้าทำบ่อย ๆ คุณจะเป็นคนที่กลัวการพูดความจริงไปเรื่อย ๆ

วิธีที่ดีที่สุดก็คือ ให้คุยบอกเหตุผลไปตรง ๆ ว่าเพราะอะไรคุณถึงปฏิเสธคำของเขา หรือ หาเหตุผลอื่น ๆ มาประกอบด้วย เพื่อหลีกเลี่ยงการทะเลาะกับคนที่มาขอให้ช่วย แต่ทุกอย่างต้องอยู่บนพื้นฐานของความจริง เพราะนอกจากจะทำให้คุณมีความมั่นใจในตัวคุณเองแล้ว ยังเป็นการแสดงออกถึงความเคารพและให้เกียรติในตัวบุคคลที่มาขอให้ช่วยด้วย

9. ความเด็ดเดี่ยวในการตัดสินใจเป็นสิ่งสำคัญ ในบางครั้ง การที่คุณปฏิเสธใครสักคน คุณอาจจะต้องเจอกับบุคคลที่มีความดื้อดึง พยายามจะโน้วน้าวให้คุณทำตามในสิ่งที่เขาต้องการ แม้ว่าคุณจะตอบปฏิเสธเขาไปแล้วก็ตาม โดยอาจจะใช้อุบายต่าง ๆ ในการหลอกล่อคุณ หรืออาจะถึงขั้นข่มขู่อย่างเปิดเผยเลยก็มี

ตรงจุดนี้ คุณต้องมีความหนักแน่นและแน่วแน่ต่อความตั้งใจของคุณเองด้วย ไม่ว่าเขาจะแสดงปฏิกิริยาออย่างก็ตาม หลังจากที่คุณปฏิเสธไปแล้ว เช่น อาจจะผิดหวัง หรือ โกรธคุณก็ตาม การแสดงออกของเขานั้น ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับการตัดสินใจของคุณเลย

คุณต้องมั่นใจในจุดยืนของตนเอง หากว่าคุณได้ปฏิเสธเขาไปด้วยเหตุผล การที่คุณจะยืนหยัดในจุดยืนของคุณอย่างแน่วแน่ได้นั้น คุณต้องยอมรับก่อนว่า เขาคนนั้นเป็นคนดื้อดึง แล้วคุณจะสามารถตัดสินใจในจุดยืนของคุณได้อย่างมั่นใจมากยิ่งขึ้น

ถ้าเขายังดื้อที่จะขอให้คุณช่วยอยู่ คุณก็อาจที่จะถามเขาไปว่า "คุณไปขอให้ใครช่วยมาแล้วบ้างหรือยัง" หรือ อาจจะบอกไปว่า "เราไม่มีความถนัดในเรื่องนี้ ไม่ลองไปถามคนอื่นที่เขาถนัดในด้านนี้ดูละ เผื่อเขาจะสามารถช่วยคุณได้" แบบนี้ ก็เป็นการปฏิเสธที่แนบเนียนได้เหมือนกัน และยังเป็นการบอกเป็นนัยด้วยว่าคุณยังไม่พร้อมที่จะช่วยเหลือเขา ให้ลองไปถามคนอื่นดูน่าจะมีโอกาสได้รับความช่วยเหลือมากกว่า แบบนี้เป็นต้น

10. เวลา เป้าหมาย และความสนใจของคุณเป็นสิ่งสำคัญ จงให้ความสำคัญกับสิ่งเหล่านี้อันดับแรก

หลายคนที่ชอบทำตามความต้องการของคนอื่น ชอบทำให้คนอื่นพอใจเวลาที่มาร้องขอให้ช่วยนั้น เหตุผลส่วนใหญ่ก็มาจากการขาดความมั่นใจในตนเอง เห็น เวลา ความคิดเห็น และ เป้าหมายของคนอื่นมีความสำคัญมากกว่าของตนเอง อันนี้เป็นปัญหาในเรื่องความมั่นใจในตนเอง ทำให้ไม่กล้าแสดงออก และยังอาจจะทำให้ปฏิเสธคนอื่นได้ยากมาก ๆ

สิ่งสำคัญที่จะต้องแก้ไขก็คือ คุณต้องตระหนักและรับรู้ให้ได้ว่า คุณเองก็มีคุณค่าไม่แพ้คนอื่นเช่นกัน ความคิดเห็น เป้าหมาย และ ความสนใจ ของคุณ ก็มีค่าเทียบเท่ากับคนอื่น การตระหนักถึงเรื่องนี้ จะช่วยให้คุณสามารถบอกปัดคำขอของคนอื่นได้ไม่ยาก และสามารถปฏิเสธคนอื่นได้โดยที่ไม่ต้องมากังวลว่าคนที่ได้รับการปฏิเสธนั้นจะมีความคิดเห็นกับคุณอย่างไร และคุณต้องไม่ลืมว่า การปฏิเสธคนโดยมีเหตุผลรองรับนั้นไม่ได้ทำให้คุณเป็นคนไม่ดี

11. "สุภาพ" ไว้ก่อน ยังไงก็ไม่เสียหลาย ในบางครั้ง อาจจะมีคนที่มาขอให้คุณช่วยเหลือด้วยความก้าวร้าวและหยาบคาย คุณอาจจะอยากตอบโต้เขาไปด้วยความหยาบคายเช่นกัน เพื่อแสดงให้เห็นว่าคุณจะไม่ยอมให้ใครมากดหัวใช้คุณได้ แต่การแสดงออกซึ่งความหยาบคายนั้น อาจจะส่งผลเสียให้คุณได้ ไม่ว่าจะทางสังคม หรือ ในหน้าที่การงาน

ถ้าคุณไปโต้ตอบแบบหยาบคาย ใส่เพื่อนร่วมงาน เขาอาจจะเอาไปบอกต่อกับเพื่อนของเขาว่าคุณนั้นไร้ความเป็นมืออาชีพ ซึ่งอาจจะทำให้การงานของคุณเสียหายได้ และไม่ว่าจะกับใครก็ตาม ถ้าคุณตอบโต้แบบก้าวร้าว ก็มีโอกาสที่คุณจะสร้างศัตรูโดยใช่เหตุ และ อาจจะทำลายมิตรภาพที่เคยมีต่อกันให้พังลงไปได้

ดังนั้น การปฏิเสธเอง นอกจากจะต้องการความมั่นใจและแน่วแน่แล้ว ความสุภาพเองก็เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เช่นเดียวกัน เราอาจจะบอกเขาไปว่า เรามีงานที่ต้องทำอยู่มาก แล้วต้องการทำให้เสร็จในช่วงนี้ ขอบคุณที่ให้ความไว้วางใจ ไว้มาขอให้ช่วยใหม่ในวันหลัง เวลาที่เราว่าง แบบนี้ก็ได้ ซึ่งการบอกไปแบบนี้ จะช่วยให้คนที่รับฟังสามารถยอมรับการปฏิเสธของเราได้โดยที่ไม่ต้องขัดแย้งกัน

12. การปฏิเสธบุคคลในสถานการณ์ต่าง ๆ นั้น ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม คุณจะต้องนึกภาพออกอย่างแน่นอนว่า เขาเหล่านั้น แม้ว่าจะเป็นญาติพี่น้อง เพื่อน คนสนิท หรือ คนแปลกหน้า แต่ถ้าคุณให้ความช่วยเหลือเขาไปทุกครั้ง เพราะไม่กล้าจะปฏิเสธ นั้นเป็นการฝึกให้พวกเขาสร้างความลำบากให้คุณอยู่ เพราะเขาจะเห็นว่าการขอความช่วยเหลือจากคุณนั้นง่าย เขาก็จะขอความช่วยเหลืออยู่เสมอ โดยไม่สนว่าคุณจะลำบากแค่ไหน หรือ มีงานยุ่งอะไรหรือเปล่า เขาเพียงต้องการให้คุณทิ้งสิ่งที่คุณกำลังทำอยู่แล้วไปช่วยในเรื่องของเราเท่านั้น

วิธีแก้สิ่งเหล่านี้ก็มีหลายวิธีด้วยกัน คุณอาจจะต้องตั้ง "กฎขึ้นมาสักข้อก็ได้ เช่น กฎไม่ทำธุระ , กฎช่วยตามเวลาเท่านั้น ถ้าเลยเวลานี้ไปก็จะไม่รับคำขอใด ๆ ทั้งสิ้น แบบนี้เป็นต้น ซึ่งสิ่งนี้จะช่วยสร้างความเป็นส่วนตัวของคุณขึ้นมาได้ เมื่อนำกฎเหล่านี้มาใช้บ่อย ๆ พวกเขาเหล่านั้น ก็จะเห็นไปเองว่า คุณนั้นมีพื้นที่ส่วนตัวอยู่ ไม่อาจจะให้ความช่วยเหลือเขาได้ทุกเวลา ส่งผลทำให้คุณมีเวลาและความสนใจเป็นของตัวเองได้มากขึ้น

13. เริ่มต้นจากการปฏิเสธเรื่องเล็ก ๆ ไปก่อน หากการปฏิเสธคนอื่นนั้นเป็นเรื่องที่รู้สึกยากสำหรับคุณ เราขอแนะนำให้คุณทำการฝึกปฏิเสธในสถานการณ์เล็ก ๆ ไปก่อน เพื่อเป็นการสร้างความมั่นใจในตัวคุณเองไปในตัวด้วย

เช่น เวลามีพนักงานร้านขายของมาขอให้คุณสมัครบัตรสมาชิก เพื่อรับส่วนลด 15 เปอร์เซ็นต์ ก็ให้คุณทำการปฏิเสธไปแล้วบอกคุณที่แนะนำ แม้ว่าคุณจะอยากสมัครมากแค่ไหนก็ตาม หรือ จะปฏิเสธพนักงานที่ร้านสะดวกซื้อก็ได้เวลาที่เขาได้เสนอให้เราซื้อสินค้าลดราคาที่น่าสนใจ ก็ให้เราปฏิเสธไป เพราะเขาเหล่านั้น ได้ยินคำปฏิเสธอยู่ทุกวัน ดังนั้นความต่อต้านคำปฏิเสธของเขานั้นจึงมีน้อย และไม่รู้สึกโกรธเราแต่อย่างใด เพราะเป็นหน้าที่ ๆ เขาจะต้องถามเท่านั้น ถือได้ว่าเป็นการฝึกปฏิเสธของเราได้เป็นอย่างดี

เมื่อเรามีความมั่นในการปฏิเสธของเราแล้ว เราก็อาจจะลองหัดปฏิเสธในสถานการณ์ที่ใหญ่ขึ้นมาได้เป็นขั้น ๆ ไป จนถึงแม้ว่าจะการจะปฏิเสธในสถานการณ์ที่อาจจะทำให้คนที่มาขอให้เดราช่วยนั้นผิดหวัง หรือ โกรธเรา เราก็ยังจะสามารถที่จะแน่วแน่มั่นคงในจุดยืนของเราได้ ดังนั้นการเริ่มต้นปฏิเสธจากสิ่งเล็ก ๆ นั้นเป็รเองที่สำคัญมาก

14. เลิกเป็นคนที่ทำให้คนอื่นพอใจ แต่ตัวเองทุกข์ใจได้แล้ว การกำหนดขอบเขตความเป็นส่วนตัว และเรียนรู้วิธีที่จะปฏิเสธคนอื่นอย่างมีศิลปะ เหนื่อไหมที่ต้องมาคอยทำให้คนอื่นพอใจ แล้วทำให้ตนเองต้องมานั่งเหนื่อยอยู่คนเดียว

เหนื่อยไหมที่ต้องมาคอยให้คนมาคอยใช้ประโยชน์จากตนเอง ลองมาค้นหาวิธีที่จะเปลี่ยนชีวิตของตนเอง ด้วยการขจัดสิ่งรบกวนอื่น ๆ ที่ไม่จำเป็นออกไป

เอาเวลาของเราคืนมา สร้างไลฟ์สไตล์ที่ดีและมีคุณภาพของตนเองให้ดีขึ้น

หนังสือเล่มนี้ จะคอยแนะนำว่า การสร้างจุดยืนและขอบเขตความเป็นส่วนตัวของคุณนั้น สามารถทำได้อย่างไร โดยที่ผู้คนยังให้ความเคารพคุณอยู่เหมือนเดิม หรืออาจจุมากขึ้นด้วย เรามาร่วมค้นหาวิธีนั้นไปด้วยกัน!

แค่ "ปฏิเสธ" เป็น ชีวิตก็ดีขึ้นได้อีกหลายเท่า!

หนังสือเล่มนี้ยังมีข้อคิดอีกมาก

หากสนใจสั่้งซื้อเล่มนี้ได้ที่

Shopee : https://shope.ee/505GiWVbID

Lazada : https://s.lazada.co.th/s.k0Yhd?cc

ความรู้สึกทั้งหมด

2.4 พัน

Waranya Kabjun และ คนอื่นๆ อีก 2.4 พัน คน



เราทุกคนคือ"ผู้เลือก"ของชีวิตตัวเอง

เราทุกคนคือ"ผู้เลือก"ของชีวิตตัวเอง

ความสุขไม่ได้เลือกเราแต่เราต้องเลือกความสุข

จงฝึกเป็นผู้เลือก ไม่ใช่ผู้ถูกเลือก

It's time to choose yourself

ถ้าเราไม่ยอมแพ้ชีวิตจะไม่มีทางตัน

และมีหนทางให้เราเลือกเดินเสมอ

หลายครั้งที่เราเอาแต่จมปลักอยู่กับอะไรก็ไม่รู้

ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกแย่ๆ สถานการณ์แย่ๆ

หรือแม้กระทั่งกับคนที่ไม่ได้แคร์อะไรเราเลย ฯลฯ

เราไม่จำเป็นต้องเล่นบทเหยื่อผู้ถูกกระทำ

เพื่อให้ดูน่าสงสารหรือเรียกร้องความสนใจจากใคร

เพราะจริงๆ แล้วไม่มีใครแคร์เราขนาดนั้นหรอก

เราต่างหากที่ต้องเลือกสิ่งดีๆ และหนทางที่ดีกว่าเพื่อชีวิตของตัวเอง

.

ความสุขหรือความทุกข์มันไม่ได้อยู่ๆ ก็เกิดขึ้นเองได้

เราต้องเป็นฝ่ายเลือกที่จะมองเห็นมันด้วยตัวเอง

เมื่อมีอะไรบางอย่างมากระทบความรู้สึกหรือจิตใจ

มันขึ้นอยู่ที่ว่าเรามีวิธีการรับมือและตอบสนองกับมันอย่างไร

เราโฟกัสหรือให้ความสนใจสิ่งไหน

พลังงานของเราก็จะทุ่มให้สิ่งนั้นเยอะเป็นพิเศษ

.

ใครที่กำลังคิดว่าชีวิตตัวเองโชคร้าย

หรือไม่มีทางเลือกอะไรในชีวิตเลย

อยากให้ถามตัวเองดีๆ ว่า

คุณโชคร้ายและไม่มีทางเลือกจริงๆ

หรือแค่มีทัศนคติแบบคนโชคร้ายกันแน่?

สมองของมนุษย์นี่มหัศจรรย์นะ

เพียงแค่เราปรับความคิดหรือทัศคติของตัวเอง

มุมมองและชีวิตของเราจะเปลี่ยนไปเลย

อย่าลืมว่าเราเลือกที่จะมีมุมมองต่อสิ่งต่างๆ ในแบบของตัวเองได้นะ

.

ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น"จงเลือกสุขภาพจิตของตัวเองก่อนเสมอ"

เพราะถ้าเราเลือกที่จะทนอยู่กับสิ่งที่มันบั่นทอนตัวเองไปเรื่อยๆ เราเองนั่นแหละที่จะแย่

เพราะถ้าสุขภาพจิตใจของเราย่ำแย่

มันย่อมส่งผลให้การตัดสินใจเรื่องต่างๆ ในชีวิตแย่ตามไปด้วย ปัญหาก็จะถาโถมเข้ามาและล้มเป็นโดมิโน่

บางอย่างถ้าเราไม่ยอมเลือกให้ตัวเองตั้งแต่วันนี้

สักวันเราก็จะต้องกลายเป็นตัวเลือกในที่สุด

.

สิ่งสำคัญคือห้ามลืมเลือกตัวเองเด็ดขาด

หลายคนมักจะวางตัวเองไว้เป็นช้อยส์สุดท้าย

และชอบคิดถึงคนอื่นก่อนเสมอจนลืมตัวเอง

ชีวิตเรามีค่านะ การเลือกทำสิ่งดีๆ เพื่อตัวเองบ้างมันไม่ใช่การเห็นแก่ตัวหรอก อย่างน้อยก็คิดซะว่าทำเพื่อให้ตัวเองในอนาคตได้ภูมิใจ

.

เมื่อใดก็ตามที่กำลังรู้สึกว่าชีวิตมันยากซะเหลือเกิน

และไม่เหลือทางเลือกใดๆ เลย ให้คิดไว้เสมอว่า

เมื่อประตูบานหนึ่งปิดลง หน้าต่างจะเปิดออก

จงโฟกัสไปที่ทางออกและการแก้ปัญหา

ไม่ใช่เฝ้ามองแต่ประตูที่ปิดไปแล้ว

อยากให้ชีวิตของตัวเองเป็นแบบไหน

เราต้องฝึกเลือกตั้งแต่วันนี้

#พัฒนาตัวเอง

#เกลาไปพร้อมกัน

#เกลานิสัยอันตราย

Writer : kanompang


“ภูมิแพ้อากาศ” ความอ่อนไหว...ที่ไม่ใช่แค่หวัด 

“ภูมิแพ้อากาศ” โรคภูมิแพ้ชนิดหนึ่งที่ถูกกระตุ้นให้เกิดอาการได้เมื่ออุณหภูมิและความชื้นในอากาศมีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว รวมถึงการสูดดมสารระคายเคืองต่างๆ เช่น ควันบุหรี่ ควันรถยนต์ โดยผู้ป่วยส่วนใหญ่มักเลือกซื้อยามาทานเองทำให้การรักษาไม่ตรงจุด และยังเสี่ยงอันตรายต่อเยื่อจมูกได้ ดังนั้น “การดูแลตัวเอง” จึงเป็นอีกวิธีการรักษาโรคที่ให้ผลลัพธ์ที่ดี และยั่งยืน 

อาการของคนเป็น “โรคภูมิแพ้อากาศ”

เมื่อต้องเผชิญกับปัจจัยกระตุ้น ไม่ว่าจะเป็นสารก่อภูมิแพ้ การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ และความชื้นในอากาศ จะมีผลทำให้ผู้ป่วยมีอาการจาม คัดจมูก น้ำมูกไหล คันจมูกจนทำให้มักขยี้จมูกจนเกิดรอย มีเสมหะในลำคอ บางรายอาจมีอาการคันตา แสบตา น้ำมูกไหล หรือหูอื้อร่วมด้วย

“ภูมิแพ้อากาศ” ต่างจาก “หวัด” ตรงไหน?

หากจะแยกความต่างของ 2 โรคนี้นั้น “หวัด” จะมีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล โดยช่วงแรกน้ำมูกจะใสแล้วค่อยๆ ข้นขึ้น แต่จะไม่มีอาการคันจมูก โดยระยะเวลาของโรคจะประมาณ 3-10 วัน ซึ่งต่างกับโรคภูมิแพ้อากาศที่ผู้ป่วยจะมีอาการคันจมูกร่วมด้วย รวมไปถึงอาการคันตา น้ำตาไหล และมักมีระยะเวลาของโรคยาวนานมากกว่า 2 สัปดาห์ขึ้นไป

ดูแลตัวเองยังไงให้หายจาก “ภูมิแพ้อากาศ”

สามารถถ่ายเทได้ดี 

การป้องกันไม่ให้เกิดโรค         

1.      สระผมของคุณก่อนเข้านอนทุกคืน โดยเฉพาะในฤดูที่มีเกสรดอกไม้ปลิวว่อนในอากาศ
2.     อย่าตากเสื้อผ้า และเครื่องนอน (ผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน) ไว้กับราวตากผ้ากลางแจ้งในฤดูที่มีเกสรดอกไม้ปลิวว่อนในอากาศ เพราะเกสรดอกไม้และเชื้อราจะเกาะติดกับผ้าที่ตากได้

3.    ล้างมือทันทีหากไปเล่นกับสัตว์เลี้ยงหรือให้อาหารมัน

4.   เปิดไฟในตู้เสื้อผ้าตลอดเวลา เพื่อลดจำนวนเชื้อราภายในตู้

5.               ไม่ควรนำตุ๊กตาที่ยัดไส้ด้วยนุ่น หรือใยสัตว์ไว้ในห้องนอน

6.               ช่วงสาย ๆ ไปจนถึงตอนบ่าย เป็นช่วงที่มีเกสรดอกไม้ปลิวว่อนไปทั่ว ซึ่งจะก่อให้เกิดอาการภูมิแพ้ได้ง่าย

7.               จงเปลี่ยนเสื้อผ้านอกห้องนอน เพื่อทิ้งสิ่งที่อาจทำให้คุณแพ้ไว้นอกห้องนอน

8.               ถอดเสื้อผ้า และซักทันที หากคุณไปเยี่ยมเยียนเพื่อนที่มีสัตว์เลี้ยง

9.               ห่อหุ้มหมอน และฟูกในผ้าพลาสติกแล้วปูทับด้วยผ้าฝ้าย

10.         ใช้เครื่องปรับความชื้นในห้องที่อับชื้นมาก ๆ เพื่อลดจำนวนเชื้อรา ความชื้นที่พอเหมาะควรมีค่าอยู่ระหว่าง 25-50%

11.         เลิกใช้พรมปูพื้นห้อง เปลี่ยนพื้นห้องเป็นไม้ หรือกระเบื้อง ซึ่งจะทำความสะอาดได้ง่ายกว่า

12.         ถ้าคุณแพ้ผึ้ง หรือมดตะนอย ก็จงหลีกเลี่ยงการสวมเสื้อสีสด ๆ การฉีดสเปรย์ผม การใช้น้ำหอมดับกลิ่นตัว หรือการใส่น้ำหอม รวมทั้งการปิกนิก หรือการตั้งวงปิ้งอาหารรับประทานนอกบ้าน

13.         เปลี่ยนเครื่องเรือนที่บุด้วยนุ่น หรือตกแต่งด้วยขนสัตว์มาเป็นเครื่องเรือนที่ทำจากพลาสติก ไม้ โลหะ หรือหนังสัตว์ ซึ่งจะไม่เก็บกักสิ่งที่อาจทำให้คุณแพ้

14.         ในการทำความสะอาดบ้าน จงอย่าใช้ไม้ขนไก่ หรือไม้กวาด แต่จงใช้ผ้า หรือไม้ถูพื้นที่ได้ชุบน้ำแล้ว

15.         เลือกใช้เครื่องดูดฝุ่นที่มีน้ำเป็นตัวกักฝุ่น และมีแผ่นกรองอากาศประสิทธิภาพสูง

16.         สวมผ้าปิดจมูก และปากเสมอ เพื่อกันฝุ่นในขณะที่คุณทำความสะอาดบ้าน

17.         อย่ารีบเข้าไปในห้องที่เพิ่งทำความสะอาดเสร็จ ควรรออย่างน้อย 20 นาทีก่อน เพื่อให้ฝุ่นผงที่ล่องลอยอยู่ในอากาศตกลงสู่พื้นให้หมด

18.         ถ้าคุณมีสัตว์เลี้ยงคุณต้องป้องกันอากาศมิให้พัดจากนอกบ้านเข้ามาในห้องนอนของคุณ

19.         ทำความสะอาดบริเวณที่มีราขึ้นด้วยน้ำยาฟอกคลอรีน โดยผสมผงคลอรีน 10 ส่วน ต่อน้ำ 1 ส่วน

20.         ห้ามทุกคนรวมทั้งแยกสูบบุหรี่ในบ้าน หากจุสูบให้สูบนอกบ้าน

21.         วานคนที่ไม่แพ้ ทำความสะอาดกรงของสัตว์เลี้ยง

22.         ถ้าคุณจะออกกำลังกายกลางแจ้ง ก็ขอให้ทำในช่วงเช้า ๆ บ่ายแก่ ๆ หรือตอนเย็น ๆ

23.         ปิดหน้าต่างรถของคุณให้สนิท แล้วเปิดเครื่องปรับอากาศภายในรถให้ไหลเวียน

24.         ไม่ใช้พัดลม เพราะจะพัดเอาเกสรดอกไม้ และเชื้อราเข้ามาในบ้าน รวมทั้งไม่ใช้เครื่องทำความเย็นชนิดอังด้วยน้ำ เพราะจะทำให้ห้องชื้น

25.         หากคุณปิดบ้านไว้นาน เชื้อราอาจจะเจริญเติบโตได้ ดังนั้นเมื่อคุณกลับมาอยู่บ้านอีกครั้งหนึ่ง คุณควรเปิดบ้านให้ลมโกรม และทำความสะอาดอย่างดีเสียก่อน

26.         ตรวจสอบว่ามีอะไรในบ้านบ้างที่เป็นแหล่งเพาะเชื้อรา เมื่อพบแล้วจงกำจัดให้หมด แหล่งเพาะเชื้อราที่อาจเป็นได้ เช่น ในเครื่องทำความชื้นบนพรมที่เปียกชื้น บนพื้นห้องที่ผุ ในถังขยะ บนกระดาษปิดฝาผนังที่เปียกชื้น เป็นต้น

27.         เมื่อคุณใช้เครื่องดูดฝุ่น จงเลือกใช้ถุงเก็บฝุ่นชนิดถุงหนา 2 ชั้น และแผ่นกรองอากาศประสิทธิภาพสูง

28.         เมื่อคุณจะไปเที่ยวพักผ่อนในที่ใด ๆ ก็ตาม จงเลือกสถานที่ ๆ มีฝุ่นละออง หรือเกสรดอกไม้น้อย เช่น ชายทะเล

29.         ถ้าคุณคิดว่าอาหารบางอย่างทำให้คุณแพ้ ก็อย่าลืมปรึกษาแพทย์ก่อนที่จะลงมือเปลี่ยนรายการอาหารอย่างถอนรากถอนโคน

30.         อ่านฉลากผลิตภัณฑ์อาหารที่คุณซื้อเสมอ เพื่อดูว่ามีส่วนผสมอะไรบ้าง ส่วนผสม เช่น นม ไข่ ถั่ว อาจทำให้คุณแพ้ก็ได้

31.         พกบัตรที่แสดงข้อความว่าคุณเป็นโรคภูมิแพ้ หรือโรคหอบหืดอย่างรุนแรงไว้เสมอ

32.         เลือกที่จะมีสัตว์เลี้ยงที่ไม่มีขน เช่น ปลา เต่า แทนการเลี้ยงแมว หรือสุนัข

33.         ล้างมือ ผิวหนัง เสื้อผ้า สัตว์เลี้ยง หรืออะไรก็ตามที่เปื้อนยางต้นไม้

34.         ถ้าคุณต้องการพ่นยาฆ่าแมลง จงเลือกใช้น้ำยาที่คุณไม้แพ้ คุณควรอยู่นอกบ้าน และวานให้คนอื่นพ่นยาฆ่าแมลงให้ เมื่อพ่นยาเสร็จแล้วคุณควรเปิดบ้านให้ลมโกรกสัก 2-3 ชั่วโมง ก่อนที่จะกลับเข้าบ้าน

35.         ทำความสะอาดห้องน้ำ ครัว และห้องใต้ดินบ่อย ๆ เพื่อลดจำนวนเชื้อราภายในบ้าน เพราะห้องเหล่านี้มีความชื้นสูง

36.         หลีกเลี่ยงการใช้เตาที่เผาไหม้ด้วยไม้ เพราะควันไฟอาจทำให้คุณแพ้ได้

37.         สอบถามครูที่โรงเรียน เพื่อหาสาเหตุที่ทำให้ลูกของคุณแพ้ เช่น มีสัตว์เลี้ยงในห้องเรียนหรือไม่ มีแมลงสาบในตู้เก็บของหรือไม่ มีตัวไรฝุ่นในพรมปูพื้นหรือไม่

38.         เปิดเครื่องดูดควันเสมอเมื่อคุณทำอาหาร เพื่อลดความชื้น และกำจัดควัน และกลิ่นอาหาร



"สิทธิบัตร-ลิขสิทธิ์-เครื่องหมายการค้า" ต่างกันอย่างไร ⁇

"สิทธิบัตร-ลิขสิทธิ์-เครื่องหมายการค้า" ต่างกันอย่างไร ⁇

.

ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยจะได้ยินคำเหล่านี้จากสื่ออยู่บ่อย ๆ จนหลายคนอาจเข้าใจไปแล้วว่า...

"สินค้าเราถ้าจดลิขสิทธิ์แล้ว เมื่อใครลอกเลียนแบบสามารถดำเนินคดีตามกฎหมายได้เลย"

.

ในความเป็นจริงที่ถูกต้อง การดำเนินคดีหรือถูกดำเนินคดี ต้องดูให้ชัดลงไปอีกว่า “สิ่งที่ได้จดทะเบียนไว้นั้น คุ้มครองเรื่องอะไร” ดังนั้นเรามาสร้างความเข้าใจไปพร้อม ๆ กัน

.

สิทธิบัตร (Patent)

คุ้มครองงานออกแบบผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ ที่ได้การวิจัยและพัฒนามาเป็นอย่างดี จนเป็นเอกลักษณ์ของเราเอง เช่น สูตรสารเคมี กรรมวิธีการผลิต รูปทรงรถยนต์ ซึ่งหน่วยงานภาครัฐจะออกหนังสือสำคัญให้เพื่อคุ้มครองงานของเราในช่วงระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด

.

ลิขสิทธิ์ (Copyright) ที่มีสัญลักษณ์ ©

เป็นงานสร้างสรรค์ที่เกิดจากเจ้าของ ใช้ความรู้ ความสามารถของตัวเองผลิตผลงานขึ้นมา ส่วนใหญ่งานจะมีความอาร์ตหรือเป็นงานเชิงศิลปะ ที่สวย เก๋ เท่ ไม่ซ้ำใคร โดยกฎหมายจะให้ความคุ้มครองงานที่ได้สร้างสรรค์มาโดยอัตโนมัติ (Automatic Protection)

.

เครื่องหมายการค้า

คุ้มครองทุกสิ่งที่ยึดโยงไปกับอัตลักษณ์ของแบรนด์ พูดง่าย ๆ คือ อะไรที่เห็นปั๊ปแล้วรู้เลยว่าเป็นแบรนด์เรา เช่น โลโก้ สโลแกน ภาพถ่าย รูปแบบตัวหนังสือ

.

สำหรับประเทศไทยมีหลักการว่า "เครื่องหมายการค้าที่จะได้รับความคุ้มครองจะต้องได้รับการจดทะเบียนตามที่กฎหมายกำหนดไว้ มีอายุความคุ้มครอง 10 ปี”

.

แม้รายละเอียดจะต่างกัน แต่ประโยชน์ในทรัพย์สินทางปัญญาในแง่การให้สิทธิความเป็นเจ้าของกับเจ้าของผลงานเพียงผู้เดียวนั้นเหมือนกัน ซึ่งถือเป็นรางวัลตอบแทนในการคิด ริเริ่ม สร้างสรรค์ให้แก่ผู้ออกแบบ

.

#ยืนหยัดเคียงข้างSMEไทยในทุกสถานการณ์

#SMEDBank #สินเชื่อSME

#SMEBank #SMEDevelopmentBank

18 บทเรียนชีวิต จากหนังสือ... "จิตวิทยาสายดาร์ก" 

1 - ทักษะในการสื่อสาร ไม่ใช่! คำพูดที่เหมาะสม

แต่! เป็นการสร้างความประทับใจที่เหมาะสมต่างหาก

.

2 -​ เถียงแพ้ ไม่ได้หมายความว่า... คุณไม่ชนะ

การเถียงชนะ ก็เท่ากับว่า...

คุณได้ทำลายความประทับใจที่อีกฝ่ายมีต่อตัวคุณไปแล้ว

ไม่มีใครอยากแพ้หรอกนะ

อยากเอาชนะใจ ต้องทำให้อีกฝ่ายรู้สึกชนะ

.

3 -​ การพูดเก่ง ไม่เท่ากับ การพูดตามหลักไวยากรณ์

แต่! เป็นการพูดที่ชักจูงโน้มน้าวอีกฝ่ายได้ต่างหาก

.

4 -​ เริ่มจากทำภาพลักษณ์ให้ดี มันดูเหมือนสร้างภาพ

แต่! ปฏิเสธไม่ได้ว่าฝ่ายตรงข้ามจะเห็นสิ่งที่อยู่ภายนอกก่อน

.

5 -​ ข้อมูลอาจสำคัญจริง แต่! หากคุณไม่มีการนำเสนอที่ดี

ข้อมูลนั้นก็ไปไม่ถึงผู้รับสาร สิ่งที่ควรมีคือ...

รูปลักษณ์ภายนอกที่ดี, ท่าทางที่ดี และน้ำเสียงการพูดที่ดี

.

6 -​ ปฏิเสธไม่ได้ว่า... ผู้คนมักให้ความสำคัญที่ภายนอก

ไม่จำเป็นว่า... คุณต้องสวยหล่อมาแต่เกิด

แต่! ให้แต่งกายให้ดูดี ไม่ขี้เหนียวกับการปรับปรุงรูปลักษณ์ภายนอก

7 -​ เมื่อจะคุยธุรกิจใดใด แล้วจำเป็นต้องคุยนอกสถานที่

ให้เลือกสถานที่ที่หรูดูแพง ภาพลักษณ์ของคุณจะดีขึ้นไปอีก

.

8 -​ ชื่นชมคู่สนทนาอยู่เสมอ

เพราะจะช่วยให้เขาไว้ใจคุณ และเปิดใจในการสนทนากับคุณ

.

9 -​ถ้าคิดคำชมไม่ออก ให้นึกถึงสามคำนี้

"หัวดีจัง!", "อัจฉริยะ", "ต้องสำเร็จแน่!"

.

10 -​ หากต้องพูดแรง ให้พูดด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้มจะดูซอฟลง

.

11 -​ อย่าพูดแต่เรื่องตัวเอง หรือวกเข้าเรื่องตัวเอง

ให้พูดแบบอยากรู้และสนใจเรื่องราวของอีกฝ่าย

.

12 -​ หากไม่รู้ว่า... จะคุยอะไรดี

ให้ดูว่า... อีกฝ่ายชื่นชอบอะไร? ให้ดูจากภายนอกของเขา?

คุณต้องพยายามหาข้อมูลพวก เสื้อผ้า หน้าผม จากสิ่งต่างๆ ที่เขาสวมใส่

นำมาเป็นประเด็นในการสนทนาต่อไป

.

13 -​ เวลาคุณพูดอะไรก็ตาม

หากมีอีกคำหนึ่งตามมาว่า...

พูดง่ายๆ ก็คือ ... เมื่อคู่สนทนาได้ยินคำนี้ เขาจะตั้งใจฟัง

และรู้สึกว่า... ประโยคหลังคำนี้ เป็นเรื่องที่เข้าใจง่าย

.

14 -​ ให้คำปรึกษาอย่างกว้างๆ อย่าไปชี้แนะเจาะจง

เช่น มีคนมาปรึกษาคุณว่า... อยากลาออกจากบริษัท

ถ้าคุณพูดว่า... " เธอต้องลาออกได้แล้ว "เขาอาจจะต่อต้านคุณ

แต่! ถ้าคุณพูดว่า... ถ้าเธอลาออกจากบริษัทนี้อาจจะดีกว่านะ แบบนี้จะดูดีกว่า

.

15 -​ การทำให้คนตั้งใจฟัง คุณต้องใช้คำพูดที่ง่ายเข้าไว้

และลองใช้คำถามกลับอีกฝ่ายว่า... คุณคิดยังไงกับเรื่องนี้!

.

16 -​ เว้นจังหวะในการบรรยายใดใด เพื่อดึงความสนใจจากผู้ฟัง

.

17 -​ ถ้าอยากพูดให้เข้าใจง่าย ต้องตัดข้อมูลให้น้อยที่สุด เท่าที่จะเป็นไปได้

.

18 - อยากคุยเก่ง ต้องฟังเก่งกว่า


สอบแบบ 38 ค (2) คืออะไร

สอบแบบ 38 ค (2) คืออะไรค่ะ อาจารย์?

คือการสอบข้าราชการสังกัดตรงกระทรวง

ศึกษาธิการ และได้บรรจุเป็น "ข้าราชการครู

และบุคลากรทางการศึกษา" สังกัดกระทรวง

ศึกษาธิการโดยตรง เช่น สพฐ สำนักงานปลัดฯ

สภาการศึกษา อาชีวศึกษา กศน หรืออะไรก็ตาม

ที่อยู่ในกระทรวงศึกษาธิการ โดยการสอบในกลุ่ม

ที่เป็นตำแหน่งอื่นๆซึ่งไม่ใช่ครู หรือ ผู้บริหาร

.

การสอบบรรจุตำแหน่งอื่นๆ เช่น นักวิชาการศึกษา

นักวิเคราะห์ นักจัดการฯ นักทรัพยฯ นิติกร เป็นต้น

ที่จะทำให้บรรจุได้เป็นข้าราชการครูและบุคลากร

ทางการศึกษา ต้องสอบตามมาตรา 38 ค (2) และ

ให้ไปทำงานในหน่วยงานการศึกษา กระทรวงศึกษา

ธิการ เช่น ในสำนักงานเขตฯ ในโรงเรียน หรือใน

อะไรๆก็แล้วแต่ที่เป็นหน่วยงานการศึกษา ของ ศธ.

.

ตำแหน่งเหล่านี้ ดูเผินๆ จะไม่น่าใช่พวกสายครู

เช่น นักวิเคราะห์ นักทรัพฯ นักจัดการ หรืออื่นๆ

ถ้าจะบรรจุแบบพวกเดียวกับครู (คือ ข้าราชการครู

และบุคลากรทางการศึกษา) ก็ทำได้อยู่ กฎหมาย

เลยเปิดช่องให้มีมาตรา 38 ค (2) ว่าสามารถที่จะ

บรรจุตำแหน่งเหล่านี้ได้นะ ตามหลักเกณฑ์ต่างๆ

ถ้าอยากบรรจุก็ต้องมีการเปิดสอบตาม 38 ค (2)

.

ถ้าสอบตามอื่นๆ ก็จะได้เป็นข้าราชการอื่นๆ เช่น

สอบตามปกติ เอาคะแนน ก.พ. วัด ภาค ก เรียกว่า

ข้าราชการพลเรือนสามัญ ถ้าสอบท้องถิ่น ก็จะเป็น

ข้าราชการท้องถิ่น ถ้าสอบ กทม ก็จะได้บรรจุเป็น

ข้าราชการ กทม เป็นต้น หรือ แม้แต่สอบครูผู้ช่วย

สพฐ กรณีทั่วไป กรณีพิเศษ ก็จะได้บรรจุเป็นข้า

ราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา เหมือนกัน

แต่เป็นประเภทที่ 1 คือ ประเภทผู้สอนในหน่วยงาน

การศึกษา ขณะที่ 38 ค (2) ได้บรรจุเป็นประเภทที่ 3

.

ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา

มี 3 ประเภท ประกอบด้วย

ประเภท 1 ผู้สอนในหน่วยงานการศึกษา (ครู)

ประเภท 2 ผู้บริหาร (ผอ รอง ผอ ต่างๆนั่นแหล่ะ)

ประเภท 3 บุคลากรทางการศึกษาอื่น

มี ศึกษานิเทศก์ และ ตำแหน่งอื่นๆตาม 38 ค 2

.

ทั้งสามประเภทนี้ จะได้ทำงานในหน่วยงานการศึกษา

อาจเป็นสำนักงานฯ โรงเรียนอะไรก็ว่าไป ที่เรียกกันว่า

หน่วยงานการศึกษา สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ แล้วแต่

ใครเปิดสอบ เช่น เขตฯ สอบ ก็บรรจุที่เขตฯ สำนักปลัดฯ

เปิดสอบก็บรรจุสำนักปลัดฯ กศน เปิดสอบก็บรรจุ กศน

โรงเรียนใดเปิดสอบก็บรรจุทำงานที่โรงเรียนนั้น เป็นต้น

.

ดังนั้น 38 ค (2) ไม่ได้บรรจุเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ

แต่ได้บรรจุเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา

ประเภท บุคลากรทางการศึกษาอื่น จึงไม่ใช้คะแนน ก.พ.

(เพราะไม่ได้เป็นข้าราชการพลเรือน) จึงต้องมาสอบเอา

ภาค ก ข ค กันใหม่หมด ตามแบบ ก.ค.ศ. นั่นเองนะครับ

.

และ 38 ค 2 ก็ไม่ต้องใช้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ

เพราะไม่ได้บรรจุเป็นประเภทที่ 1 และ 2 และไม่ได้

บรรจุเป็นศึกษานิเทศก์ แต่เป็นคนทำงานตำแหน่งอื่นๆ

ซึ่งไม่ใช่วิชาชีพควบคุม จึงไม่ต้องใช้ใบอนุญาต แค่ใช้

วุฒิการศึกษา ตามที่เกณฑ์กำหนด และ ก.ค.ศ. รับรอง

.

สรุป ใครเคยสอบสำนักงานปลัดฯได้เมื่อช่วงปี 2565 ใครเคยสอบ กศน ได้ก็จะสอบ 38 ค 2 ได้เหมือนกันนั่นเองนะครับ ตามนี้เลย

แค่รอดูว่าตำแหน่งอะไรบ้างที่เปิดสอบ ก็ลงสอบครับ

.

อธิบายแบบเข้าใจง่าย

และสรุปการอธิบายโดย

อาจารย์วรวุธ กิติวงค์